ตอนที่ 734

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.734 – ต่อรองกับเทพปีศาจ

 

อู๋หยางสีหน้าขมขื่นในสายตาของจักรพรรดิโลหิต นางเป็นเพียงมดปลวกที่ไม่ต้องใส่ใจ แม้เขาจะรู้ว่านางอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่พยายามแม้แต่จะช่วยชีวิตนาง เขาจงใจที่จะลบนางให้หายไปจากโลกนี้ด้วยเช่นกัน!

 

จิวหยวนโจวถอนหายใจเบาๆและหลับตาลงขณะที่รอให้โลกถูกทำลายอีกครั้งทุกสิ่งมีชีวิตโศกเศร้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิโลหิตที่แข็งแกร่งดั่งเทพ พวกเขาทำได้แค่มองดูตัวเองถูกทำลายล้างอย่างสิ้นหวัง พวกเขามิอาจต่อต้านได้เลย

 

เซี่ยจิงหยูมองฝ่ามือที่กำลังมาถึงอย่างขมขื่นนางจับมือซือหยูแน่นและมองเขาด้วยความรัก

 

“พี่ซือหยูจุดจบของพวกเราไม่ได้เศร้านักหรอก อย่างน้อยข้าก็ได้ตายโดยที่จับมือพี่เอาไว้”

 

นางถอนหายใจ

 

“น่าดีใจเหลือเกิน”

 

เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างสดใสและเอนตัวที่ไหล่ซือหยูนี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดเท่าที่นางจะคิดได้แล้ว

 

ซือหยูจับมือนางและถามเบาๆ

 

“เจ้าพอใจกับเรื่องแค่นี้รึ?เจ้ายังไม่ได้สำรวจโลกอื่นนอกจากเฉินหลงให้ข้าใช่ไหม?”

 

เซี่ยจิงหยูตกใจกับคำถามของเขานางเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ…

 

เขามีวิธีเผชิญหน้ากับพลังของอสูรเนรมิตรจริงๆรึ?

 

ซือหยูเผยรอยยิ้มและหลับตาช้าๆเขาเข้าไปในมิติวิญญาณของตนเอง เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าเขาถูกรายล้อมไปด้วยความมืดมิด เขายืนมือไพล่หลังและพูดอย่างสุขุม

 

“ออกมา”

 

มิติวิญญาณของเขายังคงเงียบอย่างเคยไม่มีใครตอบอะไรเขา

 

“ต้องให้ข้าบังคับให้เจ้าออกมาสินะ?”

 

แววตาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งของซือหยูมองไปยังความว่างเปล่าอันห่างไกลที่นี่คือมิติวิญญาณของเขา เขาจะไม่รู้เชียวรึว่าจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่โดยที่เขาไม่รู้?

 

“อะไรกัน?แขกหายากอย่างเจ้ามาที่นี่ด้วย! ทำไมเจ้าถึงมารบกวนผู้เฒ่าคนนี้เล่า? เจ้าจะมาคุยเรื่องชีวิตจักรวาลกับคนแก่อย่างข้ารึ?”

 

หยดโลหิตหาวหนึ่งฟอดและพุ่งตรงมาตรงหน้าซือหยู

 

ซือหยูมองเขา

 

“เจ้าดูมีกำลังขึ้นมาแล้วนี่เจ้าคงกินวิญญาณของฟู่กุยไปแล้วสินะ?”

 

“อะไรกัน?กินเกินอะไร? ข้าเป็นเทพปีศาจเหนือทั้งปวง! ใช่แล้ว! ข้าเป็นเทพปีศาจ! เมื่อก่อนข้ากินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ข้ากวาดล้างโลกมาตั้งหลายใบ! ราชันเทพล้างสวรรค์อย่างข้าฆ่าทุกอย่างที่ขวางทางตั้งแต่พระเจ้าถึงอรหันต์!”

