บทที่ 209 การเดินทางผ่านห้วงเวลาและมิติลับ
“ถ้าเธอเข้าไปแล้วฉันจะตามหาเธอได้ยังไงล่ะ?” ฮวงฟูอี้ถาม ไม่ว่ามู่หรงเสวี่ยจะดื้อรั้นแค่ไหน เขาก็แค่อยากที่จะรู้ว่าตัวเองสามารถหาเธอเจอได้เสมอ
มู่หรงเสวี่ยเงียบ “หาไม่เจอ…”
ฮวงฟูอี้เงียบไปสักพัก
“พ่อแม่ฉันยังอยู่ข้างใน ฉันจะต้องเข้าไปดูพวกท่านก่อน…” มู่หรงเสวี่ยทำลายความเงียบและพูดออกมาก่อน
“คนอื่นเข้าไปได้ด้วยเหรอ?” ฮวงฟูอี้จับแขนมู่หรงเสวี่ยและถามออกมาอย่างกระหาย “ฉันเข้าไปด้วยได้ไหม?”
“ได้สิ! นายจะเข้าไปด้วยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม ในมิติลับ เธอคือเจ้านาย
ฮวงฟูอี้พยักหน้า
“ได้! ในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“มีแต่มีแค่ฉันคนเดียวที่ดูได้ ไม่ต้องห่วงนะ!” ฮวงฟูอี้รู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ตามเขาไปวันนี้ถูกสั่งไว้แล้วว่าถามปริปากพูดเรื่องวันนี้ออกไปเด็ดขาด
มู่หรงเสวี่ยจับมือเขา สองนิ้วดีดเข้าหากัน “ทางเข้า!”
เพียงเสี้ยววินาทีทั้งสองก็หายไปจากห้อง
วินาทีต่อมา ฮวงฟูอี้ก็เห็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงออร่าและให้ความรู้สึกสบายอย่างมาก เขาตกใจ นี่เป็นแค่เรื่องเทพนิยาย
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้ตั้งแต่ตอนที่พาเขาเข้ามา เป็นใครก็ต้องตกใจไปกับเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้กันทั้งนั้น
หลังจากนั้นสักพัก ฮวงฟูอี้ก็กลับมามีท่าทางปกติแล้วจึงถามออกมา “นี่คือมิติลับของเธองั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าแล้วเธอก็เดินเข้าไปในศาลา ก่อนที่เธอจะออกไปเธอพาพ่อกับแม่เข้าไปพักที่ห้องแต่นี่มันก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เธอเป็นห่วงมากเพราะเวลาในมิติลับต่างจากเวลาข้างนอก ตอนนี้ในมิติลับก็น่าจะผ่านไปหลายเดือนแล้วและเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่เธอบ้าง
ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นเท่านั้นและทำให้เธอยิ่งเดินเร็วขึ้นไปอีก จนเกือบที่จะออกวิ่งอยู่แล้ว เธอเปิดประตูศาลาและพูดออกไปว่า “พ่อคะ…แม่คะ…”
ไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากด้านใน สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปและเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว อย่างที่คิดไว้ เธอไม่เจอใครอยู่ข้างในเลย เธอรีบเปิดประตูห้องอื่นๆแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยกลายเป็นซีดเผือดทันที ถึงแม้เธอจะรู้ว่าข้างในนี้ไม่มีอันตรายใดๆก็ตามแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว เธอรีบเดินเข้าไปในป่า “พ่อคะ! แม่คะ! อยู่ที่ไหนกันคะ?” ในน้ำเสียงมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเธอ ฮวงฟูอี้ก็ไม่สนใจพวกกิ่งไม้ตามทางที่ข่วนแขนเขาเลย เขากอดเธอและพูดออกไป “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันจะช่วยเธอหาเอง…”
“อี้ ตอนที่ฉันพาพ่อกับแม่เข้ามา พวกท่านสลบอยู่ พวกท่านไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในมิติลับ ฉันต้องรีบตามหาพวกท่านโดยเร็วเลย…”
