บทที่ 865 : ลาภก้อนโต!
  “ลุงซ่งครับ..ช่วงนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนเงิน คุณลุงให้เงินผมทำไมกัน”
  หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆแม้ปากจะพูดออกไปอย่างมีมารยาทเช่นนั้น แต่มือของหลิงหยุนก็รีบยื่นออกไปรับเช็ค และรีบเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทันที!
  ตั้งแต่เดิมพันไว้กับเสียเจิ้นเหยินและกู่หยุนฟะมานั้นในที่สุดก็ได้เวลาที่เขาจะได้ครอบครองเงินเดิมพันหนึ่งร้อยล้านหยวนเสียที!
  เมื่อครั้งที่มีการประกาศผลสอบเอนทรานซ์และปรากฏว่าคะแนนสอบของหลิงหยุนเป็นศูนย์นั้น กู่เหลียนเฉิงก็ได้ส่งคนไปพบซ่งเจิ้งหยางเช่นกัน ครั้งนั้นซ่งเจิ้งหยางกระวนกระวายใจอย่างมาก และรีบโทรหาหลิงหยุนทันที หลิงหยุนยังไม่ให้ซ่งเจิ้งหยางมอบเช็คหนึ่งร้อยล้านหยวนให้ เพราะในสัญญาระบุไว้ว่าต้องให้ทางมหาวิทยาลัยหยานจิงตอบรับกลับมาก่อน จึงจะถือเป็นผลแพ้ชนะได้!
  ซ่งเจิ้งหยางนั้นเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหยุนได้ดีและได้แจ้งกับคนของกู่เหลียนเฉิงด้วยเหตุผลเดียวกับที่หลิงหยุนบอกตัวเอง
  ตอนนี้..หลิงหยุนได้ยืนยันตัวตนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหยานจิงแล้ว และภายในเวลาสิบวันจึงจะได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัย หลิงหยุนนั้นรอได้ แต่เป็นซ่งเจิ้งหยางที่รอไม่ได้!
  ซ่งเจิ้งหยางเป็นคนที่เข้าใจดีว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน..หลิงหยุนเพิ่งจะกำจัดศัตรูไปได้ และเพิ่งจะยืนยันตัวตนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหยานจิง หากเขาไม่มอบเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนให้หลิงหยุนในช่วงเวลาที่น่ายินดีเช่นนี้ จะให้รอมอบตอนที่ได้รับจดหมายจากทางมหาวิทยาลัย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงสายไปแล้ว!
  ซ่งเจิ้งหยางไม่ใช่คนโง่!
  “ลุงซ่ง..ถ้าทางมหาวิทยาลัยหยานจิงไม่ส่งจดหมายตอบรับกลับมา ผมก็ไม่คืนเงินหนึ่งร้อยล้านนี้ให้นะครับ..”
  หลิงหยุนอารมณ์ดีมากในตอนนี้และตั้งใจหยอกล้อซ่งเจิ้งหยาง..
  ซ่งเจิ้งหยางเองก็หัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. ฟังนะหลิงหยุน! ถ้าทางมหาวิทยาลัยหยานจิงไม่ส่งจดหมายตอบรับมาให้เธอ ฉันนี่ล่ะจะใช้เงินหนึ่งร้อยล้านของตัวเองซื้อรถไปปิดล้อมมหาวิทยาลัยไว้เลย!”
  “โอ้โห..”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาเขารู้ว่าซ่งเจิ้งหยางนั้นสามารถทำได้อย่างที่พูด และได้แต่แอบคิดในใจว่าซ่งเจิ้งหยางก็เป็นคนเลือดร้อนไม่เบาเลยทีเดียว แล้วรีบยกนิ้วโป้งให้ซ่งเจิ้ยหยางแทนคำชม!
  ทั้งห้องอบอวลไปดวยเสียงหัวเราะแม้แต่มู่หลงเวิ่นฉีเองก็ถึงกับเอ่ยปากหยอกเย้าซ่งเจิ้งเหยาง
  “เฒ่าซ่ง..อายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ ยังจะทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มอายุยี่สิบไปได้! พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ช่างไร้สาระจริงๆ!”
