บทที่ 212 จังหวัด A
เมื่อมู่หรงเสวี่ยแวบออกมาจากมิติลับ ห้องก็มืดแล้ว เธอเห็นฮวงฟูอี้ที่กำลังนั่งอยู่ที่เตียงในความมืด
“อี้…” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน
ฮวงฟูอี้ที่อยู่บนเตียงรีบดึงมู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งแวบออกมาจากมิติลับทันทีแล้วกดเธอลงไปที่เตียง “นายจะทำอะไร? ปล่อยฉันนะ!” มู่หรงเสวี่ยที่ถูกกดอยู่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
นิ้วของฮวงฟูอี้เกี่ยวอยู่ระหว่างผมที่อ่อนนุ่มของมู่หรงเสวี่ย “รู้อะไรไหม?! ทุกวินาทีที่เธอไม่อยู่ที่นี่ ฉันเหมือนกำลังอยู่ในนรกเลย…”
มู่หรงเสวี่ยหันมามองหน้าเขา เมื่อสายตาดำเข้มของเขามองมาที่เธอ สายตามองชัดจนเธอเห็นอารมณ์ทั้งหมดได้ผ่านสายตาของเขาอย่างง่ายดายและทันในนั้นหัวใจของเธอก็เต้นรัวขึ้นมา
“ฉัน…ฉันแค่อยากที่จะไปหาเบาะแส…” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างงงๆ หลังจากที่หยุดไปเธอก็พูดต่อ “อี้ ฉันเจอทางเข้าผ่านห้วงเวลาและมิติลับแล้วนะ…”
ฮวงฟูอี้จับไหลเธอและกำมือเธอแน่น “หลังจากที่อยู่ในนั้นตั้งนาน เธอได้เข้าไปหรือเปล่า?” น้ำเสียงเขาต่ำ คมและบ่งบอกถึงความเจ็บปวด
มู่หรงเสวี่ยรีบตอบออกมาทันที “ฉันไม่ได้เข้าไปนะ”
“แต่เธอก็ลังเลใช่ไหม?! ถ้าไม่งั้นเธอก็คงไม่ลังเลที่จะเข้าไป…” จู่ๆฮวงฟูอี้ก็กอดเธอไว้แน่น
สิ่งที่เสี่ยวเข่อลี่พูดวันนี้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาอย่างมาก ตอนที่เธอเข้าไปในมิติลับอีกครั้ง ความตื่นตระหนกก็เข้ามาแทนที่ความโกรธของเขา
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้ ดวงตาของเขาซ่อนอยู่ในความซับซ้อนทำให้หัวใจของเธอสั่นเทิ้ม “ฉัน…”
ฮวงฟูอี้ไม่เข้าใจว่าเธอไม่สนใจความกลัวของเขาได้ยังไง ช่วงเวลาที่รอคอยวันนี้มันยากยิ่งกว่าที่เคย ราวกับเป็นพิษที่ไร้สีไร้รสชาติที่กำลังคืบคลานเข้ามาในร่างกายเขาทีละนิดๆ หัวใจเขารู้สึกร้อนรนราวกับกำลังดิ้นอยู่ในหลุมลึกที่ตื่นกลัวเพราะไม่รู้จะพาตัวเองออกมายังไง
เธอนึกถึงความห่วงใยที่ฮวงฟูอี้มีให้กับเธอ ตั้งแต่เริ่มแรกของการหายตัวไปถึงแม้เธอจะโกรธหรือเสียใจแต่เขาก็ไม่เคยตัดสินเธอเลย แม้แต่ในระหว่างที่พ่อแม่เธอหายตัวไป เขาก็ช่วยเธอตามหาโดยไม่พูดอะไร ไม่เคยบ่นสักคำและถึงขนาดคอยปลอบใจเธออยู่ตลอดด้วย
ก่อนที่เธอจะรู้ ฮวงฟูอี้ก็กลายเป็นคนดีไปแล้ว
“อี้ ฉันจะต้องเข้าไป ยังไงซะพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของฉัน…” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อพร้อมน้ำตาในดวงตา “แต่นายมั่นใจได้เลยนะว่าก่อนที่ฉันจะเข้าไปฉันจะหาวิธีบอกนายให้ได้ก่อน ดังนั้นอย่าทำท่าทางแบบนี้เลยนะ พอได้เห็นแล้วฉันเสียใจ…รู้ไหมว่าฉัน…ฉันรักนายนะ…”
