เมื่อออฮยูลเจยกมือตอบรับ พวกเขาก็พากันลุกขึ้นยืน แล้วยืนเรียงกันอยู่สองฝั่งของเตียง ออฮยูลเจและฮวังฮูเดินเข้าไปใกล้เตียง แล้วมองดูฮเยจิน
“คุณงามความดีของฮเยจินนั้นยิ่งใหญ่นัก เพราะได้ให้กำเนิดพระราชนัดดาขององค์จักรพรรดิในพระราชวังอันทรงเกียรติแห่งนี้”
“เป็นพระมหากรุณาเพคะ” แม้ร่างกายจะยังฟื้นคืนกำลังได้ไม่เต็มที่ แต่น้ำเสียงของฮเยจินนั้นใสและชัดเจน เมื่อฮวังฮู แทรยองเห็นว่าแม่ลูกอ่อนนี้แข็งแรงนางก็ยิ้มและพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับออฮยูลเจ
“ฝ่าพระบาท เชิญตั้งชื่อให้กับพระราชนัดดาโดยเร็วเถิดเพคะ”
“นั่นสินะ” สายตาของออฮยูลเจที่มองฮเยจินอยู่เปลี่ยนไปมองทารกที่นอนอยู่ข้างๆ
ฮเยจินได้ให้กำเนิดบุตรสาว แม้ว่าฮวังฮู แทรยองจะปลื้มใจที่ได้หลานผู้หญิงเพราะนางว่าตนมีหลานชายแทฮวางกุน มู บุตรของดึกวอลแทจาแล้ว ทว่าออฮยูลเจก็อดที่จะผิดหวังไม่ได้กับการที่ตนได้หลานสาว แต่เขาก็แสดงความชื่นชมด้วยใจยินดี เนื่องจากได้มีทายาทเกิดมาในราชวงศ์อันมีเกียรติที่ไม่มีใครเทียบได้นี้
เด็กแรกเกิดที่เพิ่งเกิดมาได้สิบวันนั้นบนร่างกายเล็กๆ ยังคงมีสีแดงหลงเหลืออยู่บนผิวกาย ทุกคนคิดว่าสีผิวนางคงจะเหมือนกับแม่ ผู้มีผิวสีน้ำตาลแกมเหลือง ทว่านางกลับมีผิวสีขาวซ่อนอยู่ใต้จุดสีแดงเหมือนกับพ่อของตน เมื่อทารกน้อยลืมตาขึ้นดวงตาสีฟ้าก็ส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ออฮยูลเจยิ้ม
“ความปรองดองกันระหว่างอาณาจักรจินซองกับมกกุกนั้น ฉายฉัดออกมาทางใบหน้าของนางมากทีเดียว นางคืออัปสรสวรรค์ผู้งดงามอย่างไม่ต้องสงสัย เราจะตั้งชื่อให้นางฟ้าตัวน้อยผู้นี้ว่าอย่างไรดีนะ” ออฮยูลเจใช้มือรูปเคราของตัวเองไป พลางก็พูดไป เซจา บินซองที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้มศีรษะลง แล้วก้าวออกมาด้านหน้า
“ฝ่าพระบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องใดหรือ”
“กระหม่อมได้ครุ่นคิดชื่อที่จะตั้งให้แก่ธิดาของกระหม่อมมาเป็นเวลานานนัก กระหม่อมขอใช้ชื่อที่ตั้งขึ้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ บินซองในวัยสิบแปดปีที่ไม่สามารซ่อนความตื่นเต้นเมื่อได้เห็นลูกของตนเองพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาได้ขอความช่วยเหลือจากรูแฮในการตั้งชื่อดีๆ ให้กับลูกคนแรกของตนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ออฮยูลเจพยักหน้าและยิ้มให้ “เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วมิใช่หรือที่บิดาจะตั้งชื่อให้บุตรของตนเอง เช่นนั้นชื่อที่คิดไว้คืออะไรกันเล่า”
“กระหม่อมคิดว่าจะใช้ชื่อของกระหม่อมกับของชายารวมกันเป็น โซอา โซที่หมายถึงความสว่าง และอา ที่หมายถึงความงดงามพ่ะย่ะค่ะ”
ชื่อจริงของบินซองคือ ดันมก โซแท ส่วนชื่อจริงของฮเยจินคือ ฮาจิน พโยอา โดยชื่อลูกของทั้งสองนั้นเอามาจากชื่อของทั้งสองอย่างละคำ จึงกลายเป็นโซอา บินซองไปขอคำปรึกษาจากรูแฮถึงวังใต้อย่างกระตือรือร้น หากแต่กระบวนการตั้งชื่อกลับง่ายดายถึงเพียงนี้
ออฮยูลเจยิ้มกว้างให้กับคำพูดของบินซอง และได้อนุญาตให้ใช้ชื่อนั้น ใบหน้าของบินซองสดใสขึ้น เขาเดินเข้าไปหาฮเยจินแล้วโอบกอดนางไว้ราวกับว่าตนนั้นรักนางมากจนไม่อาจทนได้ การกระทำอย่างเปิดเผยของบินซองต่อหน้าองค์จักพรรดิ และฮวังฮูนั้น ทำให้เห็นถึงความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ความของเซจา บินซอง