  ซ่งเจิ้งหยางตอบกลับยิ้มๆ“นี่เฒ่ามู่หลง.. คุณว่าผมพูดจาไร้สาระงั้นเหรอ คิดดูสิว่าหลิงหยุนได้คะแนนสอบเป็นอันดับหนึ่งของเจียงหนาน หากมหาวิทยาลัยหยานจิงปฏิเสธ ผมเองก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน!”
  เมื่อทุกคนเห็นมู่หลงเวิ่นฉีกับซ่งเจิ้งหยางงัดข้อกันเองเช่นนี้ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ภายในห้องจึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความปิติยินดี
  ถังเมิ่งวางสายจากอาปิงแล้วเดินกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาหันไปพูดกับซ่งเจิ้งหยางเป็นคนแรก
  “ลุงซ่งครับ..เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปเยอะ ”
  “ลุงซ่งครับ..เดี๋ยวนี้การสอบเอนทรานซ์ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วนะครับ! มหาวิทยาลัยใหนก็อยากจะได้เด็กที่สอบได้คะแนนสูงสุดไปเรียนด้วยอยู่แล้ว..”
  “ความจริงแล้ว..คะแนนสอบของพี่หยุนนั้นแทบไม่ต้องไปยื่นแสดงความจำนงเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เพราะมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแทบจะยื่นข้อเสนอพร้อมเงื่อนไขพิเศษให้พี่หยุนด้วยซ้ำ เพื่อให้พี่หยุนเข้าไปเรียนที่นั่น เพราะอย่างพี่หยุนนี่นับว่าเป็นทรัพยากรบุคคลชั้นเยี่ยมของพวกเขา!”
  “อย่าว่าแต่จะเลือกเรียนได้ตามสบายเลยเผลอๆนะ อาจจะไม่ต้องจ่ายค่าหน่วยกิตด้วยซ้ำไป!”
  ครั้งนี้ซ่งเจิ้งหยางเป็นฝ่ายพึมพำกับตัวเอง“อ่อ.. เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยเป็นอย่างนี้ไปหมดแล้วเหรอ”
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆและแอบคิดว่าที่นี่ก็ไม่ต่างจากโลกบ่มเพาะที่ต่างก็พากันแย่งนักบ่มเพาะที่เข้าขั้นอัจฉริยะ..
  หลังจากที่ถังเมิ่งพูดกับซ่งเจิ้งหยางจบแล้วเขาก็หันไปพูดกับหลิงหยุน “พี่หยุน.. กู่เหลียนเฉิงได้เซ็นสัญญาโอนทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่ากว่าสามพันห้าร้อยล้านหยวนให้แล้ว ตอนนี้สัญญาอยู่ที่อาปิง ฉันว่ากู่เหลียนเฉิงต้องไม่กล้าตุกติกแน่..”
  ยิ่งพูดถังเมิ่งก็ยิ่งตื่นเต้นและเสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินกันหมด แม้กระทั่งมู่หลงเวิ่นฉี ซ่งเจิ้งหยางและคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าเลิ่กลั่ก!
  หลิงหยุนเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร“ก็ถ้ากู่เหลียนเฉิงกล้าตุกติกแม้แต่น้อย ถึงตอนนั้นเทพองค์ใหนก็ช่วยมันไม่ได้!”
  “แล้วฉันขอเตือนนายไว้ก่อนนะว่าอย่าทำอะไรเกินเลยจนกลายเป็นผลร้ายย้อนกลับมาหาตัวเอง!”
  ถังเมิ่งตอบกลับพร้อมกับยิ้มกว้าง“พี่หยุน.. ไม่ต้องห่วงน่า! ฉันก็ไม่ฆ่าพวกมันหรอก! ฉันก็ลูกศิษย์ของปู่มู่หลงกับลุงซ่งนะ ไม่เชื่อถามดูได้เลย!”
