มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 476
วันนี้ ที่หน้าประตูของสำนักเสวียนหยาง มีพลังที่แข็งแกร่งตกลงมา หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซาง ก็รับรู้ได้ในทันที

สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน สีหน้าเย็นชา แล้วก็ก้าวเดินไปบนอากาศออกจากสำนักเขาไป “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่ คุณก็ให้ผมรอเสียนานเลยนะ”

ในอากาศตรงหน้าของหลี่เสวียนหยางนั้น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่อย่างมาดนิ่งไม่ท้าทายใคร ท่าทางดูแข็งกร้าว ราวกับกระบี่คมกริบที่ออกจากฝัก คนนั้นก็คืออาจารย์ของสีชูทง ชื่อว่าป๋ายหลี่หยวนหลง

“มีธุระติดพันเล็กน้อยก็เลยมาช้า” ป๋ายหลี่หยวนหลงยิ้มเบาๆ แล้วก็เปลี่ยนสายตาไปมองซุนเชียนซาง “ดูเหมือนว่าผู้เพื่อนยุทธ์ซุนจะได้รับบาดเจ็บ?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของผู้เพื่อนยุทธ์ซุนก็ดูไม่จืดขึ้นมาทันที “ถ้าผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่จะมาเป็นห่วงอาการของผม ไม่สู้เอาเวลาไปกังวลกับลูกศิษย์ตัวเองดีกว่า ว่าจะตายด้วยเงื้อมมือของไอ้เดรัจฉานแซ่หลัวนั้นไปแล้วหรือยัง”

ป๋ายหลี่หยวนหลงกระตุกยิ้มเบาๆ “ลูกศิษย์ของผมคงจะไม่เป็นอะไรหนอก มีโคมวิญญาณของเขาอยู่ในมือผมอีกใบ”

“อีกอย่าง ก็แค่คนรุ่นหลังที่มีผลการฝึกตนแค่ระดับราชายุทธ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อาศัยแค่มีวิชาค่ายกล สำหรับผมแล้ว ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ”

พอป๋ายหลี่หยวนหลงพูดออกมาแบบนี้ ถึงแม้ในใจของหลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ประชดประชันเขาว่าเป็นคนโอหังอวดดี เพราะว่าป๋ายหลี่หยวนหลงคนนี้ก็เป็นคนที่ร้ายกาจเหมือนกัน ไม่เพียงมีผลการฝึกตนอยู่ที่ระดับมกุฎยุทธ์ ทั้งยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7อีกด้วย

นอกจากพวกสำนักที่มีค่ายกลคุ้มเขาระดับ8ไว้คอยปกป้อง กองกำลังอื่นๆ ล้วนไม่อยากไปหาเรื่องกับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7ง่ายๆ เพราะว่าสำหรับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7นั้น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ7ก็เหมือนติดตั้งไว้เล่นๆ ถ้าอยากจะทำลายค่ายกล ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ถึงแม้หลัวซิวจะมีระดับที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7เหมือนกัน แต่ผลการฝึกตนไม่พอ ดังนั้นก็เลยถูกค่ายพิทักษ์เขาระดับ7ของสำนักเสวียนหยางรั้งตัวไว้หนึ่งชั่วยามโดยไม่มีทางทำลายได้

“ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่มาแล้ว ก็เชิญเข้ามาคุยกันข้างในเลยเถอะ” หลี่เสวียนหยางยกมือทำความเคารพ แล้วผายมือเชื้อเชิญ

จากนั้นอาจารย์มกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านก็เดินเข้าไปในห้องโถงสำนักพร้อมกัน แล้วแยกกันนั่งตามลำดับ

“ตามแผนเดิมนั้น พวกเราทั้ง4คน ตอนนี้ตาเฒ่าประหลาดตำหนักจื่อก็ได้ตายไปแล้ว การแบ่งผลประโยชน์คงจะต้องมาแบ่งแยกกันใหม่” พอนั่งลงแล้ว หลี่เสวียนหยางก็เปิดประเด็นขึ้นมาเลย

“เหอะๆ คำพูดนี้ตรงกับใจผมจริงๆ ผมป๋ายหลี่หยวนหลงรีบร้อนมาจากอาณาจักรตะวันตกอันห่างไกล หินตรีภพที่ได้จากการกำจัดสำนักฉางเหอ ผมจะแบ่งครึ่ง!” ป๋ายหลี่หยวนหลงเอ่ยขึ้นมาเลยตรงๆ

พอได้ยินว่าป๋ายหลี่หยวนหลงคนเดียวจะเอาครึ่งหนึ่ง หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านอะไร

อย่างไรเสียจะทำลายค่ายพิทักษ์เขาระดับ7 จำเป็นต้องอาศัยพลังของป๋ายหลี่หยวนหลง เขาต้องการได้ผลประโยชน์ที่มากกว่า ก็ถือว่ามีเหตุผล

หลังจากนิ่งกันไปสักพัก หลี่เสวียนหยางก็ค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่ต้องการครึ่งหนึ่ง ผมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ผมต้องการ3ส่วน”

การแบ่งผลประโยชน์ ก็ต้องดูที่พลังความสามารถ และการออกแรงลงมือจัดการเป็นธรรมดา ในสามคนนี้ นอกจากป๋ายหลี่หยวนหลงแล้ว พลังของหลี่เสวียนหยางนั้นมากกว่าซุนเชียนซาง ก็เลยเอามากกว่าได้หนึ่งส่วน

“จากข่าวที่ผมได้จากคนข้างในที่ไปสอดแนมในสำนักฉางเหอนั้น พบว่ามีถ้ำของผู้แข็งแกร่งโบราณด้านใต้ของสำนักฉางเหอ อาจารย์สำนักฉางเหอได้หินตรีภพ3ก้อนจากด้านใน”

หลี่เสวียนหยางค่อยๆ พูดว่า “แล้วหินตรีภพทำอะไรได้กันแน่ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าไร แต่ตอนที่ฝึกฝนไปทั่วในสมัยก่อนนั้น ได้ยินมาว่ามีคนโชคดีได้หินตรีภพมาหนึ่งก้อน คนคนนั้นมีระดับแค่แดนฝึกจิต แต่กลับถูกแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภารับเป็นศิษย์ในสำนักเลยทันที!”

“แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภางั้นหรือ” ป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซางได้ยินดังนั้น ก็เปลี่ยนสีหน้ากันขึ้นมาทันที

แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้ พวกเขาก็เคยได้ยินมาบ้างแน่นอน แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาตั้งอยู่ที่อาณาจักรตะวันออก เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์5คนดูแล แข็งแกร่งกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่อาณาจักรใต้ไม่น้อย

แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาก็ยังให้ความสำคัญกับหินตรีภพขนาดนี้ แถมยังยอมฉีกกฏรับคนระดับแดนฝึกจิตเป็นลูกศิษย์ในสำนักอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าหินตรีภพจะต้องเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดาเลย