บทที่ 857 : ชัยชนะที่แท้จริง!
  สิ่งที่จำเป็นต้องพูดหลิงหยุนก็ได้พูดไปหมดแล้ว เขาจึงคร้านที่จะพล่ามไร้สาระอีก..
  กู่เหลียนเฉิงนั่งอยู่ในสภาพก้มหน้าและมือเท้าพื้นอย่างสิ้นหวัง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็คลานไปเกาะขาถังเมิ่งและดึงชายกางเกงไว้แน่นพร้อมกับอ้อนวอนขอ..
  “คุณชายถัง..ถึงยังไงเจ้าฟะก็เป็นเพื่อนนักเรียนของคุณนะ ฉันไหว้ล่ะนะ.. ได้โปรดไว้ชีวิตของเขาด้วย!”
  หลิงหยุนนั้นพูดถูก..ไม่มีประโยชน์อะไรที่กู่เหลียนเฉิงจะอ้อนวอนขอหลิงหยุน เพราะถึงอย่างไรหลิงหยุนก็ไม่มีทางหวั่นไหวอย่างแน่นอน ดังนั้นถังเมิ่งจึงเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของกู่เหลียนเฉิง
  ถังเมิ่งเองก็เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงได้เขาจัดการหยิบบุเหรี่ออกมาจุดสูบ และดูดควันเข้าปอดอย่างแรง จากนั้นจึงพ่นควันออกมาอย่างสบายใจ แล้วจึงก้มหน้าลงมองกู่เหลียนเฉิงที่อยู่แทบเท้าตัวเอง
  “วันนี้เพิ่งจะมาสำนึกงั้นเหรอ!”
  ถังเมิ่งพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่ยี่หระพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกรอบแล้วจึงพูดต่อว่า
  “เอาล่ะ..ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ในการนำตัวลูกชายของคุณมาให้ผม! ผมรับปากว่าจะไม่ฆ่ามัน เพราะเวลานี้พ่อของผมเองก็ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคง ใช่ว่าผมจะสามารถฆ่าคนได้ตามใจชอบ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องแก้แค้นที่มันเคยทำกับผมไว้ แล้วหลังจากที่ผมปล่อยมันไปแล้ว ถ้ามันไม่มายุ่งกับผมก่อน ผมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันเหมือนกัน!”
  ถังเมิ่งเกลียดเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะเข้ากระดูกดำและหนี้เลือดในครั้งนี้ถึงอย่างไรก็ต้องชดใช้ด้วยเลือด!
  “นี่นับว่าผมปราณีที่สุดแล้ว!ถ้าคุณยังคิดว่ามันไม่ยุติธรรมพอ ก็สามารถยกเลิกข้อเสนอทุกอย่างที่พูดมาก่อนหน้านี้ได้ จากนั้นพวกเราสองฝ่ายก็มาสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน..”
  แต่เพียงแค่นั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับกู่เหลียนเฉิงอย่างมากแล้วเพราะเขาเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าถังเมิ่งจะไม่คิดเอาชีวิตของกู่หยุนฟะตั้งแต่แรก และดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่หักแขนหักขาลูกชายของเขาเป็นการแก้แค้นเท่านั้น!
  แววตาหดหู่สิ้นหวังของกู่เหลียนเฉิงเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งจากนั้นจึงรีบพยักหน้ารับปากทันที!
  “ยุติธรรมแล้ว..ยุติธรรมมากด้วย! ขอบคุณคุณชายถังสำหรับความปราณีในครั้งนี้!”
  ในที่สุดกู่เหลียนเฉิงก็สามารถช่วยชีวิตลูกชายตนเองไว้ได้แม้ว่าจะต้องถูกหักแขนหักขาก็ถือซะว่าเกิดอุบัติเหตุ..
  ถังเมิ่งรู้ว่ากู่เลียนเฉิงจะต้องทำตามที่รับปากอย่างแน่นอนเขาจึงไม่แยแสกู่เหลียนเฉิงอีก แต่หันไปยกมือข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นชี้ไปทางเสียเจิ้นติงที่ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา..
  “ลูกคุณด้วย!”
  ถังเมิ่งวางท่าทางใหญ่โต..
  ความแข็งแกร่งและเก่งกาจของหลิงหยุนนั้นได้เปิดโลกทัศน์ของถังเมิ่งให้กว้างขึ้น ทำให้เขามองเห็นโลกอีกด้านที่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมาก่อน ถังเมิ่งจึงสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ค่อนข้างรวดเร็ว
  หลังจากที่หันไปสั่งเสียเจิ้นติงแล้วถังเมิ่งก็โบกมือที่หนีบบุหรี่ขึ้นพร้อมกับร้องสั่งเสียเจิ้นติงกับกู่เหลียนเฉิง
  “พวกคุณออกไปได้แล้ว!”
  ถังเมิ่งพูดกับคนใหญ่คนโตของเมืองจิงฉูทั้งสองคนด้วยท่าทางราวกับกำลังคุยอยู่กับกุ๊ยข้างถนน..
  ถังเมิ่งปล่อยเสียเจิ้นติงและกู่หยุนฟะกลับไปแต่ในขณะเดียวกันก็หันไปขยิบตาให้กับอาปิง และดูเหมือนอาปิงก็พยักหน้าอย่างเข้าใจกัน
  ใบหน้าของเสียเจิ้นติงนั้นซีดเซียวและดูเคร่งเครียดริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น แต่ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาเพียงแค่โน้มตัวลงช่วยพยุงร่างของกู่เหลียนเฉิงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นอย่างทุกลักทุเล ทั้งสองคนต่างก็พยุงกันเดินก้มหน้าออกไปจากห้องจัดเลี้ยง
  อาปิงไม่กล้านิ่งเฉยเขาพาพี่น้องแก๊งมังกรเขียวสี่คนแอบตามทั้งสองคนไปด้วยตัวเอง ส่วนถังเมิ่งยังคงยืนดูดบุหรี่นิ่งพร้อมกับจ้องมองอาปิงพาลูกน้องเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง..
  หลังจากที่ทั้งหมดเดินหายลับตาไปแล้วถังเมิ่งก็ทิ้งก้นบุหรี่ในมือ และหันไปพูดกับหลิงหยุน
  “พี่หยุน..ขอบคุณมาก!”
  ถึงแม้ถังเมิ่งจะพูดเพียงสั้นๆแค่นั้นแต่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่เขามีวันนี้ได้ก็เพราะหลิงหยุน! นับว่าเขาเลือกข้างได้ถูกต้อง..
  หลิงหยุนเพียงแค่ยกมือขึ้นตบบ่าถังเมิ่งและตอบไปว่า “นายเป็นน้องชายของฉันนะ จะต้องขอบคุณฉันทำไมกัน ตอนนี้ไปทำงานได้แล้ว!”
  ณตอนนี้ศัตรูของพวกเขาก็ถูกจัดการจนหมดแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น ในห้องจัดเลี้ยงยังมีแขกเหรื่ออีกสามร้อยกว่าคน และเวลานี้ทุกคนต่างก็มีสีหน้างุนงง หวาดกลัว แล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะกลับ หรือว่าอยู่ต่อดี..
  แต่ตราบใดที่มีถังเมิ่งอยู่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร!
  ถังเมิ่งหันหลังเดินกลับไปที่เวทีและขึ้นไปยืนอยู่ด้านหลังไมโครโฟน เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณให้แขกในห้องทุกคนอยู่ในความสงบ จากนั้นจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
  “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ..ผมรู้ว่าวันนี้ทุกท่านมาวันนี้ก็เพื่อจะมาแสดงความยินดีให้กับนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงสุดในเจียงหนาน แต่ตอนนี้นักเรียนที่สวมรอยก็ถูกจับตัวไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับ.. ในเมื่อผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดตัวจริงก็อยู่ในงานนี้ด้วยแล้ว!”
  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ถังเมิ่งก็หันไปมองหลิงหยุนก่อนจะพูดต่อว่า “คืนนี้.. ผม – ถังเมิ่ง ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองให้กับหลิงหยุนพี่ชายของผมเอง!”
  “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านคงจะรู้แล้วว่าโรงแรมไคเฉวียนนี้เป็นของพี่หยุนขอให้ทุกท่านรับประทานอาหารให้อร่อย ผมรับรองว่าอาหารที่จะนำมาเสริฟในคืนนี้ จะเป็นอาหารที่ใช้แต่วัตถุดิบชั้นดี!”
  “และขอแจ้งทุกท่านไว้ก่อนว่าคืนนี้จะไม่มีการรับซองใดๆทั้งนั้น หากทุกคนต้องการมอบของขวัญให้กับพี่หยุน ขอแค่ร่วมกันดื่มฉลองให้พี่หยุนเป็นของขวัญก็พอแล้วครับ..”
  ถังเมิ่งพูดยังไม่ทันจบประโยคดี..เสียงปรบมือก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องจนดังกลบเสียงของสายฝนที่ยังคงกระหน่ำอยู่ด้านนอก!
  นี่เป็นครั้งแรกที่แขกในงานหลายคนเพิ่งจะได้พบเจอหลิงหยุนเป็นครั้งแรกพวกเขาจะพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
  น่าขัน..ตอนนี้มีใครบ้างที่จะไม่เห็นแก่หน้าถังเมิ่งกับหลิงหยุน
  “เป็นเกียรติกับพวกเราอย่างมาก!”
  “นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองนะจะไม่รับซองแดงได้อย่างไรกัน คุณต้องรับถึงจะถูก..”
  “ถูกต้อง..นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองให้กับนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดทั้งที ยังไงก็ต้องรับซองแดงถึงจะถูกต้อง!”
  “หลิงหยุนเป็นนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดตัวจริง!เจ้าหลี่เทียนนี่ช่างชั่วช้าจริงๆ!”
  และเพียงไม่นาน..บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงก็เปลี่ยนเป็นอบอวลด้วยความยินดียิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ฉลองให้กับคนตระกูลหลี่หลายสิบเท่า!
  ถังเมิ่งยืนฟังเสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องและเวลานี้ก็เพิ่งจะสองทุ่มครึ่งเท่านั้น ล่าช้ากว่ากำหนดมาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
  ช่างง่ายดายและไม่ซับซ้อน!
  ถังเมิ่งหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า“พี่หยุน.. จะรับซองแดงดีมั๊ย!”
  แม้เสียงปรบมือจะดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องแต่ถังเมิ่งก็รู้ว่าหลิงหยุนจะต้องได้ยินคำถามของเขาอย่างแน่นอน..
  หลิงหยุนยักไหล่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ในเมื่อเป็นความต้องการของทุกท่าน ผมก็ยินดีที่จะรับไว้ครับ!”
  “ถังเมิ่ง..จัดการเตรียมเจ้าหน้าที่มารับซองด้วย!”
  เพราะหากไม่รับ..ก็คงไม่ใช่หลิงหยุนตัวจริงอย่างแน่นอน!
  ถังเมิ่งยิ้มและร้องตะโกนบอกพนักงานเสริฟ“เอาล่ะ.. คุณทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดในห้องนี้ แล้วก็จัดหาคนมาทำหน้าที่รับซองด้านนอกให้ด้วย..”
  พนักงานเสริฟร้องตอบถังเมิ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ครับ.. ผมจะจัดการตามที่คุณถังสั่งให้เรียบร้อย!”
  ระหว่างที่เดินลงมาด้านล่างนั้นถังเมิ่งก็หันไปสั่งต่อ “แขกบางส่วนอยู่ในห้องวีไอพี คุณช่วยจัดหาคนเข้าไปต้อนรับด้วย..”
  พนักงานเสริฟหันมาบอกถังเมิ่งว่า“ครับคุณถัง.. แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีพนักงานไม่พอ!”
