บทที่ 863 : อยากตามไปทุกที่!
  และในที่สุดนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดทั้งสามคนก็ได้ยื่นเรื่องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหยานจิงท่ามกลางสักขีพยานมากมาย!
  ภายในเวลาไม่กี่นาทีในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราแห่งนี้เด็กนักเรียนมัธยมทั้งสาคนก็ได้กลายเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยหยานจิงไปเรียบร้อยแล้ว!
  และแทบไม่ต้องมีคำถามว่าทางมหาวิทยาลัยหยานจิงจะตอบรับกลับมาหรือไม่เพราะด้วยคะแนนสอบของทั้งสามคนนั้น ไม่ว่าจะยื่นเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งใดของประเทศ ทุกมหาวิทยาลัยก็ต้องรีบอ้าแขนรับอย่างไม่ลังเล!
  ขั้นตอนการกรอกรายละเอียดยืนยันตัวตนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหยานจิงของทั้งสามคนนั้นได้ปรากฏอยู่บนโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ และทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็ร่วมกันเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย..
  การที่หลิงหยุนเลือกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์นั้นแทบไม่ต้องสงสัยอะไร..เพราะแขกบางคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้ อาจจะเคยไปรับการรักษาจากเขามาก่อนด้วยซ้ำไป!
  ส่วนคณะบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยหยานจิงนั้นก็เป็นอีกคณะหนึ่งที่คนรู้จักกันดีทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ และหากนิสิตของคณะนี้จบออกไป ความรู้ความสามารถนั้นจะสามารถเทียบขั้นผู้ทีจบ MBA ได้เลยทีเดียว!
  แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือหนิงหลิงยู่ที่จู่ๆก็เลือกเรียนธรณีฟิสิกส์!
  และเหตุผลหนึ่งที่หนิงหลิงยู่เลือกเรียนสาขาวิชานี้ก็เพราะเป็นสาขาที่นักเรียนคนอื่นๆไม่ค่อยสนใจที่จะเรียน!
  “ธรณีฟิสิกส์งั้นเหรอนี่มันอะไรกัน?!”
  “จู่ๆทำไมถึงได้เรียนสาขานี้นะ!น้อยคนนักที่จะเลือกเรียน แล้วจบมาจะทำงานได้เงินสักเท่าไหร่กัน”
  “แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเธอนะ!แต่ก็น่าเสียดายแทนแม่สาวน้อยคนสวยจริงๆ!”
  “หลิงหยุนเลือกเรียนแพทย์ศาสตร์แบบนี้ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา ผมว่าต้องจบมาเป็นแพทย์ที่เก่งมากอย่างแน่นอน!”
  ดูเหมือนว่าธรณีวิทยาจะเป็นคณะที่ไม่มีผู้คนสนใจนักพวกเขาจึงเปลี่ยนมาพูดเรื่องของหลิงหยุนแทน..
  ในตอนนั้นหลิงหยุนไม่ทันสังเกตุเห็นว่าแขกเหรื่อกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องของหนิงหลิงยู่อยู่พอดีและเขาเองก็ไม่ได้เปิดจิตหยั่งรู้ไว้ด้วย เพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับจอโปรเจ็กเตอร์ขนาดใหญ่ และกำลังขบฟันจนปวดไปหมด!
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนเองก็รู้สึกไม่แตกต่างจากแขกในห้องจัดเลี้ยงเขารู้สึกงุนงงที่เห็นหนิงหลิงยู่เลือกเรียนสาขาวิชานี้!
  “นี่หลิงยู่..ธรณีฟิสิกส์อะไรนี่ มันเรียนเกี่ยวกับเรื่องผืนโลกไม่ใช่เหรอ”
  หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นานก็ไม่สามารถหาคำตอบได้จึงหันไปถามหนิงหลิงยู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ..
  หนิงหลิงยู่หันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพยักหน้าแดงก่ำของตนเองและตอบไปว่า “อืมม.. ใช่แล้ว! เรียนเรื่องผืนดิน!”