ฮวงฟูอี้กอดเธอแล้วก็จูบเธออย่างรุนแรงราวกับกำลังปีนเขา
จูบของเขาดูดดื่มด้วยความบ้าคลั่งโดยสัญชาตญาณ แรงระหว่างริมฝีปากของเขาปั่นป่วนไปหมดแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเจ็บ
มู่หรงเสวี่ยช่วยไม่ได้ที่จะยกตัวขึ้นสูงและกางแขนออกทีละน้อยเพื่อกอดไปที่คอของเขา หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยความสุข หัวใจและวิญญาณเชื่อมโยงกันและร่องรอยไปทีละนิดๆระหว่างริมฝีปาก
ไม่รู้ว่าจูบยาวนานแค่ไหน ฮวงฟูอี้ค่อยปล่อยเธอออก ระหว่างคนทั้งคู่มีความรู้สึกกำกวม มู่หรงเสวี่ยเขินมากจนเธอเกือบจะทำตัวไม่ถูก ฮวงฟูอี้อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ท่าทางน่ารักที่เขินอายของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ “เสี่ยวเสวี่ย…”
มู่หรงเสวี่ยตัดสินใจและกอดฮวงฟูอี้ไว้แน่น “อี้ ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะกอดนายไว้…”
“ดี!”
ดั่งคำสัญญาณ ในตอนนี้หัวใจของคนทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างมาก
หลังจากที่ลุกขึ้นมาฮวงฟูอี้ก็กลับไปทำงานในระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยกำลังเตรียมตัวที่จะกลับไปที่จังหวัด A เพราะการหายตัวไปของพ่อแม่เธอ มู่หรงกรุ๊ปตอนนี้จึงขาดผู้นำและมีหลายคนที่พร้อมจะเข้ามาโจมตี
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยอธิบายสถานการณ์ให้ฮวงฟูอี้เรียบร้อย หลงอี้ก็ได้รับคำสั่งจากฮวงฟูอี้ให้ตามไปปกป้องมู่หรงเสวี่ย ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะบอกว่าเธอมีมิติลับและไม่ต้องการการปกป้องจากคนอื่นก็ตาม ฮวงฟูอี้ก็ยังยืนยันคำเดิม
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมามู่หรงเสวี่ยก็มาถึงจังหวัด A
มู่หรงเสวี่ยรีบเข้าไปปลอบแม่บ้านของตระกูลมู่หรงทันทีแล้วจึงไปที่มู่หรงกรุ๊ป ถึงแม้เธอจะไม่เคยมาที่บริษัทของพ่อเลยแต่ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ทุกคนในบริษัทจึงรู้จักมู่หรงเสวี่ยกันหมด ดังนั้นทันทีที่มู่หรงเสวี่ยมาถึงบริษัทก็มีคนรีบเข้ามาต้อนรับทันที
“คุณมู่หรง มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” เจ้าหน้าที่บริษัทรีบเข้ามาสอบถามทันที
“ห้องท่านประธานอยู่ที่ไหน? พาฉันขึ้นไปที” มู่หรงเสวี่ยสั่ง
พนักงานผู้หญิงมีท่าทางบุคลิกที่ดีมาก ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นผู้หญิงสวยแต่ก็ถือว่าดูดีอย่างมาก เธอรีบพูดออกมาอย่างสุภาพทันที “ได้ค่ะ เชิญตามฉันมาได้เลยค่ะ…”