“โอเค งั้นแยกกันหาเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ…เธอไปดูทางโน้น ฉันจะไปดูทางนี้…” ฮวงฟูอี้ปล่อยเธอและหลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินไปทางอีกฝั่ง
มู่หรงเสวี่ยเองก็รีบเดินไปที่อีกฝั่งเหมือนกันพร้อมทั้งตะโกนไปด้วย “พ่อคะ แม่คะ! อยู่ที่ไหนกันคะ?”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยและฮวงฟูอี้ค้นทั่วทั้งมิติลับแต่ก็ยังไม่เจอคู่สามีภรรยามู่หรงเลย มู่หรงเสวี่ยกลัวมากจนทรุดลงไปกับพื้นและอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
ฮวงฟูอี้นั่ลงกับพื้นแล้วกอดมู่หรงเสวี่ยที่กำลังร้องไห้อย่างไม่ห่วงสวยไว้ พร้อมทั้งค่อยๆพูดปลอบใจเธอ “อย่าร้องเลย ในมิติลับมีห้องกลอะไรหรือเปล่า?! เราจะไปลองดูกัน…” แม้แต่ของอย่างมิติลับยังปรากฏขึ้นมาได้ งั้นก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจะมีความเป็นไปได้อื่นๆอีก
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก พยายามที่จะหยุดร้องไห้และลุกขึ้นยืน ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะร้องไห้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เธอน่าที่จะอยู่คอยดูพวกท่านอยู่ในมิติลับ
อย่างไรก็ตาม ฮวงฟูอี้พูดมีเหตุผล บางทีในนี้อาจจะมีประตูกลก็ได้ ถึงแม้เธอจะบอกว่ามิติลับเป็นที่ของเธอ แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจมิติลับอย่างเต็มที่ เธอต้องตรวจอย่างระวัง บางทีอาจจะเป็นเพราะพ่อกับแม่ของเธอบังเอิญไปแตะโดนประตูกลก็ได้
ตั้งแต่ตอนนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ออกค้นหาตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังไม่มีร่องรอยของประตูกลตรงไหนเลย ถ้าฮวงฟูอี้ไม่บังคับให้เธอกินอะไรเข้าไปบ้าง เดาว่ามู่หรงเสวี่ยก็คงจะเป็นลมไปแล้ว
“พอแล้วเสี่ยวเสวี่ย…” ฮวงฟูอี้มองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่เริ่มจะดูผอมลงไปมาก
ร่างของมู่หรงเสวี่ยหยุดและน้ำตาก็เริ่มที่จะไหลลงมาอีกครั้ง เธอร้องไห้และพูดออกมา “อี้…ฉันจะทำยังไงดี…พ่อแม่ฉันหายไป…”
ฮวงฟูอี้กอดมู่หรงเสวี่ยอย่างปวดใจ “เธอจะต้องหาพวกท่านเจอ แต่เธอจะอยู่ในมิติลับทุกวันแบบนี้ไม่ได้ ลืมไปหรือเปล่าว่าคุณปู่คุณย่ายังรอเธออยู่ข้างนอกนะ?” ใจคอเขาไม่ค่อยดีเมื่อได้เห็นผู้หญิงที่รักที่อยู่ตรงหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด หัวใจเขาแทบจะแตกสลาย
มู่หรงเสวี่ยพิงอยู่ที่แขนของฮวงฟูอี้ร้องไห้โฮ
น้ำตาของมู่หรงเสวี่ยไหลอาบแก้มมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“ออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ! นายยังมีอย่างอื่นที่ต้องจัดการอีก…” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเสียงแหบพร้อมด้วยสายตาที่ทั้งบวมและแดง เธออยากที่จะออกไปถามคุณย่าเรื่องกำไลด้วย คุณย่าเป็นคนที่ให้กำไลเธอเอง บางทีคุณย่าอาจจะรู้เรื่องอะไรบางอย่าง