  หนิงหลิงยู่ตอบหลิงหยุนก็เท่ากับตอบคำถามในใจของฉีเสี่ยวชิง ครูใหญ่จาง และกงเสี่ยวลู่ด้วย
  “ธรณีฟิสิกส์เป็นสาขาหนึ่งของคณะธรณีวิทยาเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆทางธรณีวิทยา โดยใช้วิธีการทางกายภาพฟิสิกส์ ได้แก่การศึกษาสมบัติและกระบวนการทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับพื้นดิน อุทกภาค (hydrophere) บรรยากาศ และความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์”
  “ธรณีฟิสิกส์ยังเป็นการศึกษาปรากฏการณ์ทางธรณีวิยาที่หลากหลายรูปแบบรวมถึงอุณหภูมิที่กระจายอยู่บนผืนโลก โครงสร้าง การแปรผันของสนามแม่เหล็กของผืนโลก ลักษณะของเปลือกโลก เช่นรอยเลื่อน รอยประสานของไหล่ทวีป หรือกลางมหาสมุทร การศึกษาธรณีฟิสิกส์สมัยใหม่ยังศึกษาไปถึงชั้นบรรยากาศนอกโลกอีกด้วย..”
  “อย่างเช่น..ชั้นไอโอโนสเฟียร์ หรือแม็กนีโตสเฟียร์ซึ่งเป็นช่วงที่มีสนามแม่เหล็กสูง หรือแม้แต่คุณสมบัติทางกายภาพที่แผ่ขยายไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น..”
  หนิงหลิงยู่อธิบายออกมาอย่างละเอียดเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้เพิ่งจะมาเลือกสาขาวิชาที่ต้องการเรียนในตอนนี้ แต่เธอได้ศึกษาอย่างละเอียดมาก่อนล่วงหน้าแล้ว!
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไป..และหลังจากที่คิดวิเคราะห์ตามคำอธิบายของหนิงหลิงยู่แล้ว เขาก็รีบถามขึ้นว่า
  “หมายความว่าธรณีฟิสิกส์นี้จะศึกษาตั้งแต่การก่อตัวและการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมไปถึงมหาสมุทร ชั้นบรรยากาศ และปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาอื่นๆอย่างเช่น ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว หรือแม้แต่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆอย่างดวงจันทร์ด้วยงั้นสิ!”
  หนิงหลิงยู่พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับตอบไปว่า“ถูกต้อง! พี่ฉลาดมาก!’
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดหนิงหลิงยู่จึงได้เลือกเรียนสาขาวิชานี้ นั่นเพราะนิสัยส่วนตัวของหนิงหลิงยู่นั้นรักและชื่นชอบการสำรวจธรรมชาติของโลกนั่นเอง!
  เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ได้อยู่กันตามลำพังเขาก็มักจะได้ยินเธอพูดเสมอว่าอยากจะไปเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียง และต้องการไปสำรวจความลึกลับของผืนโลกนี้..
  และสถานที่ที่เธออยากจะไปมากก็คือป่าดงดิบขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ยอดเขาเอเวอเรส แล้วก็ทะเลทรายซาฮาร่า เธอต้องการไปสำรวจสถานที่ที่ผู้คนเข้าถึงได้ยาก เธออยากรู้อยากเห็นว่าผู้คนที่นั่นใช้ชีวิตกันอย่างไร และมีประวัติความเป็นมาเช่นใด?
  เมื่อครั้งที่หลิงหยุนพาเจ้าขาวปุยไปกลายร่างถึงเกาะเตียวหยูนั้นเมื่อกลับมาเขาก็ได้เล่าให้หนิงหลิงยู่ฟัง และนั่นทำให้เธอรู้สึกประทับใจอย่างมาก!
  ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้หนิงหลิงยู่เองก็ได้ฝึกฝนวิชาดาราคุ้มกายจนเกือบจะสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้ว!
  เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องให้หนิงหลิงยู่ฝึกวิชาดาราคุ้มกายอย่างนั้นหรือนั่นเพราะพลังจันทรา และพลังสุริยะนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกมีจิตใจที่สงบ!
  สำหรับหลิงหยุนแล้ว..สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สำหรับเด็กสาวอายุสิบแปดปีที่เฉลียวฉลาด เธอจึงมีความอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ!