  ถังเมิ่งหันไปมองพร้อมกับสั่งว่า“เรียกพนักงานเสริฟจากชั้นอื่นให้มาช่วย!”
  หลังจากที่หัวหน้าพนักงานเสริฟคนใหม่ออกไปทำงานตามคำสั่งถังเมิ่งเองก็เดินไปหาหลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋ เขาตีหน้าเศร้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “พี่หยุน..ฉันเสียเงินซื้อโรงแรมนี่ไปตั้งห้าร้อยล้าน! ฉันคงนอนไม่หลับอีกนาน..”
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ทำโกรธทั้งขำแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็พูดขึ้นว่า “นายนี่.. ห่วงแต่เรื่องเงิน!”
  แล้วหลิงหยุนก็พยักเพยิดหน้าชี้ไปทางแขกพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ดูท่าทางคืนนี้ฉันจะได้รับซองแดงมากกว่าหลี่จิ่วเจียงอีก!”
  “ใหนยังจะมีทรัพย์สินแล้วก็เงินสดของหลู่กวนหวังอีกแล้วก็ของกู่เหลียนเฉิงอีกเป็นพันล้าน วันเดียวมีรายได้มหาศาลแบบนี้ นายยังจะเสียดายอีกเหรอ!”
  “ที่สำคัญ..แขกในคืนนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม และจะมีประโยชน์กับเราอย่างมากในวันข้างหน้า นี่ต่างหากคือชัยชนะที่แท้จริง!”
  “ฉันว่าผ่านไปไม่ถึงครึ่งปีนายจะได้กำไรจากโรงแรมอีกเป็นร้อยล้าน!”
  “นี่..แล้วเรื่องเช็คยี่สิบล้านนั่นล่ะ อย่าบอกนะว่าจะยึดของฉันไปจริงๆ!”
  ถังเมิ่งหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. พี่หยุน! รับรองว่าพ่อของฉันคืนให้แน่นอน!”
บทที่ 858 : ตบหน้าฉาดใหญ่!
  หลังจากที่กำจัดศัตรูและจัดการเรื่องแขกภายในห้องจัดเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็เดินทักทายแขกเหรื่อภายในงานต่อ
  “สวัสดีค่ะหลิงหยุน!ฉันชื่อเวิ่นเสี่ยวหยา ทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์เจียงหนาน ฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณ และแอบชื่นชมคุณมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้ฉันจะโชคดีได้เจอตัวจริง..”
  จู่ๆเสียงหวานเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นทางด้านหลังของหลิงหยุนกับถังเมิ่ง แม้เสียงที่ดังอยู่ด้านหลังนั้นจะกังวานใส แต่ก็หวานจนฟังแล้วรู้สึกเลี่ยน..
  ทั้งหลิงหยุนและถังเมิ่งต่างก็หันหลังไปมองพร้อมกันแล้วก็เห็นพิธีกรสาวที่เดินตามลงมาจากเวที และกำลังยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคน
  ถังเมิ่งกำลังยืนคุยเรื่องสำคัญกับหลิงหยุนอยู่พอดีแต่เมื่อหันหลังไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเสียงของเวิ่นเสี่ยวหยา ถังเมิ่งก็ถึงกับคิ้วขมวดเข้าหากันทันที
  เวิ่นเสี่ยวหยาเป็นหนึ่งในพิธีกรสาวที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเธอเป็นหญิงร่างสูงอายุราวยี่สิบห้าปี และเป็นหญิงสาวที่มีแรงดึงดูดทางเพศสูงมาก อีกทั้งยังเป็นที่สนอกสนใจของชายหนุ่มมากมาย และนับว่าเป็นพิธีการที่ยังสาวและยังสวยมากอีกด้วย
  วันนี้เพื่อให้บรรยากาศในงานเลี้ยงสดในเธอจึงตั้งใจสวมชุดราตรีสีแดงสดใส และแต่งหน้าเข้ม ผมยาวนั้นดัดเป็นรอนประบ่า และเปิดให้เห็นต่างหูไข่มุกบนหูทั้งสองข้าง
  ชุดราตรีสีแดงเผยให้เห็นช่วงบนที่ขาวราวหิมะและสามารถดึงดูดสายตาได้แทบทุกคู่..