ฮวงฟูอี้ขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลายเป็นเศร้าลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก ที่คางก็มีเคราอยู่ด้วย ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่มู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่ไม่ได้นอนแต่ฮวงฟูอี้เองก็ด้วย เขาเป็นห่วงมู่หรงเสวี่ยจริงๆ มู่หรงเสวี่ยที่กำลังร้องไห้อยู่ จู่ๆก็พูดออกมาเพื่อชวนให้เขาออกไปข้างนอก “เสี่ยวเสวี่ย…”
มู่หรงเสวี่ยจับมือฮวงฟูอี้และไม่พูดอะไรมาก เธอรีบแวบออกมาจากมิติลับทันที เธอปล่อยมือฮวงฟูอี้และอยากที่จะออกไปข้างนอกทันที
ฮวงฟูอี้เห็นและรีบดึงมู่หรงทันที “เธอจะไปที่ไหน?” น้ำเสียงเขามีความกังวล
“ฉันจะไปเจอคุณปู่คุณย่า…” มู่หรงเสวี่ยพูดและอยากที่จะสะบัดมือฮวงฟูอี้ออก
ฮวงฟูอี้กอดเธอไว้แน่น “เธอแน่ใจเหรอว่าอยากที่จะไปเจอคุณปู่คุณย่าด้วยสภาพแบบนี้อ่ะ?”
มู่หรงเสวี่ยตกใจ เธอเดินไปที่กระจกและภาพที่เห็นตรงหน้าก็ดูน่าเกลียดมากจริงๆ เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ดูมมอมแมมและดวงตาของเธอก็ทั้งบวมและแดง ใบหน้าที่ซูบผอมของเธอก็ดูซีดเผือด เธอมีท่าทางตื่นกลัวเล็กน้อย “ฉัน…ฉันจะแวะไปที่หลัง…” ถ้าเธอไปเจอคุณปู่คุณย่าแบบนี้ พวกท่านจะต้องกังวลมากแน่ๆ
ฮวงฟูอี้พูดต่อ “ไปอาบน้ำแล้วพักซะหน่อย แล้วฉันจะไปหาคุณปู่คุณย่าเป็นเพื่อนเธอเอง โอเคไหม?” น้ำเสียงเขาอ่อนโยน เพราะกลัวว่าถ้าพูดเสียงดังออกไปจากทำให้มู่หรงเสวี่ยที่กังวลมากพอแล้วจะยิ่งทรุดลงไปมากกว่านี้อีก
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและสังเกตเห็นท่าทางที่เขินอายของฮวงฟูอี้ในตอนนี้ เธอพูดออกมาเสียงเบา “อี้ ฉันขอโทษนะ…”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เรื่องของเธอก็เหมือนเรื่องของฉัน…เธอนั่งลงก่อนนะเดี๋ยวฉันไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้…” ฮวงฟูอี้พูดและเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอให้มู่หรงเสวี่ยปฏิเสธ
ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยแดงเล็กน้อยและความเอาใจใส่ของฮวงฟูอี้ก็ทำให้เธอตื้นตันมาก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฮวงฟูอี้และมู่หรงเสวี่ยก็เรียงกันอาบน้ำจนเสร็จ ฮวงฟูอี้มองไปที่ผมที่เปียกของมู่หรงเสวี่ย จึงหยิบผ้าขนหนูสะอาดๆและเอามาเช็ดผมให้เธอ
มู่หรงจับมือเขาและพูดออกมา “ฉันทำเองได้” เขาเองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน สามเดือนที่ผ่านมา เขาดูแลเธอไม่ห่างจนตัวเองก็ไม่ได้พัก โชคดีที่ในมิติลับมีรังสีออร่า ไม่งั้นพวกเขาก็คงจะทรุดหนักไปแล้ว
“ไม่ต้องขยับ นี่เป็นหน้าที่ของแฟนนะ…” ฮวงฟูอี้ค่อยๆดึงมือเธอออกแล้วเช็ดผมให้เธออย่างอ่อนโยนต่อ
ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่ฮวงฟูอี้จะเช็ดผมให้เธอจนแห้ง ฮวงฟูอี้จูบที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยนแล้วจึงพูดออกมา “ที่รัก นอนพักสักหน่อยเถอะนะ…” แล้วเขาก็ช่วยห่มผ้าให้มู่หรงเสวี่ยแล้วเขาก็ลุกขึ้น
มู่หรงเสวี่ยจับแขนเสื้อเขาและถามออกมา “นายจะไปที่ไหน? นายไม่นอนเหรอ?”