  ในเมื่อคนเราไม่ต้องคอยวุ่นวายกังวลอยู่กับเรื่องปากท้องหรือเงินทองแล้ว สิ่งที่คนเราต้องการตอบสนองมากที่สุดจะเป็นอะไรไปได้ หากไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็น!
  หนิงหลิงยู่เองก็เช่นกัน..เธอก็ไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้ และหลังจากที่ใคร่ครวญอยู่นาน เธอจึงเลือกที่จะเรียนสาขาวิชาเฉพาะทางเช่นนี้ และที่สำคัญเธอตั้งใจที่จะนำวิชาความรู้ด้านนี้มาช่วยหลิงหยุน!
  สำหรับคนธรรมดาสามัญการเรียนในสาขาวิชาลักษณะนี้อาจดูเหมือนไม่สามารถทำเงินได้มาก แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว.. ความรู้เฉพาะทางเหล่านี้กลับจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในวันข้างหน้า
  เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ และได้แต่ยืนมือออกไปโอบไหล่หนิงหลิงยู่ไว้แน่นต่อหน้าแขกจำนวนมาก! และหลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกหนิงหลิงยู่..
  -เด็กโง่!เลือกเรียนเพื่อพี่เหรอนี่.. พี่ใหญ่มีความรู้เรื่องภูมิศาสตร์กับดาราศาสตร์แล้ว แต่จะเรียนสิ่งเหล่านี้จากเธอด้วย!-
  หลิงหยุนโอบไหล่เธอแน่นต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายเช่นนี้หนิงหลิงยู่จึงรู้สึกเก้อเขิน และตอบหลิงหยุนกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
  “ฉันก็แค่อยากตามพี่ไปทุกที่เท่านั้น..”
  ‘แค่อยากตามไปทุกที่เท่านั้น’
  ประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวของหนิงหลิงยู่แต่มีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่เป็นร้อยเป็นพันที่ต้องการสื่อสารให้หลิงหยุนรู้
  แต่หลิงหยุนกลับไม่ฉุกคิดเขาเพียงแค่ยิ้มและตอบกลับไปว่า “แต่เมื่อไหร่ที่เธอมีแฟน เธอก็จะไม่พูดแบบนี้แล้ว.. เชื่อพี่สิ!”
  คำพูดของหลิงหยุนทำให้ร่างกายของหนิงหลิงยู่เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อและสั่นเทิ้มทันที!
  หลิงหยุนตกใจจนต้องรีบถามออกไปว่า“หลิงยู่.. จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมา!”
  หลิงหยุนรู้ว่าเวลานี้หนิงหลิงยู่ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9แล้ว และจะสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ทุกเมื่อ
  “มะ..ไม่มีอะไรนี่!”
  หนิงหลิงยู่รู้สึกเย็นยะเยือกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งจิตใจของเธอเปลี่ยนเป็นขมขื่นอย่างที่สุด และน้ำเสียงที่สดใสก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที
  หนิงหลิงยู่กัดริมฝีปากแน่นและค่อยๆผละออกจากอ้อมแขนของหลิงหยุน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบสาวงามมากมายกำลังยืนอยู่ที่ทางเดินกลางห้องจัดเลี้ยง และทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่หลิงหยุน
  ไป๋เซียนเอ๋อหลินเมิ่งหาน เหยาลู่ เสี่ยวเม่ยหนิง เกาเฉินเฉิน หลงหวู่ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และอีกมากมาย ทั้งหมดได้ออกมายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งแล้ว และสายตาของพวกเธอก็ล้วนแล้วบ่งบอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไร
  หญิงสาวทุกคนต่างก็รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่หนิงหลิงยู่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหยุนหรืออยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนนั้น หญิงสาวคนอื่นจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่พวกเธอจะหึงหวงหรือว่าอิจฉา อีกทั้งคงไม่มีใครกล้าที่จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหนิงหลิงยู่อย่างแน่นอน!
  หนิงหลิงยู่เงียบไปและไม่พูดอะไรอีกแต่หลิงหยุนยังคงกังวล จึงถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
  “หลิงยู่..เธอไม่เป็นอะไรจริงๆใช่มั๊ย อย่าทำให้พี่ใหญ่ตกใจสิ!”