 

“เมื่อก่อนข้ายังได้กินแก่นแท้วิญญาณได้นอนกับสาวสวยที่มีร่างวิญญาณ ข้ายังคลึงดวงดาวเล่นในมืออยู่เลย แค่วิญญาณจ้าวเทวะนับว่าข้ากินงั้นรึ? กล้าพูดได้ยังไงว่านั่นคือการกินของข้า? เฮ้ย ทำอะไรของเจ้า? อย่านะ…ข้าเป็นราชันเทพล้างสวรรค์นะ…ราชันเทพ…”

 

ก่อนจะพูดจบเขาถูกซือหยูกระทืบอย่างแรง…ด้วยเท้า!

 

“ราชันเทพล้างสวรรค์รึ?ข้าไม่เห็นอะไรแบบนั้นเลย”

 

ซือหยูยืนย่ำหยดโลหิตตรงหน้า

 

หยดโลหิตพักหายใจ

 

“เจ้าไม่ควรจะตัดสินคนจากภายนอก!ถ้าข้าได้กายเนื้อมาเมื่อไหร่ ข้าจะได้เป็นราชันเทพล้างสวรรค์อีกครั้ง! ข้าจะไปเที่ยวทั้งจักรวาล…เฮ้ย! หยุดกระทืบข้านะ! ข้าแก่เกินไปแล้ว! ใจดีกับข้าหน่อยเซ่!”

 

ซือหยูมองเขาอย่างเยือกเย็น

 

“หุบปาก!ข้ามาที่นี่เพื่อต่อรองกับเจ้า”

 

ซือหยูหยกเท้าขึ้นหยดโลหิตลอยขึ้นมาและครุ่นคิดก่อนจะมองซือหยูเพื่อคุยในเรื่องของเขา

 

“เอาล่ะเจ้าหนู เจ้าจะมาต่อรองอะไรกับข้า? ทำไมเจ้าไม่อธิบายข้าสักหน่อยเล่า? ข้าชอบดูเลเด็กๆและช่วยเหลืออยู่แล้ว”

 

ซือหยูพูดตรงๆห้วนๆ

 

“ขอข้ายืมพลังเจ้าหน่อย”

 

หยดโลหิตปฏิเสธทันควัน

 

“ไม่ได้เด็ดขาด!ข้ามีพลังไร้ขอบเขตยิ่งใหญ่ แม้แต่เส้นผมของข้าก็ทำลายได้ทั้งจักรวาล ข้าจะให้เจ้ายืมไปทำไม? ขนเส้นเดียวข้าก็จะไม่ให้เจ้ายืม เฮ่ย! เจ้าเอาอีกแล้วนะ! ใจเย็นๆซี่! มีอะไรก็ใช้ปากเจ้าพูดมา! หยุดใช้เท้าเจ้าแทนปากได้แล้ว!”

 

หยดโลหิตถูกซือหยูกระทืบซ้ำอีกครั้งและเริ่มร้องด้วยความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

“เจ้าควรจะเคารพคนแก่และฟูมฟักคนหนุ่ม!เคารพคนแก่ฟูมฟักคนหนุ่ม…เคารพคนแก่ฟูมฟักคนหนุ่ม! ข้าพูดสามครั้งเพราะมันสำคัญนะ!”

 

ซือหยูมองหยดโลหิตอย่างเยือกเย็น

 

“มีคนที่ไร้เทียมทานอยู่ข้างนอกนั่นถ้าข้าตาย เจ้าก็จะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ให้ข้ายืมพลังซะ ตราบเท่าที่ข้ายังไม่ตาย เจ้าก็ยังมีโอกาสที่จะหนีออกไป”

 

หยดโลหิตตะโกนตอบ

 

“เลิกถามได้แล้ว!ข้าก็แค่หยดโลหิตเดียว ทุกครั้งที่ใช้พลัง พลังตั้งต้นของข้าจะอ่อนแอลง! ข้าแก่เกินไปแล้ว ข้าจะทนการใช้พลังมหาศาลของเจ้าได้ยังไง?”

