ตอนที่ 170 อยู่ร่วมห้องกับฝ่าบาทตามลำพัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แต่ว่าบาดแผลที่นางได้รับค่อนข้างสาหัสมาก ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดจากที่ใด ถึงกลับลงมือกับสตรีที่อ่อนนุ่มเช่นนี้อย่างโหดเ**้ยม 

 

ดูบาดแผลนี้สิ หากว่าเป็นบุตรสาวของชาวบ้านทั่วไป แน่นอนว่าคงจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดจนสลบไปแล้ว แต่สาวน้อยที่คลุมหน้าเอาไว้ผู้นี้ กลับไม่ร้องเลยสักคำ ทำราวกับว่าเคยชินเสียแล้ว 

 

ทุกการกระทำของเขาล้วนถูกฝ่าบาทจับจ้องอยู่ เขาจึงไม่กล้าสับเพร่าแม้แต่น้อย 

 

ฝ่าบาทไม่ทรงรับสั่งเรียกหมอหลวง แต่เรียกหาเขา แสดงว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คน อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ฝ่าบาทก็พึ่งจะทรงเรียกกุ้ยเฟยมาถวายตัว 

 

ทว่ายามนี้กลับทรงมีสตรีอยู่ที่เบื้องนอกเสียแล้ว จุ๊ๆๆ! ทุกยุคทุกสมัยฮ่องเต้ล้วนแล้วแต่ทรงเจ้าสำราญ คำพูดนี้กล่าวได้ไม่มีผิด 

 

พอจัดการแผลเสร็จสับเรียบร้อย ต้มยาซุนถึงได้กราบทูลว่า ” ฝ่าบาท หนึ่งเดือนนับจากนี้ ควรให้แม่นางผู้นี้รับประทานเนื้อปลา เนื้อสัตว์และอาหารที่มีรสจัด รับประทานผักผลไม้ ปลา และกุ้งให้มากหน่อยจะช่วยฟื้นฟูบาดแผล “ 

 

จากนั้น ต้มยาซุนก็กล่าวกับตู๋กูซิงหลันอีกว่า ” แม่นาง โปรดจดจำเอาไว้ว่าจะต้องระมัดระวังอารมณ์ดีใจเสียใจ ไม่โกรธเกรี้ยวเกินไป ท่านบาดเจ็บจนถึงพื้นฐานของร่างกาย จำเป็นจะต้องทำนุบำรุงอย่างระมัดระวัง” 

 

นี่ก็ดูไปก็ประหลาดจริงๆ เมื่อครู่เขาจับชีพจรดู พบว่าร่างกายของนางขาดพลัง พื้นฐานว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประสบเหตุใดมา คล้ายว่าหัวใจเปราะบางอย่างยิ่ง 

 

นี่น่าจะ……..เป็นเพราะนางมีสถานะพิเศษ แต่กลับถูกฮ่องเต้หมายตาเข้า น่าเสียดายที่ในวังเองก็มีกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานอย่างออกนอกหน้าอยู่แล้ว 

 

ฝ่าบาทจึงทรงซ่อนนางเอาไว้ ทำให้นางอยู่อย่างไร้ศักดิ์ไร้ฐานะ จนกลายเป็นปมในใจ ถึงได้ส่งผลกระทบถึงร่างกาย 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า เป็นเพราะนางฝืนบังคับแยกดวงจิตและร่างเนื้อ จึงได้เกิดผลกระทบเช่นนี้ หมอหลวงซุนนับว่าเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ 

 

พอเขากล่าวจบแล้ว จีเฉวียนก็ให้หลี่กงกงพาคนกลับไปอย่างเงียบๆ 

 

” นั่นเอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมากแล้ว เวลานี้ก็ค่ำมากแล้ว ตอนนี้สมควรกลับตำหนักเฟิ่งหมิงได้แล้วละมั่ง ” ตู๋กูซิงหลันพูดแล้ว ก็ขยับตัวลุกขึ้น 

 

” ถึงตอนนี้ที่ด้านนอกล้วนรู้กันหมดแล้วว่าเราอุ้มกุ้ยเฟยเข้ามาในตำหนักบรรทม ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ต่อกี่คู่กำลังจับจ้องมาที่ตำหนักตี้หัว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปในตอนนี้? ” จีเฉวียนประทับลงข้างๆ สีพระพักตร์เยือกเย็น 

 

ที่จริงแล้ว แม้แต่พระองค์เองก็ยังทรงรู้สึกได้ว่า ตู๋กูซิงหลันในยามนี้กำลังอ่อนแออย่างมาก นางจำเป็นจะต้องได้พักผ่อน 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” 

 

ไม่รอให้นางได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งว่า ” คืนนี้เจ้าก็ค้างที่นี่ “ 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!! “ 