  ในแววตาของหลิงหยุนนั้นบ่งบอกว่าไม่ว่าจะเป็นของขวัญอะไรที่ได้รับในคืนนี้ หรือแม้แต่ชัยชนะ ก็ไม่มีอะไรที่จะเทียบกับหนิงหลิงยู่ได้!
  ใบหน้างดงามของหนิงหลิงยู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว “พี่ใหญ่ตะ.. ฉันไม่เป็นอะไร ฉันแค่คิดถึงแม่!”
  เมื่อได้ยินชื่อของฉินจิวยื่อจิตใจของหลิงหยุนก็สั่นไหวขึ้นมาทันที ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งไป และรีบยื่นมืออกมาโอบไหล่ของหนิงหลิงยู่ไว้อีกครั้งพร้อมกับบอกไปว่า
  “อ่อ..ที่แท้หลิงยู่ของพี่ก็คิดถึงแม่นี่เอง! วางใจได้.. รอให้พี่ใหญ่เสร็จภารกิจพวกนี้ก่อน หากยังคงไม่ได้ข่าวคราวของแม่ พี่จะพาเธอไปรับแม่ที่เขาเทียนซันด้วยตัวเอง!”
  ตั้งแต่ที่ฉินจิวยื่อเดินทางไปยังสำนักกระบี่เทวะที่เขาเทียนซันนั้นจนป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย การที่หนิงหลิงยู่จะคิดถึงแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร!
  “หลิงยู่..พี่เข้าใจความรู้สึกของเธอดี พี่เองก็คิดถึงแม่เหมือนกัน! แต่ในเมื่อน้าหญิงไม่เคยพูดถึงแม่เลย พี่คิดว่าแม่ก็คงจะไม่เป็นอะไร เธออย่ากังวลใจไปเลยนะ!”
  หลิงหยุนรีบปลอบปะโลมหนิงหลิงยู่ที่มีสีหน้าหม่นหมอง..
  เมื่อพูดถึงฉินตงเฉี่วย..หลิงหยุนก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าป่านนี้นางยังไม่ขึ้นมาชั้นห้าเลย จึงเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดู!
  ฉินตงเฉี่วยยังคงอยู่ที่ชั้นสี่เธอกำลังยืนเอามือไขว้หลังจ้องมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่างเงียบๆ
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่แอบคิดในใจว่า‘ดูเหมือนน้าหญิงจะมีเรื่องกังวลใจ!’
  แต่แล้วหลิงหยุนก็ได้ยินเสียงแจ้วๆขึ้นที่ข้างหู..
  –แอบมองอะไรเจ้าเด็กดื้อเจ้าจัดการธุระเสร็จแล้วก็รีบมาพบข้า ข้ามีบางอย่างต้องบอกกับเจ้า!-
  เวลานี้ฉินตงเฉี่วยเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5แล้ว แม้ว่าจะไม่มีจิตหยั่งรู้เหมือนหลิงหยุน และเธอก็ไม่รู้ว่าหลิงหยุนมีสิ่งนี้! หลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึงว่าฉินตงเฉี่วยจะจับได้ว่าเขากำลังแอบดูนางอยู่
  และสำหรับยอดฝีมือที่จะรับรู้อะไรเช่นนี้ได้นั้นอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในด่านกลางของขั้นเซียงเทียน!
  แต่นั่นเป็นเพราะหลิงหยุนเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังซ่อนเร้นไม่เช่นนั้นแม้แต่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ก็อย่าหวังที่จะจับได้!
  หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“ข้าทราบ.. คงอีกราวหนึ่งชั่วโมง!”
  ตั้งแต่หลิงหยุนกลับมาจากปักกิ่งเขายังไม่มีโอกาสคุยกับฉินตงเฉี่วยตามลำพังเลย และเขาเองก็มีเรื่องราวมากมายที่ต้องการคุยกับนาง!
  หลิงหยุนถอนจิตหยั่งรู้ออกมาและมองหนิงหลิงยู่ด้วยแววตาอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับแขกด้านล่าง
  “ขอบคุณแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผมในคืนนี้ ขอเชิญทุกท่านรับประทานอาหารกันให้อร่อยนะครับ!”
  “เอาล่ะ..ลงไปกันได้แล้ว!”
  หลิงหยุนร้องบอกทุกคนพร้อมกับโอบไหล่ของหนิงหลิงยู่เดินลงจากเวทีไป..
