ตอนที่ 75-3 แมวน้อย เหลียนจิ่นไม่ไหวแล้ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

ขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจะถึงคุกวารีสวรรค์นั่นเอง นางก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันดังลอยเข้ามา

 

 

พลันเมื่อนางไปถึง คนสามคนกำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับเชียนเยี่ยเสวี่ยและมั่วซาง

 

 

“โธ่เว้ย บอกแล้วว่าอย่าให้โดนหน้าข้า เจ้าพวกนี้ฟังภาษาคนมิรู้เรื่องหรืออย่างไรหา!”

 

 

เมื่อแก้มถูกคมดาบฟันจนเป็นแผล หนุ่มเจ้าสำอางอย่างเชียนเยี่ยเสวี่ยก็ถึงกับอดรนทนไม่ไหว ตวัดดาบออกไปฟันฉับเข้าที่ใบหูของคู่ต่อสู้

 

 

“ในเมื่อบอกแล้วฟังมิรู้ความ หูนี่มีไว้ก็เป็นส่วนเกิน มิรู้ว่าจะเอาไว้ทำอะไร!”

 

 

สองในสามคนเป็นผู้มีพลังยุทธ์ระดับราชัน ส่วนอีกคนเป็นระดับจักรพรรดิ

 

 

เมื่อเห็นฐานะของอีกฝ่าย อวี้เฟยเยียนถึงกับหนักใจ ครั้งนี้ถือว่าสำนักหมื่นพิษลงทุนลงแรงไม่น้อย!

 

 

“ฮันจื่อ ถึงตาเจ้าแล้ว”

 

 

ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการที่ต่ำช้าอย่างที่สุด นั่นก็คือวางยาพิษ อวี้เฟยเยียนจึงตบไปที่ศีรษะของฮันจื่อ มันจึงรีบกระโดดออกมาทันที

 

 

“อย่าร้องสิ! เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้า! ครานี้พวกเราจะทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่!”

 

 

ฮันจื่อที่เดิมทีอยากจะกู่ร้องให้ก้องฟ้า แต่พอได้ฟังประโยคต่อมาเท่านั้น ความโกรธก็แล่นขึ้นมาจุกอก

 

 

“ข้าเพียงแค่อยากจะข่มขู่พวกเขากลัวเท่านั้นเอง!”

 

 

แต่ในเมื่อแม่นางน้อยถึงกับออกปาก ว่าจะทำความความดีโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่ เช่นนั้นไปกลับจดเอาไว้ก็แล้วกัน พอใจแล้วสินะ!

 

 

เมื่อไม่สามารถแสดงแสงยานุภาพความเป็นสัตว์ป่าของตนออกมาได้ ทำให้ครั้งนี้ฮันจื่อโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

 

 

มันเปลี่ยนความโกรธเป็นพลัง กระโจนออกไปด้านหน้า กัดที่คอของคนร้าย แล้วสะบัดแยกศพของมันออกเป็นสองท่อน

 

 

เมื่อจัดการสังหารได้คนหนึ่งแล้ว แต่ฮันจื่อก็ยังมิหนำใจ กระโจนเข้าหาอีกสองคนที่เหลือแล้วจัดการทั้งสองคนจนเรียบร้อย กรงเล็บของมันตะปบเข้าที่ใบหน้าของศัตรู

 

 

“กรอด กรอด”

 

 

เพียงไม่นาน คนทั้งสามก็กลายเป็นเนื้อแผ่นไปในทันที

 

 

“เหอะๆ!”

 

 

“สามคน น้อยชะมัด!”

 

 

“น่าจะมาอีกสักสามสิบคนก็คงจะดี!”

 

 

“ข้ายังมิทันอบอุ่นร่างกายเลยด้วยซ้ำ!”

 

 

ฮันจื่อเลียเลือดสดๆ บริเวณริมฝีปากของตนอย่างแสนเสียดาย เดินสะบัดก้นจนหางปลิดปลิวไปมาจนไปถึงริมบึง จากนั้นจึงเริ่มชะล้างรอยคราบเลือดออกจากกรงเล็บของตนอย่างพิถีพิถัน

 

 

“โอ้โห ข้างมิได้ตาฝาดไปใช่ไหม! สัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้นี้ ซาซา เจ้าไปเก็บมาจากที่ไหนกันนี่ ยังมีอีกไหม ข้านึกอยากได้สักตัว”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยวิ่งมาหยุดที่ด้านข้างของฮันจื่อ แล้วมองสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

 

“เยี่ยมไปเลย! ข้ารู้สึกว่ามันฟังเข้าใจสิ่งที่มนุษย์พูดกันเสียด้วย เฉลียวฉลาดเกินไปแล้ว!”

 

 

เจ้าหนุ่มนี่ สายตาดีใช้ได้ทีเดียว!

 

 

ฮันจื่อเหลือบตาขึ้นจ้องมองเชียนเยี่ยเสวี่ย นัยน์ตาเต็มไปด้วยอาการชื่นชม

 

 

“มิต้องยกย่องข้าหรอก ข้ายอดเยี่ยมเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว”

 

 

เจ้านี่ชื่อฮันจื่อ! เจ้านายของมันคือคนอื่น!

