ตอนที่ 75-4 แมวน้อย เหลียนจิ่นไม่ไหวแล้ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

เหลียนจิ่นล้มลงบนเตียง มือกำผ้าห่มแน่น กระอักเลือดออกมาอีกมากมาย

 

 

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุจึงเป็นเช่นนี้”

 

 

มองเห็นเหลียนจิ่นใบหน้าซีดขาว ซย่าโหวเสวี่ยตกใจสุดขีด

 

 

“ที่ผู้อาวุโสใหญ่บอกกับข้ามิใช่เช่นนี้! พี่เหลียน ท่านไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่! พี่เหลียน”

 

 

“ไสหัวไป”

 

 

ริมฝีปากของเหลียนอาบด้วยเลือดสีแดงสด เขาสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของซย่าโหวเสวี่ย

 

 

“เจ้าไสหัวออกไป!”

 

 

“พี่เหลียน ข้าไม่ไป! ข้า…ข้าข้าจะดูแลพี่!”

 

 

ซย่าโหวเสวี่ยคว้ามือของเหลียนจิ่นแล้วจับเอาไว้แน่น ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย แต่เมื่อเห็นว่าลมหายใจของเหลียนจิ่นแผ่วบางลงเรื่อยๆ  นางเริ่มร้อนรนจนยอมปล่อยมือ

 

 

“ไม่ ไม่สิ ข้าควรจะไปหาผู้อาวุโสใหญ่ เชิญท่านมาช่วยพี่!”

 

 

ซย่าโหวเสวี่ยกล่าวยังมิทันจบ จ้าวเซิ่งก็พุ่งเข้ามาในห้อง

 

 

จ้าวเซิ่งติดตามนางมาตลอดทางจนเริ่มเหนื่อยอ่อน แต่ทว่าเมื่อเห็นสภาพของเหลียนจิ่นบวกกับสีหน้าของซย่าโหวเสวี่ยแล้ว เจ้าเซิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าองค์หญิงก่อเรื่องอีกแล้วเป็นแน่

 

 

“คุณชายเหลียน!

 

 

จ้าวเซิ่งก้าวเข้าไปเพื่อตรวจสอบกลับถูกเหลียนจิ่นสะบัดมือออกแล้วกล่าวว่า

 

 

“พาองค์หญิงกลับไป พานางกลับไป!”

 

 

“คุณชาย”

 

 

จ้าวเซิ่งนึกไม่ถึงเลยว่า ถึงแม้ว่าองค์หญิงจะทำในสิ่งที่ผิดเช่นนี้กับเขา แต่เหลียนจิ่นยังคงเลือกที่จะให้อภัยนาง

 

 

จ้าวเซิ่ง เจ้านี่มันอ่อนต่อโลกเสียจริงๆ  เหลียนจิ่นจะปล่อยเจ้าหญิงนิทราไปได้อย่างไรกัน ความทรมานมันรออยู่หลังจากนี้ต่างหากเล่า!

 

 

“ไป!”

 

 

ความเจ็บปวดอย่างที่สุดแล่นพล่านทั่วในร่างของเหลียนจิ่น

 

 

“ขอบคุณ!”

 

 

จ้าวเซิ่งรู้ดีว่าซย่าโหวเสว่ยอยู่ที่นี่ต่อไปรังแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น จึงฉวยโอกาสตอนที่ซย่าโหวเสวี่ยกำลังร้องเรียกเหลียนจิ่นอยู่นั้น ใช้ฝ่ามือฟาดซย่าโหวเสวี่ยจนสลบแล้วจัดแจงแบกนางขึ้นหลังหนีไป

 

 

จวบจนพวกของอวี้เฟยเยียนกลับมาถึง จวนทั้งจวนก็สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟแล้ว

 

 

“แมวน้อย เหลียนจิ่นไม่ไหวแล้ว!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนกลับมาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาทันที

 

 

“ข้าไม่อยู่ไม่เท่าไร เขาก็เป็นเช่นนี้แล้ว!”