บทที่ 864 : ความผิดพลาดครั้งใหญ่!
  ภายในห้องชั้นบนสุดของโรงแรมไคเฉวียน..
  สัญญาโอนทรัพย์สินทั้งหมดได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วและเวลานี้กำลังวางอยู่บนโต๊ะทำงานไม้รอการเซ็นเท่านั้น..
  กู่เหลียนเฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกราวกับมีเข็มแหลมทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลาลำคอของเขาตั้งตรงและนั่งนิ่งราวกับท่อนไม้ที่ตายแล้ว ไหล่ที่ตกนั้นสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง แววตาหม่นหมองและเศร้าสร้อยนั้น จ้องมองไปยังโต๊ะไม้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย..
  ข้อความในสัญญาฉบับนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนเช่นเอกสารประมูลงานแต่มันคือกระดาษขนาด A4 ราวสองสามแผ่นที่เพิ่งถูกสั่งพิมพ์ออกมาทางเครื่องปริ๊นเตอร์หมาดๆ
  กู่เหลียนเฉิงแทบไม่ต้องอ่านก็รู้ดีว่านี่คือสัญญาโอนทรัพย์สินทั้งหมดของตนเอง ซึ่งมีตั้งแต่ที่ดินที่มีว่างเปล่า และที่ดินที่พัฒนาแล้ว บริษัท โรงแรม เงินในบัญชี และการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ
  ทั้งหมดนี้รวมกันมีมูลค่าร่วมสามพันห้าร้อยล้านหยวน!
  แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะมีแต่ทรัพย์สินแต่ในทรัพย์สินเหล่านั้นก็ยังมีหนี้ต่างๆจากการลงทุนติดมาด้วย และเมื่อหักหนี้สินกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ก็จะมีส่วนต่างเหลือเพียงแค่หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวนเท่านั้น!
  ปากกาสำหรับเซ็นชื่อและแป้นหมึกสีแดงวางอยู่ทางขวามือของกู่เหลียนเฉิง และตราบใดที่เขายกมือขวาขึ้นจับปากกาเซ็น.. สัญญาฉบับนี้ก็จะมีผลทันที!
  ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาซึ่งมีมูลค่าร่วมสามพันห้าร้อยล้านหรือหนึ่งพันห้าร้อยล้านหลังหักหนี้สินแล้ว ก็จะตกเป็นของหลิงหยุนทันที!
  แต่จู่ๆก็มีบุหรี่ยื่นมาจากด้านหลังของกู่เหลียนเฉิง และกำลังรอให้เขาหยิบมันขึ้นมาสูบ..
  กู่เหลียนเฉิงละสายตาจากสัญญาณฉบับนั้นและเหลือบมองบุหรี่ก่อนจะค่อยๆ รับมันมาอย่างช้าๆ
  จากนั้นเสียเจิ้นติงจึงค่อยโน้มตัวลงจุดไฟแช็คให้กับกู่เหลียนเฉิงและตั้งแต่ร่วมงานกันมานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เสียเจิ้นติงจุดบุหรี่ให้กับเขา!
  “ขอบคุณ!”
  กู่เหลียนเฉิงยกบุหรี่ในมือขึ้นอัดเข้าปอดอย่างแรงและเอ่ยขอบคุณเสียเจิ้นติงด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ลำคอที่แห้งผากนั้นทำให้กู่เหลียนเฉิงถึงกับสำลักควันบุหรี่ และไอออกมาอย่างรุนแรง
  “นี่..คุณจะเซ็นสัญญานี่จริงๆน่ะเหรอ!”
  อย่าว่าแต่กู่เหลียนเฉิงซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดเลยแม้แต่เสียเจิ้นติงที่ยืนมองอยู่ ยังรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน!
  กู่เหลียนเฉิงยกมือที่สั่นเทิ้มขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเพราะสำลักควันบุหรี่แล้วพูดกับเสียเจิ้นติงแทนการตอบคำถาม..
  “ผ่านมากว่าสามเดือน..ผมเองก็ไม่เคยเข้าใจอะไรแจ่มแจ้งเลยจนกระทั่งคืนนี้.. ใครก็ตามที่ริอาจมีเรื่องกับหลิงหยุนแล้วล่ะก็ จุดจบของคนผู้นั้นก็คงไม่พ้นความตาย!”