 

 

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้อวี้เฟยเยียนก็คิดถึงซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมา นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาเปล่งเสียงออกมา เขาก็มิเคยเปล่งเสียงใดๆ  ออกมาอีกเลย

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียน เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ?

 

 

ทว่า ตอนนี้เวลาคับขัน อวี้เฟยเยียนจึงไม่มีเวลามาคิดใคร่ครวญปัญหานี้

 

 

นางนำมั่วซางไปที่หน้าผา มั่วซางใช้กระบี่อันล้ำค่าตวัดตัดลูกกรงเหล็กออก คนทั้งสองรวมพลังกันช่วยเหลือหมอเทวดาฮั่วและเฉิงก้วนจงออกมาได้

 

 

“ดีจริงๆ ! ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!”

 

 

หมอเทวดาฮั่วเปียกปอนไปทั้งตัว ถึงแม้ว่าจะมีอาการอ่อนล้าไปบ้าง แต่เมื่อได้รับอิสรภาพ ร่างกายก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

 

 

เฉิงก้วนจงกินยาของอวี้เฟยเยียนเข้าไป เพียงนานเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

 

 

“ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ”

 

 

หมอเทวดาฮั่วและเฉิงก้วนจงกล่าวออกมาขณะที่โค้งกายขอบคุณหนุ่มสาวทั้งสามคน

 

 

“ท่านลุง ท่านเกรงใจเช่นนี้ข้าน้อยไม่คุ้นชินเอาเสียเลย!”

 

 

ว่าแล้วเชียนเยี่ยเสวี่ยก็หัวเราะ

 

 

“ฮ่าๆ ” เสียงดังออกมา

 

 

“ที่นี่ไม่ใช่ที่รำลึกความหลังกันนะ พวกเรารีบไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า กลับไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

 

 

“ดี”

 

 

หมอเทวดาฮั่วพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

“มาเถอะ ท่านลุง ข้าแบกท่านเอง!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวจบแล้วจึงเดินมากึ่งๆ  นั่งยองๆ  ที่เบื้องหน้าของหมอเทวดาฮั่วพร้อมๆ กับตบที่บ่าของตนเองร้องว่า

 

 

“ขึ้นมา!”

 

 

เห็นเชียนเยี่ยเสวี่ยทำเช่นนี้ แต่หมอเทวดาฮั่วกลับไม่ยอมท่าเดียว

 

 

ผู้อื่นอาจจะมองไม่ออก แต่เขาเองจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นเด็กผู้หญิงกันนะ ผู้หญิงแบกผู้ชายมีที่ไหนกัน!

 

 

ไม่สมควรแน่ๆ

 

 

“ไม่! ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย ข้ามีมือมีเท้า เดินไปเองได้!”

 

 

แต่ทว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยจัดว่าเป็นพวกลงมือปฏิบัติจริงชนิดขวาจัด จึงไม่ปล่อยให้หมอเทวดาฮั่วได้โต้แย้งใดๆ  ก็ดึงเขาขึ้นหลังแล้วเริ่มออกเดินทันที

 

 

“วางข้าลงนะ“

 

 

“ท่านลุง หากว่าท่านจะเรียกผู้อาวุโสอะไรมาละก็ เรียกมาได้เต็มที่เลย!”

 

 

ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยข่มขู่เช่นนี้  หมอเทวดาฮั่วจึงรีบปิดปากแทบไม่ทัน

 

 

ขณะเดียวกันในเวลานั้นเอง มั่วซางเองก็จ้องมองไปที่เฉิงก้วนจง

 

 

“ข้าไม่ต้องล่ะนะ ข้าเดินไปเองได้”

 

 

ทว่า เพียงแค่เขายกขาก้าวขึ้น ก็รู้สึกเจ็บระบมก้นจนเขาร้องออกมา

 

 

มั่วซางชอบแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเสียอีก เขาลงมือปฏิบัติจริงทันที แขนทั้งสองข้างตวัดพร้อมกันก็อุ้มเฉิงก้วนจงขึ้นมาในอ้อมอกได้เลยทันที ในท่าอุ้มเจ้าหญิง

 

 

“เฮ้ย เฮ้ย”

 

 

เฉิงก้วนจงร้องโวยวายเสียงดัง นี่มันเรื่องอะไรกัน เขาเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชาย มาอุ้มกันเช่นนี้ มิเท่ากับทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดหรืออย่างไร!

 

 

“หนวกหูน่า!”

