มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 477
“หินตรีภพมีเพียง3ก้อน ผมหมายความว่า ในเมื่อทุกคนลงมือพร้อมกันแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือแบ่งกันคนละก้อน” หลี่เสวียนหยางพูดต่อ

พอได้ยินดังนั้น ป๋ายหลี่หยวนหลงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปาก หลี่เสวียนหยางก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ผลประโยชน์ต่างๆ ยังคงแบ่งกันเหมือนกับที่ผ่านมา ไม่รวมหินตรีภพ แต่เป็นพวกทรัพยากรและของล้ำค่าที่ได้จากสำนักฉางเหอเท่านั้น”

หลี่เสวียนหยางพูดจนจบ จากนั้นก็มองไปยังป๋ายหลี่หยวนหลง “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่คิดว่าเป็นอย่างไร? อย่างไรเสียหินตรีภพก็มีแค่3ก้อน คงจะไม่ให้ผู้เพื่อนยุทธ์ซุนออกแรงไปเปล่าๆ หรอกนะ?”

“ถึงแม้การทำลายค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอจะอาศัยกำลังคุณเป็นหลัก แต่สำนักฉางเหออยู่รอดมาได้หลายปี คงจะไม่ใช่แค่อาศัยค่ายพิทักษ์เขาอย่างเดียวหรอก”

“ได้ อย่างนั้นก็ทำตามที่คุณว่ามาเลย” สุดท้ายป๋ายหลี่หยวนหลงก็ไม่ได้คัดค้าน

ถึงแม้ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7จะสามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาในระดับเดียวกันได้ แต่มีข้อแม้ว่า ค่ายกลนี้จะต้องไม่มีผู้แข็งแกร่งมากำกับค่ายกล

ตอนนี้อาจารย์สำนักฉางเหอได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ถ้าอาจารย์สำนักฉางเหอมากำกับค่ายกลเอง ต่อให้เป็นป๋ายหลี่หยวนหลง ก็ไม่มีทางทำลายค่ายกลได้

……

ทางทิศใต้ของประเทศเทียนหวู สายน้ำที่ไหลเชี่ยวพาดผ่านเทือกเขาแห่งหนึ่ง

แม่น้ำสายนี้กว้างมาก ที่กลางสายน้ำ มียอดเขาแห่งหนึ่งสูงเทียมฟ้า มีชื่อว่า ยอดเขาเทียนเหอ

ที่แห่งนี้ ก็คือก็คือที่ตั้งสำนักเขาของสำนักฉางเหอ รวบรวมพลังจิตฟ้าดินทั้งแปดทิศ โดยเฉพาะพลังจิตธาตุน้ำมีความเข้มข้นมาก ดังนั้นลูกศิษย์ของสำนักฉางเหอ ส่วนมากก็จะฝึกวิชาที่เกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ

ตอนนี้ยอดเขาเทียนเหอเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย แสงสีฟ้าที่สะท้อนจากน้ำ ปกคลุมยอดเขานี้ไว้ มีหมอกหนาแน่น มองเห็นไม่ชัดเจน

หลังจากที่อาจารย์สำนักฉางเหอถูกหลี่เสวียนหยางและอาจารย์ตำหนักจื่อร่วมมือกันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ สำนักฉางเหอก็เปิดค่ายพิทักษ์เขา ปิดผนึกยอดสำนักเขาไว้ และปลีกตัวออกจากโลกภายนอก

สถานการณ์แบบนี้ ลูกศิษย์ของสำนักฉางเหอก็ล้วนถูกห้ามออกไปด้านนอก

ห่างจากยอดเขาเทียนเหอไม่กี่ลี้ มีเงาคนหนึ่งเหยียบคลื่นน้ำเข้ามา ชุดคลุมสีดำ สะบัดเป็นเสียงในสายลม

“ถึงว่าหลี่เสวียนหยางจึงต้องเชิญคนมาช่วยจัดการกับสำนักฉางเหอ ค่ายพิทักษ์เขาแห่งนี้เดิมทีก็มีเป็นค่ายกลAttrน้ำ รวบรวมเอาพลังจิตน้ำที่เข้มข้นของสายน้ำนี้ไว้ อานุภาพจะรุนแรงกว่าค่ายกลในสำนักเสวียนหยาง”

หลัวซิวมองดูม่านแสงของค่ายกลที่ปกคลุมยอดเขาสูงเทียมฟ้าอยู่ไกลๆ ปากก็บ่นพึมพำออกมา

“สำนักฉางเหอได้ปิดผนึกไว้แล้ว เชิญคุณกลับออกไป”

พอหลัวซิวเข้าไปใกล้หน่อย ก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากในสำนักฉางเหอ

ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่ปิดผนึกเขา และแยกออกจากโลกภายนอกแล้ว แต่สำนักฉางเหอก็ยังคงจัดการให้พวกลูกศิษย์ในสำนักทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวโดยรอบของยอดเขาเทียนเหอ

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์สำนักฉางเหอก็รู้ว่า ช่วงเวลาที่ตนเองบาดเจ็บนี้ สำนักเสวียนหยางและตำหนักจื่อจะต้องไม่ปล่อยโอกาสดีที่จะลงมือแบบนี้ไปแน่

“ผมมีเรื่องสำคัญที่จะปรึกษากับเจ้าสำนักพวกคุณ ช่วยไปรายงานด้วย” หลัวซิวพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ทราบว่าช่วยบอกซื่อแซ่มาหน่อยได้หรือไม่? หรือมีสิ่งของแทนตัวไหม?” เสียงจากในม่านแสงค่ายกลดังขึ้นมาอีก

“เจ้าสำนักไท่เสวียน ชื่อหลัวซิว!” หลัวซิวค่อยเอ่ยปากพูด จากนั้นก็หยิบหัวที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา “นี่ก็คือ สิ่งของแทนตัว!”

“เอ่อ….นี่คือ…..” เจ้าของเสียงในม่านแสงค่ายกลที่คุยกับหลัวซิวได้เห็นหัวที่เต็มไปด้วยเลือด ก็เหมือนจะตกใจไม่น้อย

เสียงของฝั่งตรงข้ามเงียบไปสักพัก กลุ่มหมอกที่ปกคลุมทั้งยอดเขาเทียนเหอก็ค่อยๆ แยกออก เจ้าสำนักฉางเหอเดินออกมาจากม่านแสงของค่ายพิทักษ์เขา

“เจ้าสำนักฉางเหอ สบายดีนะครับ” หลัวซิวมองฝั่งตรงข้าม แล้วก็ยิ้มๆ

เขาก็มีวาสนาได้พบหน้ากับเจ้าสำนักฉางเหอแล้วครั้งหนึ่ง