พนักงานต้อนรับที่อยู่ด้านหน้าพามู่หรงเสวี่ยและหลงอี้ไปที่ลิฟต์เฉพาะสำหรับประธานคณะกรรมการแล้วขึ้นไปที่ชั้น 22 ห้องทำงานของประธานอยู่ที่ชั้นนี้ พนักงานหญิงอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านประธานหรือเปล่า เธอไม่เห็นเขาเข้ามาที่บริษัทหลายวันแล้ว แล้วคุณมู่หรงที่ไม่เคยเข้ามาที่บริษัทกลับเข้ามาแทน แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของพนักงานชั้นล่างแบบเธอ ตราบใดที่เธอทำหน้าที่อย่างดี มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไร จู่ๆพ่อแม่ของเธอก็หายตัวไปกะทันหันในบริษัทคงจะเกิดการคาดเดาไปต่างๆนานาแน่ๆ ไม่ว่ายังไงเธอก็จะปกป้องบริษัทของพวกท่านไว้ จนกว่าพวกท่านจะกลับมาจะไม่มีใครเข้ามาแทนที่ได้
“ห้องทำงานท่านประธานอยู่ทางนี้ค่ะ…” พนักงานสาวพามู่หรงเสวี่ยมาจนถึงประตูห้องทำงานและพูดออกมาอย่างเคารพ
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและพูดออกไปว่า “โอเค คุณไปได้แล้ว!”
มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูห้องท่านประธานเข้าไปทันทีและภายในก็กว้างมาก โซฟาสีดำถูกตั้งอยู่ด้านซ้ายและโต๊ะหินอ่อนสีดำก็ยิ่งช่วยเพิ่มความหรูหราขึ้นไปอีก ที่ด้านขวามีตู้เก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่เก็บไวน์ต่างประเทศคุณภาพดีไว้มากมาย ด้านหลังตู้เป็นห้องสำหรับไว้พักผ่อนเป็นครั้งคราว
“หลงอี้นายจะนั่งตรงไหนก็ได้นะ ฉันต้องจัดการอะไรหน่อย!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับหลงอี้ซึ่งไม่ได้ตอบอะไรเธอ
หลงอี้พยักหน้าแต่ก็ยังดูสุภาพอยู่ เขาเดินตรงไปนั่งที่โซฟาด้านข้างและนั่งลง เขาบอกว่าดราก้อนมาสเตอร์ส่งเขามาเพื่อคุ้มครองคุณมู่หรง แต่ในองค์ก็มีคนอื่นอีกมากมายที่เก่งพอๆกับเขา ทำไมต้องส่งเขามาที่นี่ด้วย? เขากลัวว่างานของดราก้อนมาสเตอร์จะเกิดปัญหามากกว่า
เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานและอยากที่จะเปิดคอมพิวเตอร์ของพ่อเธอ เธอก็พบว่าตัวเองต้องใส่รหัสด้วย รายละเอียดข้อมูลที่อยู่ที่โต๊ะถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ เธอมองไปที่เบอร์โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ต่างๆที่อยู่ข้างๆโทรศัพท์แล้วกดไปที่เบอร์ของเลขาประธานซึ่งรับสายภายในเสี้ยววินาที
“เชิญที่ห้องท่านประธานหน่อยค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยวางสายหลังจากที่พูดออกไปแค่ประโยคเดียว
หลังจากนั้นสักพักก็มีเสียงเคาะที่ประตู “เข้ามา” มู่หรงเสวี่ยที่นั่งพิงอยู่ที่เก้าอี้มือกอดอกพูดออกมา
คนที่เข้ามาคือชายอายุประมาณ 30 เขาดูไม่แปลกใจที่เห็นมู่หรงเสวี่ย เขายังโค้งตัวทักทายอย่างเคารพด้วย “คุณหนูมีอะไรให้ผมช่วยครับ?”
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รีบพูดออกไปในทันทีแต่มองไปที่เลขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานแล้วเพียงพูดออกมาสั้นๆ “คุณชื่ออะไร?”