 

นางหันไปมองดูจีเฉวียนด้วยความตกตะลึง ” นี่ไม่ค่อยดีละมั้ง? “ 

 

จีเฉวียนทรงพระสรวลเสียงเย็น ” เจ้าคิดว่าเราจะทำอะไรเจ้าหรือ? “ 

 

ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงเสริมอีกประโยค ” ซูกุ้ยเฟยขาวกว่าเจ้า นุ่มกว่าเจ้า หอมกว่าเจ้า เราปล่อยนางไปไม่ต้องการ แล้วจะมาสนใจตัวเจ้าหรือ? “ 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านี่มันแทงใจดำอย่างยิ่ง ขออย่าได้โจมตีรูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ได้ไหม? 

 

นางเองก็ทั้งสวยทั้งหอมอยู่เหมือนกันนะ! 

 

ไม่ๆๆๆๆ ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ทีจะให้นางอยู่ลำพังกับฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ทั้งคืน? 

 

แต่พอเห็นว่าจีเฉวียนทรงทำท่าไม่ยอมให้นางได้ปฏิเสธใดๆ เลยสักนิด ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางอย่างสงบเสี่ยม ” เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ข้าก็จะนั่งอยู่บนนี้แหละ “ 

 

รอจนถึงผ่านครึ่งคืนไปแล้ว คิดว่าบรรดาสายสืบของพระสนมจากตำหนักต่างๆ ก็คงจะทนไม่ไหวพากันถอยไปเอง ถึงตอนนั้นนางก็ค่อยหลบออกไปอย่างเงียบๆ 

 

และเพราะพึ่งจะดื่มยาของหมอหลวงซุนลงไป นางจึงรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา ร่างกายก็หนักไปหมด 

 

คำพูดของนางก็ถูกจีเฉวียนทรงปฎิเสธอีก ” เจ้าเป็นคนเจ็บ เจ้าต้องนอนบนเตียง” 

 

ฮ่องเต้สุนัขในที่สุดก็รู้จักพูดจาประสาคนอยู่บ้าง 

 

ตรัสแล้ว ก็เสด็จเข้ามาอุ้มนางไปวางลงบนเตียงมังกร 

 

พอจะวางนางลงไป อยู่ๆ พระองค์ก็ทรงชะงักขึ้นมา คิดย้อนไปเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันเป็นคนปีนขึ้นเตียงของเขาด้วนตัวเอง…….. 

 

ตอนนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่อุ้มนางขึ้นมาบนเตียงตัวเอง? 

 

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าพระองค์เองออกจะผิดประหลาดไปเสียแล้ว 

 

ช่างเถอะ…..เป็นเพราะนางได้รับบาดเจ็บต่างหาก จำเป็นจะต้องพักผ่อน เตียงมังกรนี้อบอุ่นกว่า ฟูกก็อ่อนนุ่ม สบายกว่าหน่อย 

 

พอทรงคิดได้เช่นนี้ ก็ค่อยคลายพระหัตถ์ออก ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ตู๋กูซิงหลัน ” ปิดตา นอนเร็วๆ เข้า” 

 

ภายใต้แสงเทียน ดวงตาดอกท้อของนางเป็นประกายราวหยดน้ำ น่าชมเป็นที่สุด 

 

เขาเกรงว่าตนเองจะมองดูมากเกินไป ในใจจะบังเกิดความคิดน่ารังเกียจขึ้นมาได้ 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ายามนี้ตนเองได้แต่เป็นเนื้อบนเขียง ยามที่สมควรเชื่อฟังวาจาเช่นนี้ก็ควรจะทำตัวเชื่อฟังเอาไว้ก่อนจะดีกว่า 

 

นางไม่สนใจปัญหาแล้ว ปิดตา กอดผ้าห่มนอนดีกว่า 

 

จะอย่างไรก็ยังมีวิญญาณทมิฬอยู่ หากว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดจะทำอะไรขึ้นมา วิญญาณทมิฬย่อมต้องชิงบอกก่อนแน่ 

 

จีเฉวียนมองดูนางหลับตาลง ภายใต้แสงเทียน ใบหน้านั้นอาบไล้ด้วยแสงอันอบอุ่น ขนตาที่หนาเป็นแพ คิ้วเรียวโค้งได้รูป แลดูนุ่มนวล 

 

มองอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ต่อให้ได้มองดูอยู่เช่นนี้ทั้งคืน ก็คงยังไม่เต็มอิ่ม 

 

สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงเรียบเย็นดุจน้ำแข็งฉาบไว้ ครู่ต่อมาก็เสด็จไปดับเทียนลง ค่อยคลำทางในความมืดกลับมาที่เตียง 

 