  ถังเมิ่งช่างเป็นเด็กเฉลียวฉลาด..เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหยุนดี และรีบจัดการโยนเผือกร้อนในมือให้กับมู่หลงเวิ่นฉี และซ่งเจิ้งหยางทันที
  แต่คิดไม่ถึงว่าซ่งเจิ้งหยางจะตอบกลับมาง่ายๆ“หลิงหยุน.. เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ สองสามวันนี้พวเราก็ไม่ได้มีงานที่ตลาดค้าของเก่า และว่างอยู่พอดี พวกเราสองคนจะช่วยถังเมิ่งจัดการเรื่องพวกนี้เอง หลังจากที่จัดการโอนทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะช่วยหาทีมบริหารมืออาชีพมาดูแลธุรกิจให้ด้วย”
  เดี๋ยวนี้คนร่ำรวยที่ส่วนใหญ่มักจะจ้างทีมงานมืออาชีพมาบริหารกิจการของตนเอง ส่วนพวกเขาก็มักจะอยู่เบื้องหลังเท่านั้น และคอยดูทิศทางการลงทุน ซึ่งซ่งเจิ้งหลายนั้นเข้าใจดี
  และเมื่อบริกรเริ่มนำอาหารขึ้นมาเสริฟทุกคนในห้องต่างก็พูดคุยเรื่องของหลี่จิ่วเจียง เรื่องประสบการณ์ในปักกิ่งของหลิงหยุน แล้วก็เรื่องอื่นๆอีกมากมาย
  ไม่ช้า..อาปิงก็เดินเข้ามาในห้องวีไอพี และรีบส่งมอบสัญญาฉบับนั้นให้หลิงหยุน “พี่หยุน.. นี่เป็นสัญญาโอนทรัพย์สินมูลค่าสามพันห้าร้อยล้านของกู่เหลียนเฉิง ฉันได้อ่านอย่างละเอียดแล้วไม่มีปัญหาอะไร!”
  หลิงหยุนหยิบสัญญามาและพยักหน้าที่เรียบเฉยจากนั้นก็โยนสัญญาให้กับถังเมิ่งโดยไม่อ่านแม้แต่ตัวเดียว “งานใหญ่ของนายมาแล้ว!”
  ทรัพย์สินมูลค่สามพันห้าร้อยล้านมีทั้งที่ดินที่พัฒนาแล้วและยังไม่พัฒนา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม เงินในบัญชีธนาคาร แล้วก็ธุรกิจอื่นๆอีก นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าท้ายถังเมิ่งอย่างมาก!
  หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกอะไร..แต่ถังเมิ่งนั้นรู้สึกราวกับได้ขุมสมบัติขนาดใหญ่ เขากำหนังสือสัญญาแน่น และรีบเก็บไว้กับตัว และถ้ายัดเข้าไปในท้องได้ถังเมิ่งคงจะทำไปแล้ว
  และด้วยทรัพย์สินจำนวนสามพันห้าร้อยล้านนี้แน่นอนว่าบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของถังเมิ่งก็จะสามารถก่อตั้งได้ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นดีใจได้อย่างไรเล่า
  หลังจากที่เห็นหลิงหยุนกับถังเมิ่งได้สัญญาฉบับนี้ไปแล้วมู่หลงเวิ่นฉีกับซ่งเจิ้งหยางก็ได้แต่มองตากัน และต่างก็คิดตรงกันว่า – หลิงหยุนได้เปลี่ยนไปแล้ว!
  ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของถังเมิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้งเขาจัดการรับสาย และหลังจากพูดเพียงแค่สองสามคำก็วางสายไป แล้วจึงหันไปบอกหลิงหยุนว่า
  “พี่หยุน..รถตำรวจที่ไปรับแม่ของฉีเสี่ยวชิงมาถึงโรงแรมแล้ว!”
  หลังจากที่ได้ฟัง..หลิงหยุนก็รีบลุกขึ้นยืน เขายิ้มและเอ่ยขอโทษทุกคน “อาวุโสทุกท่าน ผมมีธุระต้องไปจัดการ เชิญทุกท่านดื่มกินกันก่อนเลย ไม่ต้องรอผม!”
  มู่หลงเวิ่นฉีหัวเราะและตอบไปว่า“เธอไปจัดการธุระของเธอเถอะหลิงหยุน พวกเราลงจะมือกันก่อน ไม่รอเธอแล้ว!”
  “อาปิง..นายอยู่ที่นี่คอยรินเหล้าให้กับอาวุโสทุกท่านด้วย!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็พาถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋เดินตามออกไปซ่งเจิ้งหยางได้แต่พึมพำออกมา “เฮ้อ.. เดี๋ยวนี้หลิงหยุนยุ่งมากจริงๆ ตอนนี้แม้จะกินข้าวกับเขาสักมื้อก็ยังไม่มีเวลา..”