  “แต่น่าเสียดายที่กว่าผมจะเข้าใจความจริงข้อนี้มันก็สายเกินไปแล้ว!”
  “และการที่หลิงหยุนยอมให้ฉันใช้ทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อก็นับว่าเขาปราณีมากแล้ว!”
  ใบหน้าหล่อเหลาของเสียเจิ้นติงเปลี่ยนไปทันทีดูเหมือนเสียเจิ้นติงจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของกู่เหลียนเฉิง แต่สีหน้าก็บ่งบอกว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบไปว่า
  “แต่นี่มันมากเกินไป..หลิงหยุนไม่แม้แต่จะรับปากว่าจะปล่อยลูกๆของเราไป!”
  ร่างที่หมดเรี่ยวหมดแรงราวกับลูกบอลที่ค่อยๆแฟบของกู่เหลียนเฉิงนั้นเอนลงพิงบนพนักเก้าอี้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพดาน แล้วพึมพำออกมาว่า..
  “คุณเสีย..คุณผิดแล้ว!”
  เสียเจิ้นติงถามกลับด้วยความงุนงง“ผิดงั้นเหรอ”
  เสียเจิ้นติงถึงกับตกใจพร้อมกับย้ำว่า“แต่หลิงหยุนไม่ได้รับปากอะไรเลยนี่!”
  กู่เหลียนเฉิงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้และค่อยๆยกบุหรี่ในมือขวาขึ้นสูบ แล้วตอบไปว่า “คุณเสีย.. คุณลองคิดดูว่าหากหลิงหยุนต้องการเอาชีวิตของพวกเขาจริง คุณคิดว่าชีวิตน้อยๆของลูกชายเราสองคนจะรอดงั้นเหรอ”
  เสียเจิ้นติงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร..
  กู่เหลียนเฉิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “การที่ถังเมิ่งสามารถผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะอายุน้อยเพียงแค่นี้! ก็เพราะเขาเลือกข้างถูก..!”
  “อีกอย่าง..นิสัยของถังเมิ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาเพียงแค่ต้องการล้างแค้นลูกๆของเราเท่านั้น”
  “ใช่ว่าผมจะคิดบวก..แต่ผมก็มั่นใจว่าถังเมิ่งจะไม่ฆ่าเจ้าฟะอย่าแน่นอน! เขาเพียงแค่ต้องการหักแขนหักขามันเพื่อเป็นการแก้แค้นคืนเท่านั้น!”
  “อีกอย่าง..ถังเทียนห่าวเองก็คงไม่ยอมให้ลูกของเขาทำแบบนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่รอมาจนถึงวันนี้แล้วค่อยล้างแค้นหรอก!”
  “การฆ่าไม่ใช่หนทางเดียว..อีกอย่างฉันเองก็ยอมรับผิดกับหลิงหยุนไปแล้ว มานึกเสียดายเงินสามพันกว่าล้านหยวนจะมีประโยชน์อะไร!”
  หลังจากที่หายหวาดกลัว..กู่เหลียนเฉิงก็ได้มานั่งวิเคราะห์ให้เสียเจิ้นติงฟังทีละข้อ จนเขาเองก็เริ่มจะเข้าใจได้ในทันที..
  “อีกอย่าง..การแพทย์สมัยนี้ก็ก้าวหน้ามาก การรักษาแขนขาหักอาจจะต้องใช้เวลานาน แต่ก็สามารถกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้..”
  เสียเจิ้นติงนิ่งอึ้งไปและแม้แต่บุหรี่กำลังไหม้นิ้วตนเองอยู่เขาก็ยังไม่รู้ตัว “คุณมั่นใจว่าหลิงหยุนจะปล่อยพวกเขาไปอย่างงั้นเหรอ!”
  กู่เหลียนเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แน่นอน!”
  “ถึงแม้หลิงหยุนจะดูเป็นคนยะโสโอหังเอาแต่ใจ ไร้ความปราณี แต่ในความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ไตร่ตรองรอบคอบก่อนที่จะลงมือทำอะไร เพียงแต่เหตุผลนั้นเป็นเหตุผลของเขาเอง!”