  แต่สำหรับหลิงหยุนแล้วเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับเวิ่นเสี่ยวหยา เพราะด้วยจิตหยั่งรู้ของเขานั้น ทุกคนในงานรวมทั้งเวิ่นเสี่ยวหยา ก็ไม่สามารถรอดพ้นหูพ้นตาของเขาไปได้
  เวิ่นเสี่ยวหยาเป็นหญิงสาวที่มีโหนกแก้มสูงเล็กน้อยและจมูกโด่งเป็นสันนั้นก็เห็นได้ชัดว่าผ่านมีดหมอมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ได้รับการปกปิดไว้ด้วยเทคนิคการแต่งหน้าชั้นเยี่ยม แม้ว่าดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าจะดูสวยงาม แต่ก็บ่งบอกถึงความเห็นแก่ตัว และไม่น่าประทับใจ..
  แน่นอนว่าถังเมิ่งนั้นต้องคุ้นหน้าคุ้นตาเวิ่นเสี่ยวหยาอยู่แล้วเพราะเห็นในจอทีวีแทบทุกวัน เพียงแต่ไม่เคยเจอตัวจริงเท่านั้นเอง
  ถังเมิ่งรู้ดีว่าเวิ่นเสี่ยวหยาเป็นพิธีกรมืออาชีพแล้วก็เป็นคนที่มีข่าวลือด้านเสียมากมาย เพื่อนชายรอบตัวของเธอก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนุ่มเพลย์บอยลูกหลานคนรวยทั้งนั้น
  ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนของถังเมิ่งที่ชื่อเสี่ยวจี๋เองก็เคยเล่าให้ฟังว่า ค่าตัวเวิ่นเสียวหยาต่อคืนนั้นห้าแสนหยวนเลยทีเดียว!
  สื่อต่างๆก็เคยรายงานข่าวเรื่องเวิ่นเสี่ยวหยาว่า เธอมักจะเข้าออกบ้านใหญ่โตหรูหราของกู่เหลียนเฉิงหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าเป็นแขกประจำบ้านของกู่เหลียนเฉิงก็ได้
  และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเมื่อถังเมิ่งเห็นว่าเป็นเวิ่นเสี่ยวหยาเขาจึงได้รู้สึกหงุดหงิด และเริ่มจะหมดความอดทน!
  และหากเขาเป็นผู้จัดงานเลี้ยงนี้เองตั้งแต่ต้นแน่นอนว่าเขาจะไม่เชิญเวิ่นเสี่ยวหยามาเป็นพิธีกรในงานอย่างแน่นอน!
  และเวลานี้ผู้หญิงคนนี้ก็กำลังยั่วยวนหลิงหยุนอยู่มีหรือที่ถังเมิ่งจะดูไม่ออก!
  เหตุใดถังเมิ่งจึงรู้ว่าเวิ่นเสี่ยวหยาต้องการจะยั่วยวนหลิงหยุนน่ะหรือ
  นั่นก็เพราะเขาเห็นว่าก่อนที่เวิ่นเสี่ยวหยาจะเดินลงมาจากเวทีนั้นเธอได้ใช้มือดึงกระโปรงลงเพื่อให้สามารถอวดเนินเนื้อสีขาวได้ชัดยิ่งขี้น..
  ใบหน้าที่แต่งไว้หนาเตอะนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมาด้านหน้าเพื่อรอจับมือกับหลิงหยุน และดูเหมือนว่าหากหลิงหยุนไม่จับมือเธอ เธอก็คงจะไม่ยอมดึงมือกลับอย่างแน่นอน
  ถังเมิ่งเดาไม่ผิดแม้แต่น้อยเวิ่นเสี่ยวหยากำลังคิดตกปลาใหญ่ เวลานี้ทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงคงไม่มีเป้าหมายใดใหญ่ไปกว่าหลิงหยุนอีกแล้ว!