ฮวงฟูอี้หัวเราะและพูดออกมา “ฉันจะไปดูงานหน่อย นี่มันก็ตั้งสามเดือนแล้ว ฉันต้องไปจัดการอะไรหน่อยแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาพัก…” ถึงแม้ที่นี่จะมีหลงอี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจกับทุกเรื่อง เวลาผ่านไปสามเดือนนี่มันแย่มากจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยยังไม่ปล่อย เธอพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้บอกนายว่าเวลาในมิติลับมันแตกต่างจากข้างนอก นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง…นอนกับฉันสักพักเถอะ…” รอยคล้ำที่ใต้ตาเขาดูแย่มากๆ ร่างกายของเขาจะทนได้ยังไง? ยิ่งคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
ฮวงฟูอี้มองไปที่เวลาและเห็นว่ามันผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง มิติลับนี่ช่างน่าอัจฉจรรย์จริงๆเลย
“งั้นก็มานอนด้วยกันเถอะ”
ทั้งสองคนกอดกันและกันและผล็อยหลับไป ทั้งสองรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นว่าฮวงฟูอี้ไม่ได้อยู่ที่เตียงแล้ว แต่ลุกขึ้นทันทีและนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่พ่อแม่ของเธอหายตัวไป เธอลุกออกจากเตียง สวมรองเท้าและเดินออกมาเพื่อไปหาข้อมูลที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของฮวงฟูอี้
ฮวงฟูอี้เงยหน้าขึ้นมาและเห็นมู่หรงเสวี่ย เขาก็หยุดทำงานทันที เขาอยากจะชวนมู่หรงเสวี่ยให้ไปกินอะไรก่อน เขาดึงมือมู่หรงเสวี่ยและพาไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ข้างๆเขา อาหารมากมายถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โต๊ะนี้เป็นโต๊ะควบคุมอุณหภูมิจึงทำให้อาหารอุ่นกำลังดีอยู่ตลอด
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธและรีบกินอย่างรวดเร็ว
“ฉันอิ่มแล้ว ฉันอยากไปเจอคุณปู่คุณย่า!” มู่หรงเสวี่ยวางจาน วางตะเกียบและอยากที่จะออกไปแล้ว
ฮวงฟูอี้เองก็วางจานและตะเกียบเช่นกัน “ฉันจะไปกับเธอ…”
คุณปู่คุณย่าตื่นเรียบร้อยแล้ว และพวกท่านกำลังนั่งดื่มชาอยู่
“คุณปู่ คุณย่า!” มู่หรงเสวี่ยเก็บกดความตื่นตระหนกในหัวใจและกอดพวกท่านพร้อมรอยยิ้ม
“ แม่หนู มาดื่มชากับปู่สิ!” คุณปู่พูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปและไม่ลืมที่จะดึงฮวงฟูอี้เข้าไปด้วย เมื่อนั่งลงมู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถามคุณย่า “คุณย่า จำกำไลที่ให้หนูก่อนหน้านี้ได้ไหมคะ?” ในตอนนี้มู่หรงเปลี่ยนกำไลให้กลับมาเปลี่ยนรูปแบบเดิมแล้ว
คุณย่ามองไปที่กำไลที่ข้อมือของมู่หรงเสวี่ยซึ่งเต็มไปด้วยสีสันและประกายมากมาย ท่านตอบออกมา “ย่าไม่ได้ให้กำไลนี่กับหลานนะ”
มู่หรงเสวี่ยตกใจและถามออกมาอย่างตื่นตระหนก “คุณย่า นี่เป็นกำไลที่คุณย่าให้หนูมานะคะ แล้วคุณย่าก็บอกด้วยว่านี่ถูกส่งต่อกันในตระกูล ลืมไปแล้วเหรอคะ?”