  “คุณเสีย..คุณควรจะยอมรับก่อนว่า ที่ผ่านมาสามปีนั้น ลูกๆของเราก็เคยข่มเหงรังแกหลิงหยุนมาโดยตลอด และความทุกข์ของพวกเขาก็เทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่หลิงหยุนพบเจอมาตลอดสามปี!”
  “หลังจากที่หลิงหยุนเพียงแค่สั่งสอนพวกเขาเล็กๆน้อยๆในครั้งแรกแทนที่พวกเขาจะสำนึก แต่ด้วยนิสัยยะโสโอหัง กลับทำให้พวกเขาเริ่มทำผิดกับหลิงหยุนมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็นำพาให้เกิดเหตุการณ์เช่นในวันนี้จนได้!”
  “ถ้าพวกเขามีวิสัยทัศน์ได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของถังเมิ่ง..ก็คงจะไม่ก้าวผิดพลาดถึงขนาดนี้!”
  พูดจบ..กู่เหลียนเฉิงที่ดูหมดเรี่ยวหมดแรงก็โยนก้นบุหรี่ลงพื้นพร้อมกับใช้เท้าขยี้..
  กู่เหลี่ยนเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปเขาโน้มตัวลงหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อในสัญญาโอนทรัพย์สิน และจัดการพิมพ์ลายนิ้วมือของตนเองลงไปบนสัญญา
  “เฮ้อ..”
  หลังจากนั้น..กู่เหลียนเฉิงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และหันกลับไปยิ้มให้กับเสียเจิ้นติง
  “ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างกู่เหลียนเฉิงที่ดิ้นรนอย่างหนักมาตลอดยี่สิบกว่าปีแต่ก้าวพลาดเพียงแค่ก้าวเดียว ทุกอย่างก็จบสิ้นในพริบตา!”
  กู่เหลียนเฉิงหันหลังกลับไปพร้อมกับหยิบสัญญาบนโต๊ะที่เซ็นแล้วขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “แต่จบแบบนี้ก็ยังดี..”
  เสียเจิ้นติงร้องตะโกนออกไปว่า“คุณกู่.. เมื่อคืนเจิ้นเหยินโทรหาผมแล้ว เขาบอกว่า..”
  กู่เหลียนเฉิงรีบถามขึ้นมาอย่างกังวลใจ“คุณกำลังจะบอกอะไรผมกันแน่”
  สีหน้าของเสียเจิ้นติงเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ “เจิ้นเหยินบอกว่า.. ตัวเขา ลูกชายของคุณ แล้วก็หลู่เจิ้งเทียน สามารถหาวิธีที่จะจัดการกับหลิงหยุนได้แล้ว และพวกเขาก็กำลังจะกลับมาจัดการกับหลิงหยุน!”
  “ห๊ะ!”
  กู่เหลียนเฉิงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและสัญญาในมือก็ร่วงหล่นลงพื้นทันที!
  “แย่แล้ว!รีบโทรหาพวกเขาเร็วเข้า พวกเขากำลังรนหาที่ตาย!”
  หลังจากหายตกใจกู่เหลียนเฉิงก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกทันที
  “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้..”และตามมาด้วยเสียงสัญญาณของสายไม่ว่าง
  “จบกัน..”
  กู่เหลียนเฉิงถึงอ่อนแรงโทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงไปที่พื้นทันที และค่อยๆทรุดลงบนพื้นแล้วพึมพำออกมาว่า
  “คุณเสีย..นี่คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง ทำไมถึงไม่ห้ามพวกเขาไว้?”
  เสียเจิ้นติงสูดลมหายใจลึกก่อนจะตอบไปว่า“เอ่อ.. คือตอนนั้นผมเองก็คิดว่าหลี่จิ่วเจียงจะสามารถจัดการกับหลิงหยุนได้ แล้วเจิ้นเหยินก็โทรเข้ามาพอดี เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าครั้งนี้หลิงหยุนไม่มีทางรอดแน่..”