  มู่หลงเวิ่นฉีหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ เฟยจื่อเองก็บอกผมว่าหากไม่ใช่เพราะเรื่องผลสอบเอนทรานซ์ หลิงหยุนก็คงจะยังไม่กลับจิงฉู อย่าน้อยใจไปเลย!”
  ซ่งเจิ้ยหยางจ้องมองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะไปหมดพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แต่ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญเขาเลย..”
  มู่หลงเวิ่นฉีส่ายหน้ายิ้มๆ“มันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรนี่! พรุ่งนี้ค่อยให้ก็ยังไม่ช้าเกินไป!”
  เซียนพนันหยกรีบพูดเสิรมว่า“เอาล่ะ.. ตอนนี้ก็เหลือแต่คนแก่ๆอย่างพวกเราแล้ว มา.. ดื่มๆๆ”
  อาปิงรีบลุกขึ้นรินเหล้าให้บรรดาอาวุโสทันที..
  …..
  ถังเมิ่งได้สั่งให้พนักงเปิดห้องที่ดีที่สุดให้สองคนแม่ลูกแล้ว..
  หลังจากเดินลงมาจากเวทีแล้วบรรดาสาวงามของหลิงหยุนก็ได้ไปนั่งรวมกันอยู่ในห้องวีไอพีอีกห้องหนึ่ง รวมทั้งมู่หลงเฟยจื่อกับกงเสี่ยวลู่ด้วย ภายในห้องจึงมีแต่หญิงสาวที่ล้วนงดงามดั่งเทพธิดา..
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนกลับเดินผ่านไปเฉยๆ
  “พี่หยุน..พี่ไม่เข้าไปเรียกฉีเสี่ยวชิงให้ไปด้วยกันเหรอ”
  “ไม่ดีกว่า..ให้เธอกินอย่างมีความสุขจะดีกว่า การได้พบแม่จะทำให้เธอรู้สึกเสียใจ พวกเราจัดการดูแลแม่ของเธอก่อน รอให้ฉีเสี่ยวชิงกินอิ่มเสียก่อน แล้วค่อยให้ทั้งคู่ได้พบหน้ากัน!”
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูและพบว่าหญิงสาวทุกคนในห้องเริ่มรับประทานอาหารกันแล้ว เขาจึงไม่อยากรบกวน และพาถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ไปด้วยตัวเองทันที
บทที่ 866 : รักษาอาการป่วย!
  หลิงหยุนถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋ ทั้งสามเดินขึ้นลิฟท์ลงไปที่ชั้นล่างของโรงแรม และทันทีที่ก้าวเข้าไปในลิฟท์ หลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูทันที
  และด้วยพลังของจิตหยั่งรู้ในขั้นปรับร่างกาย-9ของหลิงหยุนนั้น ก็ทำให้เขาสามารถมองเห็นชั้นล่างของโรงแรมไคเฉวียนทั้งชั้นได้อย่างชัดเจน
  ที่ล็อบบี้ชั้นล่างของโรงแรมไคเฉวียนนั้นตกแต่งด้วยหินอ่อนและวัสดุสีทองจึงให้ความรู้สึกโอ่อ่าหรูหราแก่ผู้พบเห็น แต่เพราะเวลานี้พนักงานหลายคนต่างก็ขึ้นไปช่วยดูแลแขกที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นห้า พนักงานที่ล็อบบี้จึงมีอยู่ค่อนข้างบางตา
  รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจอดอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมและเวลานี้ตำรวจนอกเครื่องแบบสองนายก็กำลังพาหญิงสาววัยกลางคนที่ดูพื้นๆไม่โดดเด่นอะไร มายืนรออยู่ที่โซฟาภายในโรงแรม และทั้งคู่ก็ได้บอกให้หญิงวัยกลางคนนั่งลงพักผ่อนที่โซฟาเสียก่อน..
  ทั้งผมและช่วงบ่าของตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายนั้นเปียกเป็นวงกว้างเห็นได้ชัดว่าเพิ่งเข้ามาจากด้านนอก และแทบไม่ต้องสงสัยว่าหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็คือแม่ของฉีเสี่ยวชิงนั่นเอง
  หลังจากที่ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูแล้วหลิงหยุนก็ถึงกับถอนหายใจ และรีบถอนจิตหยั่งรู้ออกมา แล้วร้องสั่งถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ทันที
  “เร่งฝีเท้าหน่อย!”
