บทที่ 224 ความหวาดกลัว

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 224 ความหวาดกลัว

มู่หรงเสวี่ยรับรู้ถึงความโกรธของกัปตันได้ “กัปตันคะ ฟังฉันก่อนนะคะ ถึงแม้ฉันอยากที่จะอยู่ที่นี่แล้วรวมในการวิจัยต่อ แต่ฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ด้วยเหตุผลสองสามข้อ แต่ถึงแม้ฉันจะออกไปแล้วฉันก็จะยังคงรับผิดชอบเรื่องการวิจัยทางการแพทย์ต่อนะคะ ฉันสัญญา” เธอพูดอย่างจริงจังว่าเธอนับถือหมอมังกรทุกๆคนอย่างมาก เธอรู้สึกตื้นตันมากที่ได้เห็นพวกเขาศึกษากับทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะช่วยรักษาคนและตัดสินใจที่จะทำตามพวกเขาด้วย

“งั้นมันมีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงจนเธอต้องออกจากพาวิลเลี่ยน​งั้นเหรอ?!! เธอก็รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วที่เธอมาร่วมกับเราว่าถ้าเธอลาออก เธอจะต้องถูกทีมบังคับใช้กฎหมายของพาวิลเลี่ยน​ลงโทษ…” ในที่สุดความโกรธของกัปตันก็เบาลงไปหน่อยแล้ว

มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ถึงแม้ฉันจะไม่ไป แต่อีกไม่นานดราก้อนพาวิลเลี่ยนก็คงจะมาไล่ฉันออกไปอยู่ดี…ฉันเพียงแค่อยากที่จะมาลากัปตัน กัปตันไม่จำเป็นต้องลำบากรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าหรอกนะคะ อีกอย่างนี่เป็นนามบัตรของฉัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ ฉันก็ยินดีที่จะช่วยอย่างที่สุด…” เธอหยิบนามบัตรออกมาและส่งให้กัปตัน แล้วเธอก็โค้งคำนับและเดินออกมา

แน่นอนว่าเธอยังไปกล่าวลากับหมอมังกรคนอื่นๆด้วย พวกเขาหลายคนต่างก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก ยังไงซะพวกเขาก็รู้ซึ้งถึงความสามารถของมู่หรงเสวี่ยดี

เพราะฐานอยู่ไกลขนาดนี้เธอจึงไม่สามารถที่จะหาแท็กซี่ได้

ตลอดทางเธออุตส่าห์รีบกลับมาแต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอฉากที่ทำให้ปวดใจขนาดนี้ แสงแดดที่สาดส่องของดวงอาทิตย์ให้ความอบอุ่นอย่างมากแต่เธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดและร่างกายก็หนาวเหน็บไปหมด

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและเลือนไปที่รายชื่อ ถ้าเป็นแต่ก่อนเธอก็คงจะโทรหาพี่ชูแต่เป็นเพราะเธอพึ่งเขามากจนเกินไปจนทำให้พี่ชูต้องเข้าใจผิด

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรที่เธอจะอยู่ในมหาลัย ชั่วขณะหนึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี

เธอค่อยๆเดินไปตามถนนด้วยเท้าที่เริ่มชา ในป่าสองข้างทางมีเสียงแมลงและนกร้อง ลมอุ่นพัดผ่านกระโปรงของเธอและพัดอารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายได้ไป

ที่อีกฝั่งภายในดราก้อนพาวิลเลี่ยน

“ดราก้อนมาสเตอร์ครับ คุณมู่หรงไปแล้วนะครับ…” หลงอี้รายงานเสียงเบา สายตากล้าหาญมองจ้องไปที่ใบหน้าของดราก้อนมาสเตอร์เป็นครั้งแรก

ฮวงฟูอี้พลิกหน้าเอกสารในมือในระหว่างที่กินอาหาร หลังจากนั้นเขาก็สอบเสียงเบาเพียงแค่ “อืม!”

ทันทีที่หลงอี้ไม่เห็นท่าทางที่คิดไว้ เขาก็พูดต่อไปอีก “โอ้ คุณมู่หรงน่าสงสารมากเลยนะครับ เธอไม่กินอาหารเลยแล้วหลังจากที่ลงจากเครื่อง…” หลังจากนั้นเขาก็แอบมองไปที่ดราก้อนมาสเตอร์และเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าอะไร เขาก็พูดต่อ “คุณมู่หรงไม่ได้ขับรถมาที่นี่ด้วย…”

“เดินออกไปคนเดียวแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน…”

“นี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วยและบนถนนก็ไม่มีรถเลย ถ้าไปเจอคนไม่ดีเข้า ต่อให้ร้องตะโกนก็คง…”

ฮวงฟูอี้หยิบของที่อยู่ใกล้มือแล้วโยนไปที่หลงอี้ทันที “งั้นนายยังมายืนบื้ออะไรอยู่นี่ล่ะ? ทำไมไม่ไปส่งเธอกลับล่ะ!”