“นี่กำไลเส้นนั้นเหรอ?! ย่าจำได้ว่ามันไม่ได้หน้าตาแบบนี้นิ…” คุณย่าหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมแล้วก็หยิบกำไลมาจากมือมู่หรงเสวี่ย พลิกมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่ได้เห็นกำไลดำๆที่ท่านมอบให้เธอก่อนหน้านี้
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็นึกขึ้นได้ว่ากำไลเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่เธอหยดเลือดลงไป “คุณย่า นี่เป็นกำไลเส้นนั้นจริงๆค่ะ หนูอยากที่จะถามคุณย่า ช่วยบอกแหล่งกำเนิดของกำไลเส้นนี้ให้หนูฟังทีได้ไหมคะ”
คุณย่ามีสีหน้าเหลือเชื่ออยู่นิดหน่อยแต่ก็ยังค่อยๆเล่าถึงเรื่องตำนานที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น “มีเรื่องเล่ากันว่ากำไลนี่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลเฮอเหลียน หลังจากช่วยชีวิตเทพเจ้าไว้ ท่านจึงมอบสมบัติล้ำค่าเพื่อตอบแทนบรรพบุรุษของตระกูลเฮอเหลียน สมบัติที่ล้ำค่าก็คือกำไลอันนี้”
“แล้วไงอีกคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม ตอนนี้เธอกังวลอย่างมากเพราะมันเกี่ยวข้องกับสถานที่อยู่ของพ่อแม่เธอ
ฮวงฟูอี้จับมือเธออย่างอ่อนโยนและตบลงไปเบาๆเพื่อเป็นการให้กำลังใจเธอ
“ต่อมา เทพเจ้าก็กลับไปที่สวรรค์และกำไลอันนี้ก็ถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของตระกูลตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น…” คุณย่าเล่าต่อ
เธอไม่ได้ยินคำตอบที่อยากจะได้ยินเลย มู่หรงเสวี่ยรู้สึกผิดหวัง “คุณย่าคะ ยังมีอะไรอีกไหมคะ? เทพเจ้าพูดว่ายังไงและทำไมถึงให้ของแบบนี้กับเรา…”
“เทพนิยายงั้นเหรอ?” คุณย่าก้มหน้าลงและนึก แล้วจู่ๆก็เหมือนกับว่าท่านนึกอะไรขึ้นมาได้ ท่านตบไปที่มือ “ย่านึกออกแล้ว บรรพบุรุษของเราเล่าว่า ในตอนนั้นเทพเจ้าบอกว่ากำไลเส้นนี้ท่องเวลาและมิติลับได้…แต่สุดท้ายอะไรล่ะที่คือการเนทางท่องเวลา? จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้เลย”
“เดินทางผ่านห้วงเวลาและมิติลับงั้นเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยไม่อยากจะเชื่อ นี่พ่อกับแม่ของเธอข้ามไปอยู่ห้วงเวลาและมิติลับอื่นหรือเปล่านะ
คุณปู่และคุณย่าเห็นท่าทางของมู่หรงที่ดูแปลกๆ “แม่หนู เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆถึงมาถามเรื่องกำไลนี่ล่ะ?”
ฮวงฟูอี้จับมือมู่หรงเสวี่ยและออกแรงบีบเล็กน้อย ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาได้สติทันที “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่อยากจะรู้ก็เลยลองถามดู…คุณปู่คุณย่าคะ พักอยู่ที่นี่กันก่อนนะคะ หนูมีอย่างอื่นที่ต้องไปทำ หนูขอตัวก่อนนะคะ…”
หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็เดินออกมาข้างนอก ฮวงฟูอี้กล่าวลาผู้เฒ่าทั้งสองอย่างสุภาพ