  ทั้งสามคนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกและหลิงหยุนก็รีบเดินตรงดิ่งไปทางตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายทันที
  ถังเมิ่งนั้นดูเหมือนจะรู้จักตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายดีจึงรีบเดินเข้าไปทักทาย “ลุงหลี่.. ลุงโจว..”
  เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายก็สังเกตเห็นคนทั้งสามที่เดินเข้ามาหาเช่นกันและรีบทักทายถังเมิ่งกลับ
  ถังเมิ่งเป็นคนโทรหากังหลิวหย่งเรื่องแม่ของฉีเสี่ยวชิงและกังหลิวหย่งก็ไม่รอช้า เขารีบจัดการตามคำบอกของถังเมิ่ง และส่งผู้ช่วยทั้งสองคนที่ถังเมิ่งรู้จักเป็นอย่างดีให้เป็นผู้ไปจัดการ
  “ลุงหลี่..ลุงโจว.. ผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนลุงทั้งสองกลางดึกแบบนี้!”
  ถังเมิ่งเป็นฝ่ายทักทายและเอ่ยขอโทษตำรวจทั้งสองนายก่อน..
  ลุงหลี่ที่รูปร่างสูงใหญ่กว่านั้นตอบถังเมิ่งกลับไปอย่างสุภาพพร้อมกับยกมือขึ้นโบกปฏิเสธ “ไม่เห็นจะต้องพิธีรีตองอะไรแบบนี้เลย เราสองคนรู้จักกันมานาน จะต้องมีมารยาทอะไรกันอีก”
  ถังเมิ่งฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึหึพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะยิ้มๆ
  ส่วนตำรวจอีกหนึ่งนายนั้นแซ่โจว..เขารีบยกมือขึ้นชี้ไปทางหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ และรีบแนะนำให้ทั้งสามคนรู้จักทันที
  “นี่คือคุณฉียวี่เจินเธอคือแม่ของฉีเสี่ยวชิง!”
  ฉียวี่เจินนั้นอยู่ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาๆและเพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเธอเป็นคนฐานะยากจน ร่างกายท่อนบนกับผมของเธอก็เปียกฝนเช่นเดียวกัน และเวลานี้ร่างกายที่เปียกปอนด้วยเม็ดฝนนั้นก็อ่อนแออย่างมากด้วย ใบหน้าที่มีสีหน้าเศร้าโศกอยู่ตลอดเวลานั้นอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาที่แดงก่ำและบวมช้ำนั้นก็บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาเป็นเวลานาน..
  หญิงวัยกลางคนผู้นี้มีอายุราวสี่สิบปีเท่านั้นแต่ใบหน้าของเธอกลับดูราวกับคนอายุห้าสิบ ผมของเธอก็ขาวจนเกือบหมด และร่างกายก็ซูบผอมบอบบางจนดูราวกับว่าลมที่พัดอยู่ด้านนอกในเวลานี้ ก็คงจะสามารถพัดร่างของเธอให้ปลิวไปได้อย่างง่ายดาย
  แม้ว่าใบหน้าของเธอจะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นอยู่เต็มไปหมดและผิวก็ค่อนข้างหยาบกร้าน แต่จากรูปหน้าของเธอเวลานี้ ก็พอจะมองออกว่าตอนที่ยังสาวนั้น เธอคงจะเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากเลยทีเดียว
  หลังจากที่นายตำรวจแซ่โจวได้แนะนำฉียวี่เจินให้ทั้งสามคนรู้จักแล้วเขาก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
  “เจ้าหลี่เทียนนี่มันเลวมากจริงๆถึงกับกล้าจับคนไปขังไว้ที่โรงจอดรถถึงสองวันสองคืน!”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธแต่ต่อหน้าฉียวี่เจินนั้น เขาไม่ต้องการแสดงความเกรี้ยวกราดออกมามากนัก จึงรีบตรงเข้าไปทักทายฉียวี่เจินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “สวัสดีครับท่านป้า..ผมชื่อหลิงหยุนเป็นเพื่อนกับฉีเสี่ยวชิง ตอนนี้เธอปลอดภัยดี ท่านป้าไม่ต้องกังวลใจไป!”
  หลิงหยุนสังเกตเห็นแววตาโศกเศร้าที่ปะปนกับความหวาดกลัวนั้นกำลังจ้องมองมาที่ตนเองด้วยความหวาดระแวง ในขณะเดียวกันก็อยู่ในอาการงุนงงและตกตะลึง
  ดูเหมือนว่าใบหน้าหล่อเหลาและลักยิ้มมหาเสน่ห์ของหลิงหยุนคงจะทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีสายตาที่ตกตะลึงของฉียวี่เจินนั้นมองหลิงหยุนด้วยความดีใจ และรีบระล่ำระลั่กพูดออกมา
  “ขอบคุณ!ขอบคุณมาก! แล้ว.. เสี่ยวชิงลูกสาวของฉันล่ะคะ”
  ฉียวี่เจินถูกจับตัวไปขังไว้ถึงสองวันสองคืนเธอจึงรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวของตนเองอย่างมาก..
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม“ท่านป้า.. ฉีเสี่ยวชิงไม่เป็นอะไรครับ เธอปลอดภัยดี และตอนนี้ก็กำลังกินข้าวอยู่ข้างบน อีกไม่กี่นาทีท่านป้ากับเสี่ยวชิงก็จะได้พบหน้ากันแล้ว!”
  “ส่วนลูกสาวคนสุดท้องของท่านป้าก็ปลอดภัยเช่นกันหลังจากที่ส่งท่านป้ากับเสี่ยวชิงขึ้นไปข้างบน ผมก็จะไปรับเธอมาที่นี่ ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง!”
  จากสภาพของฉียวี่เจินในเวลานี้หลิงหยุนประเมินว่าคงจะไม่สามารถทนต่อสภาพกดดันหรือบีบคั้นทางใจได้ เขาจึงตัดสินใจไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเธอฟังในตอนนี้..
  “ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่าครับ..ผมจะช่วยพยุงท่านป้าขึ้นไปเอง!”
  หลิงหยุนเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าช่วยและจุดประสงค์ของหลิงหยุนนั้นก็ไม่ใช่แค่ช่วยพยุงฉียวี่เจิน แต่เขาต้องการใช้โอกาสนี้ทำการรักษาความเหนื่อยล้า และอาการเจ็บป่วยเรื้อรังให้กับเธอด้วยนั่นเอง
  “เอ่อ..”
  ฉียวี่เจินลังเลและไม่มั่นใจ เธอจึงรีบหันไปมองตำรวจทั้งสองนายเพื่อขอความเห็นทันที
  นายตำรวจแซ่หลี่ยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า“คุณสบายใจได้! เพราะคนที่จัดการกับเจ้าคนชั่วหลี่เทียน และช่วยครอบครัวของคุณไว้ก็คือเขา – หลิงหยุน!”
  “ห๊ะ!”
  ฉียวี่เจินถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยเธอมองหลิงหยุนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาที่บวมและแดงก่ำนั้นเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจพร้อมกับร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ..
  “ขอบคุณ!ขอบคุณมาก! ในที่สุดฉันก็จะได้กลับบ้านแล้ว..”
  ฉียวี่เจินพยายามจะก้าวเท้าไปข้างหน้าแต่ขาข้างซ้ายของเธอนั้นก็สั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดระหว่างที่กำลังขยับ ทำให้ร่างของเธอกำลังจะล้มลงคว่ำหน้า
  ในเวลานั้นทุกคนต่างก็มัวแต่ตกใจมีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่พุ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างของฉียวี่เจินไว้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอไม่ล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้น
  ฉียวี่เจินนั้นป่วยเป็นโรคไขข้อขั้นรุนแรงเมื่อใดก็ตามที่อาการกำเริบขึ้นมา ก็จะสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับเธอเป็นอย่างมาก และจากการที่ยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานานนั้น ทำให้ข้อต่อหัวเข่าของเธอแข็ง และเจ็บปวด อีกทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างยากลำบากด้วย..
  “ให้ผมพยุงเดินไปจะดีกว่าครับ!”
  หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับถังเมิ่งจากนั้นจึงช่วยพยุงแขนข้างซ้ายของฉียวี่เจินไว้..
  “คืนนี้ลุงหลี่กับลุงโจวยังมีงานที่ใหนต่อมั๊ยครับถ้าไม่มี.. ขอเชิญขึ้นไปดื่มกินที่ห้องจัดเลี้ยงด้านบนก่อน!”
  ถังเมิ่งนั้นเข้าใจความหมายในการขยิบตาของหลิงหยุนดีเขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขวนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายให้ขึ้นไปดื่มกินด้วยกัน
  “ไม่ล่ะ..ผู้อำนวยการถังเพิ่งจะตกปลาใหญ่ได้ คืนนี้พวกเรายังมีงานต้องทำอีกมาก ไม่มีเวลาอยู่สังสรรด้วยจริงๆ พวกเราขอตัวกลับก่อนนะ!”
  หลังจากปฏิเสธคำเชิญของถังเมิ่งแล้ว..เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายก็หันหลังเดินกลับออกไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
  ถังเมิ่งรู้ดีว่าคืนนี้ที่สำนักงานรักษาความมั่นคงน่าจะต้องทำงานวุ่นกันตลอดทั้งคืนเขาจึงไม่รั้งทั้งสองคนไว้ และเพียงแค่ตามออกไปส่งที่หน้าประตูโรงแรมเท่านั้นเอง..
  ฉียวี่เจินถูกขังไว้ในโรงรถที่มีอากาศเย็นถึงสองวันสองคืนและยังโดนฝนจนร่างกายเปียกชื้นอีก เวลานี้ริมฝีปากของเธอจึงเริ่มมีสีม่วงคล้ำเพราะความหนาว
  หลิงหยุนสังเกตเห็นอาการที่แสดงออกมาทางร่างกายของฉียวี่เจินเช่นนั้นก็ไม่สามารถรีรอได้อีก และรีบทำการรักษาให้กับเธอทันที..
  หลิงหยุนได้จัดการเดินลมปราณที่จุดตันเถียนของตนเองและถ่ายเทพลังหยางบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายของฉียวี่เจิน เพื่อให้ร่างกายของเธออบอุ่นขึ้น
  “เอ๊ะ!”
  ฉียวี่เจินนั้นสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของร่างกายตนเองเธอถึงกับสั่นและร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
  “ท่านป้าครับ..ไม่ต้องตกใจกลัว! ผมแค่กำลังรักษาอาการป่วยให้กับท่านป้าอยู่ อีกไม่นานท่านป้าก็จะรู้สึกดีขึ้น..”
  หลิงหยุนอธิบายให้ฉียวี่เจินฟังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม..
  หลังจากที่ถ่ายเทพลังหยางบริสุทธิ์ให้กับฉียวี่เจินจนเธอรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกายแล้วหลิงหยุนก็จัดการถ่ายเทพลังหยางไปที่เสื้อผ้าของเธอเป็นลำดับต่อไป และเพียงไม่นานเสื้อผ้าที่เปียกอยู่นั้นก็แห้งสนิท!
  ถึงแม้ว่าการทำให้เสื้อผ้าแห้งจะดูเป็นเรื่องง่ายแต่ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก!
  เพราะแม้แต่ไฟก็ยังไม่สามารถทำให้เสื้อผ้าที่เปียกแห้งได้ในทันที และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนร่างกายของคน..
  การที่จะทำให้เสื้อผ้าที่เปียกแห้งได้ในทันทีนั้นไม่เพียงต้องอาศัยอุณหภูมิที่สูงมาก แต่ยังต้องระมัดระวังไม่ให้พลังหยางที่ร้อนแรงนี้ไปทำร้ายร่างกายของฉียวี่เจินอีกด้วย ส่วนพลังหยางที่หลิงหยุนถ่ายเทลงไปในร่างกายของเธอนั้น ก็เป็นพลังหยางที่อ่อนโยน และช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย
  แต่สำหรับหลิงหยุนซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9นั้น การควบคุมลมปราณภายในร่างกายให้ได้ดั่งใจเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เรียกได้ว่าสามารถทำได้ตามใจสั่ง!
  “เอ่อ..”