 

 

มั่วซางย่นคิ้ว กระโดดทีเดียวร่างของเขาก็ลอยขึ้น ทำเอาเฉิงก้วนจงตกอกตกใจเป็นอย่างมาก จึงทำได้แต่เพียงกำเสื้อของมั่วซางเอาไว้แน่น

 

 

คณะของอวี้เฟยเยียนกำลังเร่งรีบเดินทางกลับ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเรือนของพวกเขาก็เกิดเสียงร้องอื้ออึงดังขึ้น

 

 

“แย่แล้ว แม่นางมู่แย่แล้ว!”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงดังนั้น เหลียนจิ่นที่นอนอยู่บนเตียงก็กระเด้งตัวลุกขึ้นทันที

 

 

“เสียงของมู่เหนี่ยนซี!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนก็ฟังออกเช่นกันว่าเป็นเสียงของมู่เหนี่ยนซี

 

 

เขารู้ดีว่า มู่เหนี่ยนซีคือว่าที่ป้าสะใภ้สาม หากว่านางเกิดเป็นอะไรขึ้นมา มิเพียงแต่อวี้เชียนเสวี่ยเท่านั้นที่จะเสียใจ อวี้เฟยเยียนก็คงต้องเสียใจมากเช่นกัน ว่าแล้ว เขาก็รีบชันกายลุกลงจากเตียง

 

 

“ไม้เท้าเทพ ข้าไปดูเอง เจ้าร่างกายอ่อนแอ พักก่อนเถอะ!”

 

 

เมื่อก้าวย่างออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงของกระบี่ดังแว่วมา ชิงหงกำลังประมืออยู่กับคนชุดดำคนหนึ่ง

 

 

เสวี่ยเยี่ยน เจ้ารีบเข้าไปช่วย

 

 

เมื่อเห็นว่าคนชุดดำนั้นฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับชิงหง ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบออกคำสั่งทันทีส่วนตัวเขาเองก็รีบวิ่งไปที่มู่เหนี่ยนซีทันที

 

 

ใครจะรู้ได้ เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนผละไป ร่างของอีกบุคคลหนึ่งก็รีบผลุบเข้าไปในห้องเหลียนจิ่นทันที

 

 

“เจ้าเอง”

 

 

เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือใคร เหลียนจิ่นก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ราวกับว่าทุกสิ่งล้วนล้วนเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว

 

 

“ในที่สุดเจ้าก็มาเสียทีนะ”

 

 

เมื่อได้ยินในสิ่งที่เหลียนจิ่นกล่าวมา ซย่าโหวเสวี่ยก็ออกอาการตื่นเต้น

 

 

“พี่เหลียน ท่านรอข้ามาตลอดอย่างนั้นหรือ ข้ารู้ว่าพี่เหลียนพอใจข้า! พี่เหลียน ท่านมิรู้หรอกว่าข้าคิดถึงพี่มากเพียงใด! จ้าวเซิ่ง คอยจับตาดูข้าอยู่ตลอดเวลา ยากนักกว่าที่ข้าจะหนีออกมาได้ พี่ดีใจหรือไม่”

 

 

ข้าดีใจ ข้าต้องดีใจแน่นอน!

 

 

เหลียนจิ่นยื่นมือออกมาพร้อมกับกล่าวว่า

 

 

“เจ้ามีของจะให้พี่ไม่ใช่หรือ เอาออกมาสิ”

 

 

ซย่าโหวเสวี่ยนึกไม่ถึงว่าเหลียนจิ่นจะรู้ มันทำให้นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าเหลียนจิ่นสามารถทำนายได้นางก็คลายความกังวลลง

 

 

ซย่าโหวเสวี่ยไม่ปิดบังในสิ่งที่ตนเองคิดอีกต่อไป นางหยิบตาเม็ดกลมๆ ออกมาแล้วยื่นไปทางเหลียนจิ่น

 

 

“พี่เหลียน ท่านอย่าตำหนิข้าเลยนะ! เพราะข้าอยากครอบครองพี่ อยากจนเกินไป! ดังนั้นถึงได้ไปหาผู้อาวุโสเพื่อขอยานี่มา!”

 

 

“แต่พี่วางใจเถอะ ผู้อาวุโสบอกว่า ยาแบบนี้ไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายของพี่เลย เพียงแค่ต่อไปพี่จะฟังเสียงของข้าเท่านั้น พี่เหลียน เสวี่ยเอ๋อร์ชอบพี่ ท่านอย่าบังคับให้ข้าต้องใช้ความรุนแรงกับพี่เลย! กินยานี่เข้าไปซะเถอะนะ!”

 

 

ในขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะใช้วิธีใดที่จะทำให้เหลียนจิ่นกินยานี่เข้าไปดี ใครจะคิดเล่าว่าเขากลับหยิบยาเม็ดนั้นแล้วกินมันเข้าไปทันที

 

 

จริงดังที่คาด ยาดี!

 

 

เพียงแต่ว่า…ยาแบบนี้ถึงได้ปรากฏแผ่นดินใหญ่ได้นะ!

 

 

เหลียนจิ่นยังมิทันได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ เขาก็กระอักเลือดสีแดงฉานออกมา ไฟบรรลัยกัลป์ในท้องน้อยมันกำลังถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“อึก” มันแปรเปลี่ยน ไหลเวียนไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิต

 

 

อวี้เฟยเยียน เจ้าจงรีบกลับมา!