 

ซือหยูหรี่ตาเขาอ่านข้อความเบื้องหลังนั้นได้ นั่นก็คือหยดโลหิตอยากจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่หอมหวานกว่าเดิม

 

“ข้าจะให้วิญญาณเจ้าไปฟื้นฟูพลังตั้งต้นเจ้าจะว่าอย่างไร?”

 

ซือหยูเสนอ

 

หยดโลหิตปฏิเสธ

 

“มันยังไม่พอ!วิญญาณอสูรเนรมิตรยังเติมร่องฟันข้าไม่ได้เลย!”

 

วิญญาณอสูรเนรมิตรรึ?ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง…

 

ถ้าข้าจับวิญญาณอสูรเนรมิตรมาได้แล้วข้าจะต้องมายืมพลังทำไมเล่า?

 

และเทพปีศาจก็มิได้ต้องการแค่วิญญาณอสูรเนรมิตรดวงเดียว

 

“ข้าให้วิญญาณจ้าวเทวะได้เท่านั้นจะยอมรับหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”

 

ซือหยูจ้องมองหยดโลหิต

 

หยดโลหิตต่อรองอีกครั้ง

 

“ไม่มีทาง!ข้าพูดว่าวิญญาณอสูรเนรมิตร!”

 

“แต่…ข้าพูดว่าวิญญาณข้าวเทวะ!”

 

แววตาซือหยูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง

 

หยดโลหิตตอบกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

“ตอนที่ข้าทำลายล้างโลกในอดีตไม่มีใครที่กล้ามาต่อรองแบบนี้กับข้าหรอกนะ!”

 

ทันใดนั้นหยดโลหิตก็ถูกกระทืบตกลงไปที่พื้น

 

“เฮ้ยหัวใจข้าจะแหลกแล้ว! คุยกันดีๆเถอะ! ก็ได้ วิญญาณจ้าวเทวะก็ได้ ข้าไม่เลือกแล้ว”

 

ตอนนั้นซือหยูจึงยกเท้าขึ้นและยิ้มออกมา

 

“เอาล่ะตกลง”

 

 

ที่โลกภายนอกฝ่ามือทำลายล้างโลกเข้าใกล้ทวีปเฉินหลงมาทุกที แผ่นดินเริ่มแยก เพลิงพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน ทวีปถูกปกคลุมไปด้วยทะเลเพลิง เหล่าสรรพสัตว์หลับตาด้วยความเศร้าราวกับว่าสุดท้ายแล้วพวกเขามิอาจหนีจากชะตานี้ได้

 

แต่ในตอนนั้นเองซือหยูได้ลืมตาขึ้นมา แสงสีแดงได้เปล่งประกายวาววับ บางสิ่งที่มีสีแดงไหลออกมาจากรูขุมขน

 

สิ่งนี้เป็นดั่งเลือดที่เพิ่งจะไหลออกมาจากร่างของซือหยูแต่มันกลับไร้ซึ่งกลิ่นของเลือด มันยังปล่อยพลังปีศาจออกมาด้วย

 

จักรพรรดิโลหิตมองดูการทำลายล้างเฉินหลงบนอวกาศอันเยือกเย็นและยิ้มอย่างมั่นใจแต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อพบบางอย่างที่ต้องให้ความสนใจ

 

นี่มันพลังปีศาจเหมือนกับสิ่งนั้น…นั่นมันอะไรกัน?สมบัติ…หรือคนรึ?

 

ถ้าหากพลังปีศาจนี้มาจากสมบัติเขาก็ไม่ต้องกังวลนักแต่ถ้าหากมันเป็นพลังจากคน มันก็เกินยิ่งกว่าคำว่าน่ากลัว พลังปีศาจนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดผวา!

 

เซี่ยจิงหยูตกตะลึงไม่ต่างกันนางผละออกจากกอดของซือหยูและชี้ไปยังหยดโลหิตสีแดง นางตะโกน

 

“นั่นมันสายเลือดปีศาจของพี่นี่!”