 

 

ได้ยินเพียงว่าเหลียนจิ่นเกิดเรื่อง มั่วซางก็รีบปล่อยมือทำให้เฉิงก้วนจงที่อยู่ในอ้อมอกร่างหล่นลงบนพื้นจนก้นจ้ำเบ้า เจ็บเสียจนเขาร้องเสียงหลง มือก็กุมก้นกระโดดไปมาด้วยความเจ็บ

 

 

มั่วซางไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้กัน เขาพุ่งตรงเข้าไปที่ห้องของเหลียนจิ่น อวี้เฟยเยียนเองก็รีบตามเข้าไปเช่นกัน

 

 

“เมื่อครู่มีคนลอบทำร้ายมู่เหนี่ยนซี ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนประมือกับพวกมันแต่มันก็ยังหนีไปได้ ตอนหลังเหลียนจิ่นก็เป็นอย่างที่เห็นนี่”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนที่เดินตามมาที่หลัง อธิบาย แต่ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งเสียใจ

 

 

นี่มันแผ่นล่อเสือออกจากถ้ำของศัตรู

 

 

แล้วเขาก็หลงกลเข้าเสียด้วย!

 

 

“พี่ซีไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

ได้ยินว่ามู่เหนี่ยนซีเกิดเรื่อง อวี้เฟยเยียนก็รีบไต่ถามทันที

 

 

“นางเพียงแต่ตกใจ…”

 

 

เกิดเรื่องเช่นนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิรู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี ในที่สุดก็กัดฟันเล่าความจริงทั้งหมดออกมา

 

 

มี”คนวางแผนใช้ยาสลบทำให้นางสลบ คิดจะทำเรื่องพรรค์นั้น…ยังดีที่มียาที่เจ้าให้นางช่วยเอาไว้ ทำให้แผนของคนร้ายไม่สำเร็จ!”

 

 

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เสียงของเด็กชายออกจะไม่พอใจจนถึงโกรธเคืองกล่าวไปก็กัดฟันกรอด

 

 

ที่น่าแค้นก็คือ ในมือของคนร้ายเต็มไปด้วยยาพิษอีก!ทั้งมันยังคุ้นเคยกับหอราชาโอสถเป็นอย่างดี! ทำให้มันหนีไปได้!

 

 

ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะมิได้เล่าออกมาตรงๆ  แต่อวี้เฟยเยียนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ นี่มีใครบางคนต้องการจะล่วงเกินมู่เหนี่ยนซีหรือนี่!

 

 

นี่มันตั้งใจจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง!

 

 

ไอ้สารเลว!

 

 

เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนโกรธเกรี้ยวแล้วเตรียมจะเดินออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบชี้ไม้ชี้มือไปที่เหลียนจิ่น

 

 

“เจ้ารีบช่วยเหลียนจิ่นก่อน! ที่เหลือค่อยว่ากันอีกที เหลียนจิ่นจะไม่ไหวแล้ว!”

 

 

มั่วซางคุกเข่าที่ข้างเตียง ส่งพลังเทพให้กับเหลียนจิ่น

 

 

ไม่นานเหลียนจิ่นก็ฟื้นขึ้นมา

 

 

เมื่อเขามองเห็นอวี้เฟยเยียน ก็ฝืนยิ้มเลือดสีแดงสดไหลรินออกมาจากมุมปากของเขา

 

 

“เจ้ามาแล้ว”

 

 

น้ำเสียงที่อ่อนโยน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกและราวกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่คุ้นเคยกันมานาน

 

 

“อย่าเพิ่งพูดมาก ข้าจะรักษาให้เจ้าก่อน!”

 

 

ขณะที่อวี้เฟยเยียนเตรียมที่จะตรวจอาการเหลียนจิ่นนั่นเอง เหลียนจิ่นก็คว้ามือของนางเอาไว้

 

 

“ไฟบรรลัยกัลป์ในร่างของข้าเริ่มลุกโชน ร่างกายของข้ารับไม่ไหว ข้าเป็นประมุขไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! เฟยเยี่ยน เจ้ารับช่วงไฟบรรลัยกัลป์ซะเถอะ! เพราะเดิมทีมันก็เป็นของเจ้า”

 

 

“เหลียนจิ่น……”

 

 

ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนรับปากจะรักษาอาการบาดเจ็บของเหลียนจิ่นแต่นางกลับมิเคยมีความคิดละโมบต้องการไฟบรรลัยกัลป์เลย

 

 

“เจ้าฟังนะ! เจ้าคือจักรพรรดิโอสถ อัคคีเทพสามารถหลอมยาได้ ซึ่งมันช่วยเจ้าได้มาก!”

