” ฝ่าบาท สตรีที่เลวร้ายผู้หนึ่ง ไม่สมควรจะแปดเปื้อนพระหัตถ์ของพระองค์ ขอให้หม่อมฉันจัดการเถอะพะยะค่ะ”
เขาพูดแล้ว บรรดาองครักษ์ในตำหนักก็พากันขยับเข้ามา
แต่พระวรกายฝ่าบาทกลับแผ่ไอเย็นออกมาโดยรอบ เพียงแค่พระองค์กวาดพระเนตรผ่านไป ก็ทำเอาราชองครักษ์เหล่านั้นตกอกตกใจจนร้องเรียกหาบิดามารดาแล้ว
” สตรีที่เลวร้ายผู้นี้ มีแต่เราที่สามารถจัดการได้”
ฝ่าบาทตรัสเพียงประโยคเดียว ก็ทำเอาหัวใจของหย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาเย็นวาบไป
จบกันแล้ว ฝ่าบาทจะต้องทรง เดาได้อย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดกัน พวกเขามักรู้สึกว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องฐานะของเจ้าลูกชายตัวดีอยู่แล้ว และยามนี้ก็ยังทรงพบว่าตนเองถูกสวมหมวกเขียวอยู่อีก แต่ว่าถึงจะอย่างไรก็มีพระประสงค์จะทรงพาสตรีผู้นี้กลับวังไปไต่สวนอยู่ดี
ดูท่าครั้งนี้เจ้าลูกทรพีนั่น จะหาเรื่องเข้าจริงๆ แล้ว
พอจีเฉวียนทรงตรัสออกไป ยังจะมีผู้ใดกล้าคัดค้านเขาอีก เขาเสด็จก้าวใหญ่ๆ จากไป ทิ้งเอาไว้เพียงเงาหลังที่หนาวเย็น หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาต่างก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คราวนี้จะไปขออภัยต่อฝ่าบาทอย่างไรดี?
” ดอกซิ่วฉิวในฤดูหนาวงดงามน่าดู ไทเฮาทรงโปรด ยามที่หย่งเฉิงเข้าวัง ให้นำไปถวายไทเฮาสองต้น “
จีเฉวียนเสด็จไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาตรัสกับหย่งเฉิงอ๋อง
หย่งเฉิงอ๋องงงงันไปชั่วขณะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? อยู่ดีๆ ก็ลากไปหาไทเฮาทำไม?
ฝ่าบาทไม่ได้ทรงรอให้เขาไต่ถาม ก็เสด็จจากไปไกลแล้ว
ตู๋กูซิงหลันที่อย่างไรก็ไร้เรี่ยวแรง เมื่อถูกเขาอุ้มเอาไว้ ก็มิได้ขยับตัววุ่นวาย เมื่อครู่ตอนที่ถุกคลุมอยู่ใต้ฉลองพระองค์ของจีเฉวียน นางก็แอบมองลอดผ่านช่องจนเห็นหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา น่าแปลกจริงๆ จากราศีของหย่งเฉิงอ๋องสามรีภรรยาเดิมทีสมควรจะสมบูรณ์พูนสุขมีลูกหลานมากมาย ทำไมถึงได้กลายเป็นสูญเสียบุตรติดกันถึงสี่คน?
นางกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด จึงไม่ทันได้ยินจีเฉวียนตรัสเรื่องดอกซิ่วฉิว
………………………………..
ซูเม่ยพึ่งจะหลบหนีออกมาจากศาลบรรพชนได้ ก็พบว่าจีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันจากไปไกลแล้ว
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเกรี้ยวกราดขึ้นมา เขากำหมัดเอาไว้แน่น กระแทกหมัดหนึ่งลงไปบนกำแพงสวนข้างตัว
” ครืนนนน” ทันทีที่ได้ยินเสียง กำแพงนั้นก็ทรุดตัวลงมา
กระทั่งพระชายายังตกพระทัยจนหัวใจเกือบจะกระดอนออกมา
หย่งเฉิงอ๋องมองไปยังเขา เห็นเพียงเงาสีแดงของเจ้าลูกทรพีพลิกข้ามกำแพงออกไป ก็ได้แต่ถอนหายใจติดๆ กัน ” เวรกรรมเอ๋ยเวรกรรม เจ้าลูกทรพีคนนี้เกิดมาเพื่อทวงหนี้แท้ๆ
……………………..