“ผมชื่อหลินหงครับ!” หลินหงยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสงบ
เขาคือคนที่มีค่าในสายตาของพ่อเธอ บางครั้งเธอเคยได้ยินพ่อพูดชมเลขาคนนี้ที่บ้านด้วยซึ่งปกติพ่อเธอแทบจะไม่เคยเอ่ยปากชมใคร เขาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆถึงทำให้พ่อเธอพอใจขนาดนั้นได้
จากที่พ่อเธอบอกเลขาคนนี้คือคนที่เขาเลือกมาเอง ในตอนนั้นเขามีหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าให้พ่อเธอเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าพ่อของเธอกำลังเล็งเขาอยู่ พูดสั้นๆคือพ่อเธอรับเขาเข้ามาแต่ก็ไม่เคยให้เขามาที่บ้านมู่หรงเลย แต่กลับซื้อบ้านเล็กๆขนาดประมาณ 30 ตรม.ให้แทนแล้วก็ให้เขาเข้ามาทำงานที่บริษัท เขาถึงขนาดเป็นคนฝึกให้ด้วย
มู่หรงเสวี่ยไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการตัดสินใจของพ่อ เขาก็แค่คนคนหนึ่งแต่เธอกลัวว่าเขาจะได้รับความไว้วางใจจากพ่อตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น
“ช่วยบอกสถานะของบริษัทและปฏิกิริยาของผู้ถือหุ้นหลายรายเมื่อเร็ว ๆ นี้หน่อยได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูด หลินหงจับแว่นที่หน้าแล้วจึงพูดออกมา “บริษัทยังดำเนินการได้เป็นปกติแต่เพราะการที่ท่านประธานไม่ได้เข้ามาที่นี่อยู่หลายวัน จึงทำให้เกิดข่าวลือกระจายไปทั่วบริษัทอยู่บ้าง
นอกจากนี้หลายวันที่ผ่านมาก็มีผู้ถือหุ้นหลายรายโทรเข้ามาถามเรื่องของท่านประธานอยู่เหมือนกัน ผมหาข้ออ้างไปบ้างแล้วแต่ก็คงได้ผลอีกไม่นาน…”
มู่หรงเสวี่ยฟังหลินหงรายงานอย่างตั้งใจและในที่สุดก็พูดออกมา “แจ้งผู้ถือหุ้นทุกคนให้เข้ามาประชุมที่นี่ตอน 9 โมงเช้าพรุ่งนี้!”
หลินหงพยักหน้า “ครับ ผมจะเตรียมให้พร้อม”
“เรียบร้อย คุณออกไปได้แล้ว” มู่หรงเสวี่ยพูด
หลินหงโค้งเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไป ตอนที่เขาไปถึงประตูเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเล็กน้อย “คุณหนูครับ ผมขอถามได้ไหมว่าท่านประธานหายไปไหน?”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ด้านหลังของหลินหงซึ่งยืดตรง อย่างไรก็ตามเมื่อเธอสังเกตอย่างละเอียดก็เห็นว่ามือของเขากลายเป็นกำแน่นและดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย ในสายตาของเธอแวบประกายแล้วจึงพูดออกมา “มันคงไม่เป็นไรที่จะบอกคุณแต่ฉันไม่รู้ ดังนั้นก่อนที่คุณพ่อจะกลับมา ฉันหวังว่าคุณจะช่วยฉันปกป้องบริษัทของคุณพ่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…”
สุดท้ายหลินหงก็ลืมมาดของตัวเอง เขาหันกลับมาและถามออกมาอย่างกระหาย “เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณหนู?…”
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เปิดปากพูดอะไร ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผยออกไป เธอก็คงจะปิดเรื่องนี้ได้อีกไม่นาน จึงได้แต่พูดออกไปเสียงเบา “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นหรอก พูดง่ายๆเดี๋ยวคุณพ่อก็จะกลับมา…” นี่ดูเหมือนเธอกำลังพยายามที่จะโน้มน้าวหลินหงและตัวเองด้วย