โซอากระพริบตาใสๆ และไม่ยอมหลับเลยจนกระทั่งพิธีการตั้งชื่อจบลง ตอนนี้พิธีตั้งชื่อก็จบลงแล้ว เหลือเพียงการแจ้งนามรอง นามรองนั้นต่างจากนามหลักตรงที่นามรองเป็นนามที่ตั้งตามดวงวันเกิด ขันทีถวายกระดาษสีแดงที่วางอยู่บนผ้าแพรให้กับออฮยูลเจด้วยสองมือ ออฮยูลเจรับกระดาษสีแดงนั้นมา แล้วเปิดกระดาษที่เขียนนามรองไว้ออก เขาหันไปทางโซอาแล้วกล่าวว่า
“เราขอประกาศนามรองของดันมก โซอา พระราชธิดาองค์แรกของเซจา บินซอง หรือดันมก โซแทกับ พระชายาเซจา ฮเยจิน หรือฮาจิน พโยอา ประสูติเมื่อวันที่หนึ่ง เดือนหนึ่ง โดยนามรองคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคำว่าเก่าและคำว่าวงกลม เพื่อให้รู้ถึงการเชื่อมโยงการเรียนรู้ใหม่และเก่าได้ โดยมีคำว่าโก ที่หมายถึง เก่า โบราณ และ รยูน ที่หมายถึง กลม รวมกันเป็นนามที่เรียกว่า โกรยูน”
และพิธีทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ ธิดาน้อยที่ดูไม่ง่วงนอนมองขึ้นไปในอากาศด้วยดวงตาแวววาว นางทำปากขมุบขมิบเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยรู้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่ได้มีการตั้งนามหลักว่าดันมก โซอา และนามรองว่า โกรยูน ให้กับตน ออฮยูลเจและฮวังฮูได้มองไปที่โกรยูน และอวยพรให้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงตามมาด้วยฮวังบีอีกสองคนอวยพร เมื่อองค์จักรพรรดิ ฮวังฮู และฮวังบีทั้งหมดออกจากซานชิลชองไปแล้ว คนอื่นๆ ของพระราชวังแต่ละทิศก็เดินเข้ามาที่บริเวณเตียง
บีพาอันมองโกรยูนอย่างนิ่งๆ ส่วนโกรยูนหันหน้ามองไปทางบีพาอัน บีพาอันที่เมื่อสักครู่คิดไปว่าโกรยูนมองหน้าตัวเองนั้นรีบสบตาตอบทันที เขาก็คิดด่าโกรยูนยังเด็กมาก แต่ว่าที่แปลกคือขณะที่ดวงตาสีฟ้าของโกรยูนมองไปที่บีพาอันนั้น ดวงตาของนางไม่ขยับเลย เป็นการกระทำที่ไม่สมกับเป็นเด็กนัก เป็นสีหน้าที่ไม่เหมือนเด็กแรกเกิดเลย
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา” ฮเยจินเรียกบีพาอันแล้วส่งโกรยูนที่ตนกำลังอุ้มอยู่ให้กับบีพาอัน
“จะมิทรงลองอุ้มดูหน่อยหรือเพคะ”
เป็นคำเอ่ยชวนที่ไม่คาดคิด แม้แต่บีพาอันก็มองฮเยจินด้วยสีหน้างุนงง ทว่าฮเยจินไม่ได้หลบสายตาของบีพาอัน และจ้องมองอย่างตรงไปตงมา มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธแม่ลูกอ่อนในวันแบบนี้ได้ บีพาอันพยักหน้าอย่างไม่คุ้นชินแล้วรับโกรยูนมาอุ้มไว้ สายตาของโกรยูนจ้องมองไปที่ดวงตาที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของบีพาอัน ไม่สิ ต้องพูดว่าดูเหมือนนางกำลังจ้องอยู่จึงจะถูก
“ท่านพี่ฮวางแทจาทรงอุ้มบุตรของพวกกระหม่อมเป็นคนที่สามเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คนแรกคือชายาของกระหม่อม และคนที่สองก็คือกระหม่อมเอง” บินซองดีใจที่บีพาอันรับลูกของตนไปอุ้ม เขาพูดไม่หยุด สายตาของบีพาอันจ้องลงไปที่โกรยูน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเห็นเด็กแรกเกิด ในตอนที่แทฮวางกุน มูเกิดครบสิบวัน เขาก็เคยเฝ้ามองอยู่ ทว่าการได้อุ้มเด็กทารกนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ร่างกายเล็กๆ ของเด็กทารกน้อยนั้นไม่มีน้ำหนักเลย แต่ในบางทีน้ำหนักนี้อาจจะหนักเกินไปสำหรับเด็กแรกเกิดก็เป็นได้ ใบหน้าเล็กเท่ากำปั้นนั้นมีทุกอย่างที่ควรจะมี ทั้งดวงตากลมกับจมูกที่ยังแบนราบติดอยู่กับใบหน้า คิ้วและเส้นผมที่มีสีอ่อนจนคาดเดาสีไม่ได้ นิ้วมือที่ขยับไปมาก็มีครบทั้งสิบ
บีพาอันที่มองโกรยูนอยู่ชั่วขณะหนึ่งได้เลื่อนสายตาหันไปมองกโยซึล