พอถอดรองพระบาทออก ก็ขึ้นไปบนเตียงบรรทม 

 

ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้หลับ พอเห็นเขาทำเช่นนี้นางก็เกือบจะกระโดดผึงขึ้นจากเตียง 

 

นางรีบกลิ้งตัวไปด้านใน พอกำลังจะลุกขึ้นมา ก็ถูกจีเฉวียนกดเอาไว้ ” ถ้ายังกระดุกกระดิกได้อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ หัวของเจ้าก็คงจะไม่ต้องการแล้วสินะ? “ 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดจริงๆ ” ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท ก็ทำไมพวกเราถึงต้องนอนเตียงเดียวกันด้วย? “ 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้นางอ่อนแอมาก จะต้องสู้ตายแน่นอน 

 

” นี่เป็นเตียงของเรา เราไม่นอนบนเตียงแล้วจะไปนอนที่ไหน? ” เสียงของพระองค์ตรัสอยู่ในความมืด จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งพาดผ่านคอของนางเอาไว้ ให้นางได้แต่ต้องนอนนิ่งๆ อยู่ข้าง 

 

” แต่บุรุษและสตรีไม่อาจใกล้ชิด! ” ยามนี้ตู๋กูซิงหลันเขินอายเสียจนในใจแทบจะตะโกนออกมาอยู่แล้ว 

 

จีเฉวียน ” เราก็ไม่ได้จูบเจ้าสักหน่อย “ 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” โว้ย ฮ่องเต้สุนับที่ไร้ยางอาย! 

 

” เจ้ากับเราเป็นแม่ลูกกัน นอนเตียงเดียวกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ” จีแวนยังคงใช้พระหัตถ์กักตัวนางไว้ ” เราง่วงแล้ว ไม่อยากพูดกับเจ้าอีก ปิดปากเสีย นอนให้เรียบร้อยด้วย” 

 

คราวนี้รู้จักเรียกเป็นแม่ลูกแล้วหรือ? 

 

ยามปกติไม่เคยเห็นท่านให้ความเคารพข้าบ้างเลย! 

 

สวรรค์ทรงโปรดหากว่ายามนี้ตู๋กูซิงหลันยังสามารถนอนหลับได้ก็ถือว่าประหลาดแล้ว 

 

ทำไมสถานการณ์อยู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้? 

 

ตอนนี้ยิ่งทีนางยิ่งมองฮ่องเต้ไม่ออกเสียแล้ว 

 

เขาเล่นให้นางใช้ชื่อของซูเม่ยเข้ามาในตำหนักบรรทม อยู่ร่วมกับเขาตามลำพังกันทั้งคืน ทำเช่นนี้ในใจของนางก็รู้สึกผิดต่อซูเม่ยมากแล้ว 

 

ตอนนี้ยังถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันอีกหรือ? 

 

หากว่านางคือซูเม่ย นางจะต้องถือดาบใหญ่ยาวสักสามสิบเมตร มาหั่นไทเฮาชาเขียวผู้นี้เป็นชิ้นๆ แน่ 

 

จีเฉวียน……ตกลงแล้วเขาคิดจะให้นางกับซูเม่ยฆ่ากันเองหรือไง หรือว่ายังมีแผนอื่นๆ อีก? 

 

ตู๋กูซิงหลันเงียบไปอย่างคิดไม่ออก 

 

บนลำคอของนางมีท่อนแขนของเขาพาดอยู่อย่างแน่นหนา แขนนั้นเย็นเป็นน้ำแข็งทีเดียว ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าที่ข้างกายมีน้ำแข็งก้อนใหญ่นอนอยู่ ชนิดที่ความร้อนสักนิดไม่กล้ากล้ำกลาย 

 

จีเฉวียนบรรทมลงที่ข้างกายนาง ใช้เตียงเดียวร่วมกับตู๋กูซิงหลัน ท่อนแขนของเขาพาดอยู่บนลำคอนาง ทำให้รู้สึกอุ่นๆ นุ่มๆ สบาย 

 

จมูกของเขาได้กลิ่นดอกฮว๋ายจากตัวของนาง นางพึ่งจะดื่มยาลงไป จึงยังมีกลิ่นยาอวนอยู่จางๆ ที่ผ่านมาเขาไม่ชอบกลิ่นยา แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกว่าแย่สักเท่าไหร่ 

 

ครั้งแรกที่นอนเตียงเดียวกับสตรี จะเป็นความรู้สึกเช่นนี้หรือ? คล้ายว่า ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจสักเท่าไหร่ 

 

แต่ว่าความรู้สึกนี้กลับทำให้เขาอยากเข้าใกล้นางมากกว่าเดิมอีกสักหน่อย อย่างไรเสียคนเป็นๆ ก็สบายกว่าเตาอุ่นมือมากนัก