ร่างกายของหลินหงนิ่งและสุดท้ายเขาก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร อันที่จริงเขาปฏิบัติกับท่านประธานราวกับเป็นคุณพ่อที่รัก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ต่อหน้าคุณมู่หรงเขาไม่มีตัวตนเลย แต่ก็อย่างที่คุณมู่หรงพูด เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องบริษัทของท่านประธาน
หลงอี้ไม่เคยมีวันที่สบายๆแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันยากที่จะปล่อยให้ดราก้อนมาสเตอร์ยุ่งหัวหมุนแต่ตัวเองกลับมานั่งดื่มกาแฟสบายๆ อันที่จริงเขามองมู่หรงเสวี่ยในฐานะอนาคตคู่ชีวิตของดราก้อนมาสเตอร์ นั่นก็คืออนาคตนายหญิงของดราก้อนพาวิลเลี่ยนดังนั้นเขาจึงค่อนข้างอึดอัดกับความสบายในตอนนี้ แต่ก่อนเขาถูกดราก้อนมาสเตอร์ทำร้ายมาตลอด แต่ตอนนี้มู่หรงกลับไม่สนใจท่าทางของหลงอี้ด้วยซ้ำ เธอจมอยู่กับเอกสารของมู่หรงกรุ๊ป
หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอโทรหาโม่จือเหวินและสั่งอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็กลับไปทำงานอย่างหนักต่อ
“คุณมู่หรง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” หลงอี้อดไม่ได้ที่จะถาม
มู่หรงเสวี่ยนวดขมับที่ปวดตุบและพูดออกมา “มีสิ!”
หลงอี้รอคำสั่งแต่กลับได้ยินคำตอบว่า “ช่วยไปนั่งและอย่ามารบกวนฉัน!” มู่หรงเสวี่ยพูด
สีหน้าที่กำลังมีความสุขของหลงอี้หยุดชะงักทันที ราวกับก้อนน้ำแข็งที่แตกละเอียด เขากลับไปนั่งลงอยู่เงียบๆ…สองคนนี้เหมาะสมกันแล้วจริงๆ ปากร้ายพอกันเลย จิตใจที่บริสุทธิ์และเปราะบางของเขาต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ
กว่าที่มู่หรงเสวี่ยจะปิดเอกสารก็ดึกแล้ว เมื่อเธอลุกขึ้นก็พบว่าท้องของเธอเริ่มจะร้องแล้วและหลงอี้ก็ยังนั่งอยู่ที่มุมห้อง
“หลงอี้ นายทำอะไรอยู่?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
ทันทีที่หลงอี้หันกลับมา เขาก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าเศร้าๆ กัดริมฝีปากล่างและรู้สึกผิดเล็กๆ
มู่หรงถาม “นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย?!!!” แล้วเธอก็เอื้อมมือออกไปหยิบลูกอมที่วางอยู่บนโต๊ะ “เอ้า! นี่ลูกอม”
หลงอี้เอื่อมมือออกมารับอย่างอธิบายไม่ถูก แล้วก็แกะลูกอมและใส่เข้าไปในปาก แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้สติกลับมา “คุณมู่หรง คุณเอาลูกอมมาให้ผมทำไม…”
“อ้าว! นายไม่ได้อยากกินลูกอมเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างไร้เดียงสาแต่สายตาของเขามันก็บอกอยู่อย่างชัดเจนนิ
โอ๊ย!!! อยากจะบ้าตาย นี่เห็นเขาเป็นเด็กหรือไง!!! เขาเป็นหัวหน้าทีมเลยนะ!!! ดูเหมือนต่อหน้าดราก้อนมาสเตอร์และคุณมู่หรงเขาจะไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว เขาพยายามปลอบใจตัวเองและลุกขึ้น “คุณมู่หรงหิวหรือยังครับ?”