 

หรือจะพูดให้ถูกต้องมันคือสายเลือดเทพปีศาจของเขา! ซือหยูยิ้มและทิ้งระยะห่างจากเซี่นจิงหยูขณะที่ปล่อยให้สายโลหิตปะทุออกมา

 

หมอกโลหิตรายล้อมตัวซือหยูมีขนาดมหึมาหมอกโลหิตรายล้อมซากใต้ดินในครั้งแรก จากนั้นจึงล้อมรอบเขารัตติกาล เขตเซี่ยนหยู เกาะเฉินยี่ ทวีปเหนือ ทั้งทวีปเฉินหลง และมหาสมุทรไกลโพ้น!

 

หากมองบนอวกาศดาวดวงสีครามในตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยโลหิต! แต่หมอกโลหิตก็มิได้เผชิญหน้ากับฝ่ามือทำลายล้าง มันไม่มีพลังของตัวเอง แต่มันมีพลังในการดูดกลืน

 

“คนเฉินหลงข้าคือซือหยู!”

 

ซือหยูตะโกนดังก้องโลก

 

ทุกคนได้ที่ได้ยินเสียงซือหยูต่างตกตะลึงเพราะซือหยูเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เขาคือราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยทวีปเฉินหลงจากวิกฤติร้าย

 

และเมื่อกำลังเจอกับภัยนี้เสียงของซือหยูได้ดังไปในทุกมุมของโลก ทุกคนเงียบลงฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด

 

“โลกเฉินหลงถูกทำลายมาแล้วสองครั้งสองคราครั้งแรกจักรพรรดิจิวโจวสละชีวิตเพื่อช่วยพวกเรา พวกเราจึงอยู่มาได้ถึงตอนนี้ ส่วนครั้งที่สอง ข้าย้อนเวลากลับมาให้พวกเจ้าแล้ว…”

 

“เรายังถูกทำลายล้างมาไม่พออีกรึ?”

 

ซือหยูถาม

 

นี่คือคำถามที่ฝังลึกในใจของแต่ละคนทุกคนต่างคิดในใจว่าเหตุใดพวกเขาต้องทนทุกข์กับภัยร้ายเหล่านี้!

 

ซือหยูพูดต่อเขาเสนอความคิดของตัวเองขึ้นมา

 

“มันเป็นเพราะเราไม่ต่อสู้ตอนที่ศัตรูมาทำลายโลกของเรา!เราอ่อนแอเกินไป เราเอาแต่รอ พวกเรามันตาขาวที่ได้แต่หลับตารับความโศกเศร้า!”

 

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเบิกตากว้างเพราะพวกเขามิได้พยายามต่อสู้กลับโดยแท้จริง พวกเขาเห็นศัตรูที่แข็งแกร่งจนเกินไปจนโศกเศร้าที่มิอาจทำอะไรได้

 

“ตอนนี้โลกกำลังจะถูกทำลายแล้วพวกเจ้าจะปิดตาปล่อยให้คนอื่นตัดสินชะตาของพวกเจ้ารึ?”

 

ซือหยูถามเสียงดัง

 

ทุกสิ่งมีชีวิตใจสั่นกับคำถามของเขาเป็นเรื่องจริงที่พวกเขาไม่พยายามสู้แม้สักครั้ง เพราะพวกเขาเองก็มิอาจเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งเกินไปหลายขอบเขตได้

 

“ถ้าพวกเจ้าไม่สู้ตอนนี้พวกเจ้าก็จะตายไปเฉยๆ พวกเจ้าอยากจะเป็นผีที่นี่หรือเป็นข้ารับใช้ในนรกล่ะ?”