  กู่เหลียนเฉิงพึมพำออกมาเบาๆ“คำพูดแบบนี้.. เจ้าฟะก็พูดกับผมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว! แล้วผลเป็นยังไงล่ะ”
  เสียเจิ้นติงถึงกับพูดไม่ออกหลังจากที่นิ่งไปครู่ใหญ่ เขาก็พึมพำออกมาอย่างสิ้นหวัง “เหลียนเฉิง.. มันสายไปแล้ว! ตอนนี้พวกเขาคงจะกลับมาถึงจิงฉูแล้ว!”
  ใบหน้าของกู่เหลียนเฉิงเศร้าสร้อย“ไม่.. รีบส่งคนไปตามหาพวกเขา ต้องหาพวกเขาให้พบก่อนที่พวกเขาจะทำอะไรโง่ๆ ไม่อย่างนั้น.. พวกเขาจะต้องตายอย่างทรมาน!”
  เมื่อคิดถึงความน่าหวาดกลัวของหลิงหยุนเสียเจิ้นติงก็เริ่มตื่นตระหนก เขาชี้นิ้วไปที่สัญญาบนพื้นพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “แล้วสัญญานั่นล่ะ”
  กู่เหลียนเฉิงยิ้นหยันก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถามเสียเจิ้นติงว่า“คุณเสีย.. คุณคิดว่าถ้าเราไม่มอบสัญญาฉบับนี้ให้กับหลิงหยุน พวกเราสองคนจะสามารถออกจากโรงแรมนี้ได้งั้นเหรอ”
  กู่เหลียนเฉิงก้มลงหยิบสัญญาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาทีละแผ่นและบอกเสียเจิ้นติงว่า “มาถึงตอนนี้แล้ว.. คงยากที่จะรักษาอะไรไว้ได้แล้วล่ะ! แล้วก็สายเกินไปที่จะมาพูดอะไรตอนนี้!”
  กู่เหลียนเฉิงเดินไปที่ประตูพร้อมกับยื่นสัญญาในมือให้อาปิงที่รออยู่ด้านนอก
  “นี่เป็นสัญญาโอนทรัพย์สินของผมกรุณาตรวจสอบดูให้เรียบร้อยด้วย!”
  อาปิงซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวทำการอ่านสัญญาฉบับนั้นอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ยิ้มให้กับกู่เหลียนเฉิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “คุณกู่คงสบายใจแล้วสินะ!”
  อาปิงไม่จำเป็นต้องพูดขอบคุณกู่เหลียนเฉิงไม่จำเป็นเลย..
  กู่เหลียนเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย“ไม่ทราบว่าผมกับคุณเสียจะออกไปจากที่นี่ได้หรือยัง”
  อาปิงโทรหาถังเมิ่งและรายงานทุกอย่างให้เขาทราบ และถังเมิ่งก็ตอบกลับมาว่า “ให้พวกเขาทั้งสองคนกลับไปได้แล้ว แต่..”
  “อย่าลืมย้ำกับพวกเขาว่าภายในเจ็ดวันต้องนำตัวลูกชายของพวกเขามาส่งให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองผลที่จะตามมา..”
  กู่เหลียนเฉิงไม่พูดอะไรอีกเขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ และทั้งคู่ก็รีบพุ่งไปที่ลิฟท์ทันที
  “น่าแปลก..ทำไมต้องรีบร้อนมากขนาดนี้!”
  อาปิงเห็นท่าทางรีบร้อนของคนทั้งคู่ก็ได้แต่นึกประหลาดใจพร้อมกับส่ายหน้าจากนั้นจึงทำหน้าตื่นเต้นดีใจพร้อมกับรำพึงรำพันออกมา
  “แม่เจ้า..สามพันห้าร้อยล้าน!”
  “เอาไปให้พี่หยุนด้วยตัวเองดีกว่า!”อาปิงเดินกอดสัญญาฉบับนั้นขึ้นลิฟท์อีกตัวไปทันที
  ภายในห้องวีไอพีในห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าของโรงแรมไคเฉวียน..
  “หลิงหยุน..นี่เช็คหนึ่งร้อยล้านที่เธอชนะเดิมพัน! ฉันไม่รอจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยหรอกนะ! ฉันขอมอบให้เธอเลย”
  ทันทีที่เข้าไปนั่งในห้องซ่งเจิ้งหยางก็รีบยื่นเช็คหนึ่งร้อยล้านให้กับหลิงหยุนทันที!