ราชรถของฮ่องเต้หยุดลงที่หน้าพระตำหนักตี้หัว พอเสด็จลงจากรถม้าแล้ว เขาก็อุ้มตู๋กูซิงหลันลงมาด้วยตนเอง
ฉลองพระองค์คลุมสีดำยังคงคลุมใบหน้าของนางเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันตัวเบามาก อุ้มขึ้นมาก็ไม่รู้สึกเปลืองแรงแต่อย่างใด ยิ่งหาได้อยากที่นางจะว่าง่ายเชื่อฟัง ตลอดทางก็มิได้ก่อเรื่องใดๆ เลยสักน้อย
พอเสด็จลงมาได้ ก็ทอดพระเนตรเห็นอันหว่านจือในชุดชาววังรอรับเสด็จอยู่แล้ว
” หว่านจรือถวายพระพรฝ่าบาท ” นางถวายคำนับให้จีเฉวียน แต่ดวงตากลับมองไปยังคนในอ้อมพระพาหาอย่างไม่มีหยุด
จีเฉวียนไม่ได้สนพระทัยนาง ทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันเสด็จตรงเข้าไปในพระตำหนักบรรทม
อันหว่านจือก็ไล่ตามหลังไป ” ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เสด็จออกไปกว่าครึ่งวัน หว่านจรือกังวลเหลือเกิน อากาศหนาวเย็นมาก พระองค์ก็ทรงเกรงความเหน็บหนาว…….”
ทูลแล้ว นางก็ยื่นเตาอุ่นทองคำใบหนึ่งถวายให้เขา ” นี่เป็นเตาอุ่นมือที่หว่านจรือหาช่างพิเศษให้ทำขึ้นมา หากว่าฝ่าบาททรงประคองเอาไว้ในพระหัตถ์ อีกหน่อยก็จะไม่ทรงรู้สึกหนาวแล้วเพคะ”
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมามองดูเตาอุ่นมือนั่นแวบหนึ่ง เตาอุ่นมือทำจากทองคำอีกทั้งยังประดับด้วยอัญมณีสีแดง
เดิมที่พระองค์คิดจะปฏิเสธ แต่หางพระเนตรกลับเห็นประกายตาของสตรีในอ้อมพระพาหาเปล่งประกายวูบวาบ ก็ทรงทราบดี
” เรารับเอาไว้แล้ว เจ้าวางไว้ที่ห้องอักษรเถอะ”
สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินมูลไม่ได้ฉันใด ไทเฮาก็แก้เรื่องรักสมบัติไม่ได้ฉันนั้น
ที่จริงตู๋กูซิงหลันเพียงแต่อยากมองดูให้มากหน่อยเท่านั้น ทับทิมเป็นนั้นสวยงามมากจริงๆ หากว่านำไปขายคงจะเพียงพอให้นางวาดยันต์ได้สักร้อยใบแน่
” เพคะ” อันหว่านจือแสดงความยินดีออกมา นางได้ยินมาว่า ฝ่าบาทไม่ทรงเคยรับของขวัญจากพระสนมคนใดมาก่อนเลย แต่คราวนี้กลับทรงยินยอมรับของของนาง
แสดงว่าความพยายามของนางไปถึงพระทัยของฝ่าบาทแล้วใช่หรือไม่?
ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ขอเพียงแค่นางอ่อนโยนและเอาใจใส่ให้มากพอ และอยู่ข้างกายฝ่าบาทอยู่เสมอ ฝ่าบาทจะต้องทรงมีพระทัยให้นางเป็นแน่
วันนี้ตอนที่นางออกไปนอกวัง นอกจากจะนำยาไปให้คนพวกนั้นแล้ว ยังไปหาช่างเหล็กตระกูลจ้าวยังฟากตะวันตกของเมืองเพื่อสั่งทำเตาอุ่นมือใบนี้ ใช้ทองคำหล่อขึ้นมา ฝีมือละเอียดปราณีต ทับทิมเม็ดนั้นก็มีราคาไม่ธรรมดา เนื่องเพราะเป็นของที่จะทูลถวายฝ่าบาท ย่อมไม่อาจดาษดื่นเหมือนทั่วไป
ในใจของนางปิติอย่างยิ่ง แต่แล้วกลับพบว่าฝ่าบาททรงรับของขวัญของนาง แต่มิได้ทอดพระเนตรมองนางเลย
อันหว่านจืออดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะยิ่งเห็นฝ่าบาททรงอุ้มคนผู้หนึ่งเอาไว้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีท่าทีจะคลายพระหัตถ์เลย
เพราะฉะนั้นสตรีผู้นี้คือใครกันแน่? ถึงขนาดต้องให้ฝ่าบาททรงอุ้มนางเข้ามาในตำหนักตี้หัวด้วยพระองค์เอง?
พออันหว่านจือยืดคอออกไป จีเฉวียนก็สาดพระเนตรเย็นชากลับมา ” เจ้าไม่เคยพบกุ้ยเฟยหรือไร? ต้องให้เราช่วยลากคอเจ้าให้ยาวกว่าเดิมไหม? “
ตู๋กูซิงหลัน “? ” นางรู้สึกเห็นใจซูเม่ยขึ้นมาบ้างแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ทำไมดูเหมือนว่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงพูดคุยกับอันหว่านจือ คล้ายจะเติมความเกลียดชังให้กับซูเม่ย
ช่วงนี้ซูเม่ยเป็นที่โปรดปรานเสียขนาดนั้น เดิมทีก็ชักนำให้บรรดาพระสนมทั้งหลายเกิดเพลิงหึงหวงกันจนจะทะลุขึ้นฟ้าอยู่แล้ว อันหว่านจือมีที่มาไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีใจจะเป็นพระสนมให้ได้ นี่ไม่เท่ากับว่าชักให้เกิดศึกกันหรอกหรือ?