 

ซือหยูท้าทายคนทั่วโลก

 

คนในก้นบึ้งมังกรกำหมัดแน่นและส่ายหน้าพวกเขามองท้องฟ้าด้วยเพลิงในแววตา พวกเขาไม่อยากจะยอมรับโชคชะตาเช่นนี้! แม้แต่สัตว์เดรัจฉานในป่าไพรก็คำรามลั่นฟ้าเพราะไม่อยากจะรอคอยความตายอยู่เฉยๆ

 

“ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการ…จงมาต่อสู้กับข้าครั้งนี้จะมิใช่จักรพรรดิจิวโจวหรือการย้อนเวลา แต่พวกเราจะใช้พลังของตัวเองไขว่ขว้าอนาคตอันสดใสของเฉินหลงกลับมา!”

 

ซือหยูพูดเสียงดัง

 

“พวกเจ้าทุกคนได้โปรดให้ข้ายืมพลัง!”

 

เสียงของเขาดังก้องฟ้าหมอกโลหิตที่ปกคลุมทั้งดวงดาวพุ่งเข้าใส่ทุกสิ่งมีชีวิต

 

“ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่งต่ำต้อยหรือสูงส่ง ขอให้ข้าได้ยืมพลังทีเถอะ!”

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าซือหยูอยากจะยืมพลังของทุกสิ่งบนโลกจากนั้นจึงรวมพลังเข้าต่อสู้!

 

หมอกโลหิตได้พุ่งเข้าไปยังก้นบึ้งมังกรจิวหยวนโจวหัวเราะอย่างชอบใจและมองคนบนฟ้า

 

“คนหนุ่มช่างเลือดร้อนนักสู้กับจักรพรรดิโลหิตมันหัวรั้นอยู่แล้ว! คนอย่างข้ายังไม่กล้าทำ! จงเอาฐานพลังทั้งหมดของข้าไป สร้างอนาคตให้เฉินหลงซะ”

 

เขาพูดและปล่อยให้ร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับหมอกเลือด

 

ผู้เฒ่าเฉินหัวเราะอย่างสงบสุข

 

“ในฐานะของคนพันธมิตรข้ารับคำไว้แล้วว่าจะติดตามเจ้าพันธมิตรจนตัวตาย ยินดีนักที่จะให้ฐานพลังของข้ากับเจ้าพันธมิตร”

 

เมื่อเขาเป็นผู้นำคนอีกหมื่นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ติดตามเขาไปยังหมอกโลหิต

 

“อย่าลืมหน่วยกวาดล้างสิ…”

 

ลั่วซวงตะโกนก่อนจะนำหน่วยกวาดล้างเข้าไปในหมอก

 

จากนั้นจ้าวคณะวิหคเพลิง ผู้เฒ่าฉิว กังต้าเหล่ย ฉีหยุนเซี่ยง และอีกหลายคนก็ยิ้มอย่างสดใสและตามหมอกโลหิตเข้าไป

 

“ฮ่าๆๆๆเจ้าจะสู้กับอสูรเนรมิตรโดยไม่มีข้าได้ยังไง?”

 

ราชาแห่งความมืดหัวเราะอย่างดีใจก่อนจะมองซือหยูเขาถือหอกสังหารเทพเข้าไปในหมอกเช่นกัน

 

เพียงครู่เดียวทุกคนในก้นบึ้งมังกรได้เข้าสู่หมอกโลหิตอย่างเต็มใจและให้ซือหยูได้ใช้พลังของพวกเขาเข้าต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิต และทุกสิ่งมีชีวิตในเฉินหลงยังเข้าสู่หมอกโลหิตเมื่อได้ฟังข้อเรียกร้องของซือหยู  

 

แม้แต่ต้นไม้แลบุพผายังเผาตัวเองกลายเป็นเพลิงหลอมรวมกับหมอกโลหิตพวกมันมิอาจขยับได้และไร้พลัง ทั้งหมดที่พวกมันทำได้มีเพียงการเผาตัวเองและกลายเป็นเปลวเพลิงอันน้อยนิดเข้าหลอมรวมตามคำเชิญ