 

 

“อีกอย่างหนึ่ง เจ้าต้องการรักษาเจ้าเด็กนั่น อาศัยแค่กำลังของเจ้าคนเดียว จะสูญเสียพลังทิพย์จำนวนมหาศาล หากว่ามีไฟบรรลัยกัลป์ละก็ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น! ซึ่งจะมีผลดีทั้งกับเจ้าและข้า เช่นนี้เท่ากับว่าเจ้าได้ช่วยเหลือข้าแล้ว…”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้งก็ครานี้

 

 

ก่อนหน้านี้ที่เหลียนจิ่นพยายามที่จะแยกเขาออกไป ก็เป็นเพราะต้องการที่จะหาโอกาสจุดให้กระตุ้นให้ไฟบรรลัยกัลป์ให้สำแดงขึ้นมานั่นเอง มิน่าเล่าเขาถึงได้ไล่ตนเองไป!

 

 

ที่แท้แล้วไฟบรรลัยกัลป์มิเพียงแต่มีประโยชน์ต่ออวี้เฟยเยียน ทั้งยังสามารถช่วยให้ตัวเขา…

 

 

ไม้เท้าเทพ นี่เจ้าต้องการให้ข้าติดค้างเจ้าใช่ไหม

 

 

เจ้าไม้เท้านี่จริงๆ  เลย……

 

 

ช่างน่าเบื่อหน่ายที่สุด!

 

 

คิดแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มแสบจมูกขึ้นมา

 

 

“ข้ารู้แล้ว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนตอบแล้วกลับเป็นฝ่ายกุมมือของเหลียนจิ่น

 

 

“เจ้าวางใจเถอะ!”

 

 

คำพูดของอวี้เฟยเยียนราวกับมีความสามารถสะกดจิตให้หลับ เหลียนจิ่นค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างว่าง่าย ขาทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

 

 

“มั่วซาง ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เหลียนจิ่น เจ้าไปคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ไม่ให้ใครเข้ามาได้!”

 

 

มั่วซางจ้องมองมาที่เหลียนจิ่นอีกครั้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยอมเดินออกไป

 

 

เมื่อประตูปิดลง อวี้เฟยเยียนถึงมองเห็นเด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ด้านข้าง และเมื่อคิดถึงคำพูดของเหลียนจิ่นเมื่อครู่ อวี้เฟยเยียนก็กวักมือเรียกเขาเข้ามา

 

 

“เสี่ยวฉิงฉิง อีกเดี๋ยวข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเหลียนจิ่น หากเป็นไปได้ข้าจะจัดการมุกวารีปีศาจในร่างของเจ้าไปพร้อมกันเลย เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่”

 

 

“ข้าไม่เป็นไร”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า

 

 

“หากต้องการอะไร บอกข้าได้เลย”

 

 

“เด็กดี!”

 

 

อวี้เฟยเยียนว่าแล้วก็บีบจมูกของเด็กน้อยเบาๆ  แล้วเดินไปนั่งที่เบื้องหน้าของเหลียนจิ่นเริ่มเคลื่อนย้ายพลังทิพย์ของตนเองออกมา

 

 

จริงดังคาด เดิมทีแล้วร่างกายของเขาอ่อนแอ เพียงไม่นาน ตำแหน่งที่ไฟบรรลัยกัลป์พาดผ่านก็เกิดเป็นดวงไฟสีแดงฉานลุกโชน ดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

 

 

‘ไม่ต้องกลัวมัน คิดเสียว่ามันเป็นเพื่อน! ปลอบประโลมมัน ทำให้มันสงบลง!’

 

 

ช่วงเวลานั้นเอง ในหัวของอวี้เฟยเยียนก็บังเกิดเสียงนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ครั้งแรก เมื่อครั้งที่นางมองเห็นไฟบรรลัยกัลป์ เสียงนี่ก็ดังขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็หายไปโดยไร้ร่องรอย ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง

 

 

“เจ้าเป็นใคร”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น

 

 

แต่เสียงนั้นก็หายไปอีกครั้ง