  ฉียวี่เจินตกใจจนแทบลืมที่จะก้าวขาเดินเธอยกมือขึ้นแตะเสื้อผ้าของตนเอง และพบว่าเสื้อผ้านั้นมีไออุ่นราวกับว่ากำลังอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า“ท่านป้าครับ.. ขาของท่านป้าที่ปวดนั้น ดีขึ้นมากแล้วใช่มั๊ยครับ!”
  ระหว่างที่เดินมาและพูดคุยกันไปด้วยนั้น หลิงหยุนก็ยังคงถ่ายเทพลังหยางบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายของฉียวี่เจินอยู่เรื่อยๆ และเวลานี้พลังหยางบริสุทธิ์ก็ได้หมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างของฉียวี่เจินแล้ว
  และทั้งหมดนั้น..หลิงหยุนก็ใช้พลังหยางไปในจำนวนที่น้อยมาก!
  เมื่อทั้งคู่เดินไปถึงหน้าประตูลิฟท์หลิงหยุนก็ค่อยๆปล่อยมือของฉียวี่เจิน และให้เธอเดินนำหน้าเข้าไปในลิฟท์
  ระหว่างทางที่เดินมานั้นร่างกายของฉียวี่เจินได้รับไออุ่นจากพลังหยางบริสุทธิ์ของหลิงหยุนมาตลอด เมื่อหลิงหยุนถามขึ้นมา เธอจึงรู้สึกได้ทันทีว่าข้อต่อหัวเข่าที่ปวดมากก่อนหน้านี้ ได้หายไปอย่างหลิดทิ้ง และไม่รู้สึกปวดอีกเลย!
  “ไม่น่าเชื่อ..ดีขึ้นแล้วจริงๆ!”
  ฉียวี่เจินร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจและพบว่าเวลานี้หลิงหยุนไม่ได้พยุงร่างของตนเองไว้แล้ว แต่กำลังยืนยิ้มสดใสอยู่ด้านหลัง..
  “ท่านป้าครับ..ผมได้ทำการรักษาอาการเจ็บป่วยทางกายให้แล้ว ต่อไปท่านป้าต้องทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ และมีคุณค่าทางโภชนาการ แล้วก็ต้องดูแลร่างกายด้วย..”
  หลิงหยุนรักษาโรคไขข้อด้วยพลังหยางบริสุทธิ์และใช้เวลารักษาไม่ถึงหนึ่งนาที
  “ขอบคุณ..ขอบคุณจริงๆ..”
  ฉียวี่เจินต้องทุกข์ทรมานกับโรคไขข้อนี้มานานหลายปีโดยเฉพาะหน้าฝนกับหน้าหนาวจะยิ่งเจ็บปวดมากจนแทบยืนไม่ได้ แต่ตอนนี้อาการเหล่านั้นกลับหายไปอย่างปลิดทิ้ง เธอดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไร และได้แต่พร่ำบอกขอบคุณหลิงหยุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
  ความเจ็บปวดจากอาการไขข้ออักเสบนั้นหากใครไม่เป็นก็คงไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานมากเพียงใดเมื่ออาการกำเริบ..
  “ท่านป้าครับ..อย่าได้มีพิธีรีตองเลยครับ เมื่อครู่ผมยังไม่ได้บอกข่าวดีกับท่านป้าเลย.. เมื่อครู่ฉีเสี่ยวชิงเพิ่งจะยื่นเรื่องเข้าเรียนในคณะบริหารธุรกิจที่มหาวิยาลัยหนานจิง..”
  “อะไรนะ!จริงเหรอ?!”
  เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างผอมบอบบางของฉียวี่เจินก็ถึงกับสั่นเทิ้ม และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้อีก น้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลออกมาอาบสองแก้ม..
  สำหรับคนเป็นแม่แล้วไม่มีเวลาใหนจะยากลำบากเท่าเวลาที่ต้องอดเพื่อให้ลูกได้ไปโรงเรียน จึงไม่มีข่าวใหนจะน่ายินดีและปลื้มปิติมากไปกว่าการได้ยินว่าลูกของตนเองสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้!
  “จริงสิครับ..ฉีเสี่ยวชิงสอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับสอง ยังไงมหาวิทยาลัยหนานจิงก็ต้องรับอย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับยืนยันหนักแน่น..