เพียงแค่ประโยคเดียวของจีเฉวียนก็ทำให้อันหว่านจือรู้สึกเจ็บช้ำขึ้นมา
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า ” หว่านจรือรู้ผิดแล้วเพคะ “
คนผู้นี้คือซูกุ้ยเฟยหรือ? ทำไมถึงเป็นนางอีกแล้ว!
หลายวันมานี้ถูกนางยึดเอาฝ่าบาทไว้ก็ว่าแย่แล้ว ยามนี้ยังถึงขนาดยั่วยวนฝ่าบาทกระทั่งเดินเองก็ยังไม่ยอม จะต้องให้พระองค์อุ้มเข้าไปในตำหนัก?
สตรีผู้นี้ช่างรู้จักเสแสร้งนัก แต่ก่อนนี้ยามที่อยู่ในเขาจงหลิง ไม่ใช่ว่าเอาแต่แสดงความนอบน้อมอยู่ตลอดหรือ
” ไม่ทราบว่ากุ้ยเฟยเป็นอะไรไปหรือเพคะ? ” อันหว่านจือถามออกไปอย่างไม่กลัวตาย
จีเฉวียนไม่ได้ทรงสนพระทัยนาง เขาโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเข้าไปในตำหนักบรรทม
อันหว่านจือทำท่าจะติดตามเข้าไป แต่เท้าของนางยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่ปิดดังปั้ง
จมูกของนางถูกชนเข้าอย่างแรง และยังได้ยินฮ่องเต้รับสั่งด้วยสุรเสียงเย็นชาออกมาอีกว่า ” เราเห็นแก่ที่หมัวมัวเคยดูแลยามเยาว์วัย จึงอดทนกับเจ้าได้บ้าง แต่อย่าได้อาศัยความอดทนนี้มาทำเป็นลืมฐานะของตนเองไป “
น้ำเสียงนี้ไม่เพียงแต่เย็นชา หนำซ้ำยังแฝงความข่มขู่
ถึงแม้จะมิได้ทรงตรัสว่าจะกระทำสิ่งใด แต่สำหรับอันหว่านจือแล้ว นี่ก็เหมือนกับเอามีดมาแทงหัวใจของนางอยู่ดี
เรื่องไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้ นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดสักหน่อย เพียงแค่ห่วงใยฝ่าบาทเท่านั้นเอง ฝ่าบาทสมควรจะพูดจากับนางดีๆ ด้วยถึงจะถูก
จะต้องเป็นเพราะว่าสตรีในอ้อมพระหัตถ์ผู้นั้นกล่าวอะไรกับเพราะองค์เป็นแน่
ซูเม่ย! พวกเราคอยดูกันไปเถอะ!
………………………………….
ท้องฟ้ามืดมิดมากแล้ว ตำหนักบรรทมภายในพระตำหนักตี้หัวเริ่มจุดเทียนแล้ว เทียนพอสว่างไสว แสงสีแดงพวกนั้นก็ทำให้ในตำหนักดูอบอุ่นขึ้นมา
ในตำหนักมีเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวหนึ่งวางอยู่ ในตำแหน่งที่สะดุดตาอย่างที่สุด จีเฉวียนทรงอุ้มตู๋กูซิงหลันไปวางลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟย
พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าของนางยังคงซีดขาว ก็รีบรับสั่งให้หลี่กงกงไปตามหมอหลวงซุน อ๋อไม่สิ ตอนนี้เป็นแค่เด็กต้มยาแซ่ซุนมา
ฮ่องเต้รีบสั่งเรียกหาหมอหลวง ย่อมต้องเป็นที่รับรู้ของคนในวัง ยิ่งเรียกหาแค่คนต้มยาผู้หนึ่งยิ่งเป็นที่โจษจันกันมากกว่าเดิม
เด็กต้มยาซุนรู้สึกว่าชาติก่อนตนเองจะต้องเป็นคนโฉดชั่วเลวร้ายมามาก ไม่เช่นนั้นชาตินี้จะต้องตกต่ำมาถึงขั้นต้มยาเช่นนี้หรือ ยามที่รีบร้อนมาถึงพระตำหนักตี้หัว เขาแทบจะเอาศีรษะมุดเข้าไปในสายรัดอยู่แล้ว
คนป่วยเป็นอิสตรี!
ใบหน้าของหญิงสาวถูกผ้าโปร่งคลุมเอาไว้ จึงไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้อย่างชัดเจน
แต่ว่าบาดแผลที่นางได้รับค่อนข้างสาหัสมาก ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดจากที่ใด ถึงกลับลงมือกับสตรีที่อ่อนนุ่มเช่นนี้อย่างโหดเ**้ยม