  เวิ่นเสี่ยวหยาเป็นฝ่ายยั่วยวนหลิงหยุนเช่นนี้เธอต้องมั่นใจอย่างมากว่าหลิงหยุนจะไม่กล้าปฏิเสธเธอ!
  หลิงหยุนหันไปมองพร้อมกับส่งยิ้มที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้กับเวิ่นเสี่ยวหยาแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของหลิงหยุนจ้องมองไปทางเวิ่นเสี่ยวหยาราวกับว่าเธอมีแรงดึงดูดอย่างมากมาย..
  เวิ่นเสี่ยวหยาเห็นสีหน้าและแววตาของหลิงหยุนก็ได้แต่แอบดีใจที่สามารถยั่วยวนหลิงหยุนได้สำเร็จ เธอรีบเดินบิดสะโพกเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ว่าไงคะคุณเจ้าภาพ..ฉันยื่นมือรออยู่ตั้งนานแล้วนะ อายอะไรเหรอคะ!”
  แต่ทันทีที่พูดจบ..เวิ่นเสี่ยวหยาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อจู่ๆเสียงพูดคุยภายในห้องก็เงียบไปกะทันหัน และไม่รู้ว่าเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่
  และเวิ่นเสี่ยวหยาก็สังเกตเห็นว่าสายตาของหลิงหยุนที่มองมานั้น จุดโฟกัสไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เหมือนจะมองไปทางด้านหลังของเธอ!
  ทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลังทันทีและขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว!
  เสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่ด้านหลังของเวิ่นเสี่ยวหยาริมฝีปากของเธอสั่นระริก แล้วรีบหันหลังกลับไปมองทันที!
  แล้วก็พบว่า..ผู้หญิง.. ไม่ใช่สิ! กลุ่มหญิงสาวที่ล้วนแล้วแต่งดงามอย่างหาใครเทียบไม่ได้ และไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งหมดนี้มายืนอยู่ด้านหลังของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ และสายตาเย็นชาของพวกเธอก็กำลังจับจ้องมาทางเว่นเสี่ยวหยา!
  หนึ่งในสาวงามนั้นสวมชุดกี่เพ้าสีชมพูและปักเป็นรูปดอกโบตั๋นสวยงาม กำลังเยื้องย่างมาอย่างสง่างาม..
  และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลินเมิ่งหาน!
  หลังจากที่หลิงหยุนเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างแล้วหลินเมิ่งหานก็เดินนำเหยาลู่ และสาวงามคนอื่นๆมาหาหลิงหยุนที่ด้านหน้า และเมื่อสาวงามต่างก็เห็นว่าเวิ่นเสี่ยวหยากำลังยั่วยวนหลิงหยุนอยู่ มีหรือที่พวกเธอจะรู้สึกพอใจ
  หลินเมิ่งหานไม่แม้แต่จะชายตามองเวิ่นเสี่ยวหยาเธอเดินผ่านไปพร้อมกับยิ้มหยัน และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา..
  “ว่าไงคะ..คุณพิธีกรคนดัง”
  และนี่ไม่ใช่การทักทายด้วยความพอใจแต่เป็นการเย้ยหยันดูถูก และไม่ต่างจากการตบหน้าเวิ่นเสี่ยวหยา!
  หลังจากที่หลินเมิ่งหานเดินผ่านไปเหยาลู่ที่อยู่ในชุดราตรีสีเหลืองก็เดินตามมา เธอยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมกับเอ่ยชมเวิ่นเสี่ยวหยา
  “เธอดูสง่างามแล้วก็ค่อนข้างถือตัวเหมือนที่พี่หลินบอกจริงๆ”
  เวิ่นเสี่ยวหยาใจสั่นระรัวใบหน้าของเธอแดงก่ำ และแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเดี๋ยวนั้น
  แต่ช่างโชคร้ายที่ทุกอย่างยังไม่จบเพียงแค่นั้น..เพราะหลงหวู่ก้าวเดินตามมาพร้อมกับทำสีหน้าเยาะเย้ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ผู้ชายคนนี้น่าจะสูงเกินสำหรับคุณ..”
  หลงหวู่ไม่ได้ประชดเพราะหลิงหยุนนั้นเป็นชายร่างสูง และเธอเองก็สูงถึงหนึ่งเมตรเจ็ดสิบกว่า แม้กระทั่งในคืนนี้เธอยังไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูงมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังสูงกว่าเวิ่นเสี่ยหยาที่สวมรองเท้าส้นสูงเสียอีก!
  ถังเมิ่งนั้นพยายามกลั้นหัวเราะจนปวดท้องไปหมด..
  ตามมาด้วยไป๋เซียนเอ๋อนางแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และจงใจหยุดอยู่ตรงหน้าเวิ่นเสี่ยวหยาพร้อมกับหันไปมองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นถอดแว่นกันแดดออก แล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
  “อืมม..หน้าตาก็สวยดี แต่ก็ไม่ไม่เท่าไหร่!”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  ถังเมิ่งไม่สามารถกลั้นหัวเราะไว้ได้อีกเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง และหัวเราะไม่หยุดจนน้ำหูน้ำตาไหล
  และแน่นอนว่า..นอกเหนือจากหนิงหลิงยู่แล้ว ก็ไม่มีสาวงามคนใหนที่จะงดงามเทียบไป๋เซียนเอ๋อได้ และนั่นทำให้ใบหน้าสวยงามของเวิ่นเสี่ยวหยาถึงกับหมองไปทันที..
  “การกระทำบ่งบอกพื้นฐานครอบครัวสินะ!”
  เกาเฉินเฉินที่เดินตามไป๋เซียนเอ๋อมาพูดขึ้นและนั่นทำให้เวิ่นเสี่ยวหยาถึงกับอับอายแทบทนไม่ได้!
  สามคนสุดท้ายที่เดินตามเข้ามาก็คือ..หนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง และเหมี่ยวเสี่ยวเหมา และแน่นอนว่าความงดงามของพวกเธอนั้นหาใครเปรียบได้ยาก..
  ทั้งสามคนหันมาพูดคุยกัน“ยังสาว.. แล้วก็ผิวพรรณดี!”
  สาวน้อยทั้งสามที่อายุเพียงแค่สิบเจ็ดถึงสิบแปดปีเอ่ยชมเวิ่นเสี่ยวหยาที่อายุยี่สิบห้าปีจนแม้กระทั่งตี้เสี่ยวอู๋ยังแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
  หลังจากที่สาวงามต่างก็ได้พูดประชดประชันเวิ่นเสียวหยาแล้วก็ได้เดินไปยืนอยู่ด้านหลังหลิงหยุนพร้อมกับกวาดตามองไปยังแขกเหรื่อที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยง
  “พระเจ้า..สาวงามทั้งหมดนี้มาพร้อมกับหลิงหยุนงั้นเหรอ”
  บางคนถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ..
  “แต่ละคนสวยอย่างกับนางฟ้า!”
  “แบบนี้สิ..ถึงจะเรียกว่าสวยติดอันดับ!”
  เสียงร้องอุทานและคำชมต่างก็ดังขึ้นทั่วทั้งห้อง
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยเขาพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกได้พร้อมกับยื่นมืออกไปทางเวิ่นเสี่ยหยา
  “ขอโทษทีครับ..ลืมจับมือกับคุณไปเลย!”
  “ไม่..ไม่เป็นไรค่ะ!”
  เวิ่นเสี่ยวหยาปฏิเสธหน้าแดงด้วยความอับอายและรีบเดินหนีไปทันที เธอรีบจนรองเท้าส้นสูงเหยียบชายกระโปรงตัวเอง และเกือบจะล้มลงไป!