“ฮ่ะ?” ทำไมเขาต้องไปส่งล่ะ? ควรจะเป็นดราก้อนมาสเตอร์ที่ไปส่งไม่ใช่เหรอ

“ฮ่ะ อะไร?!! ถ้ายังชักช้าอยู่อีก ฉันจะฆ่านายซะเลย…” ฮวงฟูอี้มองไปที่หลงอี้อย่างเยือกเย็น!

ดราก้อนมาสเตอร์บ้าไปแล้วจริงๆ!!! หลงอี้รีบวิ่งออกไปพร้อมคำด่าอยู่ในใจ!!!

มู่หรงเสวี่ยที่เดินมานานแล้วเริ่มนวดไปที่ขาที่รู้สึกปวด เธอกำลังคิดว่าจะเข้าไปในมิติลับในตอนกลางคืนแล้วค่อยรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าดีไหม

ในตอนนี้มู่หรงเห็นรถสปอร์ตที่ขับมาอย่างรวดเร็ว เธอยื่นมือออกไปเพื่อจะขอติดรถไปด้วย อย่างไรก็ตามรถสปอร์ตสีขาวดูเหมือนจะไม่ชะลอรถลงเลย รถขับผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว ฝุ่นลมที่พัดแรงทำให้ตาของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

เธอลดมือลงด้วยความผิดหวังและหมดความหวัง ตอนนี้มีข่าวมากมายที่มักจะรายงานว่ามีคนถูกทำร้ายเพราะความใจดีของพวกเขาเอง ทำให้ผู้คนเริ่มที่จะระวังตัวกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพัก รถสปอร์ตสีขาวก็ขับกลับมาอีกครั้ง เสียล้อรถเบรกที่บดไปกับถนนแล้วมาจอดอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ย

ในรถมีผู้คนคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์และหมวกซึ่งปิดบังใบหน้าไว้ มู่หรงเสวี่ยมองเห็นไม่ชัด แต่เธอก็ยังก้าวไปข้างหน้าและถามเสียงอ่อนโยน “ขอโทษนะคะ ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ? ที่นี่ฉันหารถไม่ได้เลย…”

ชายคนนั้นไม่ได้หันหัวมาแต่กลับตอบออกมาเสียงเย็นชา “ขึนรถ!”

มู่หรงเสวี่ยกลัวว่าจะต้องเจอกับพวกโรคจิตแต่เธอก็ยังกล้า

เธอเดินอ้อมไปอีกฝั่งของรถ เปิดประตูและนั่งลงไปที่นั่งข้างๆคนขับ ยังไงซะก็เป็นเธอเองที่ขอความช่วยเหลือ ก็เป็นเรื่องสุภาพแล้วที่จะนั่งข้างๆคนขับ!

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยขึ้นไปที่รถ รถก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้คุยอะไรกับมู่หรงเสวี่ย

หลังจากนั้นสักพัก รถของหลงอี้ก็ขับออกมาเช่นกัน โชคไม่ดีที่ไม่เจอมู่หรงเสวี่ยแล้ว จนกระทั่งเขาขับเข้ามาในเมืองแต่ก็ยังไม่เห็นคุณมู่หรง หลงอี้ขมวดคิ้วและกลับไปที่ฐาน

“ดราก้อนมาสเตอร์ ผมไม่เจอคุณมู่หรงเลย…” หลงอี้พูด

สายตาของฮวงฟูอี้เย็นชา “งั้นยังมายืนอยู่นี่ทำไม? ไม่รีบไปตรวจหรือไง…”

หลงอี้ไม่แม้จะพูดว่าลาออก ในฐานะลูกน้องเขาเองก็มีความรู้สึก เขาเองก็อยากที่จะบ่นอะไรบ้างเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงคุณมู่หรง แล้วทำไมยังทำกับคุณมู่หรงแบบนี้ล่ะ? เขาไม่เข้าใจดราก้อนมาสเตอร์เลยจริงๆ เขาควรที่จะต้องเป็นห่วงแหละถูกต้องแล้ว

ในรถ มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชายที่กำลังขับรถและพูดออกมาว่า “ขอบคุณนะคะที่แวะรับ…”

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ตอบเสียงเบา “อืม!” เย็นชาจริงๆ

หลังจากเวลาผ่านไปนาน จู่ๆชายหนุ่มก็หันมาและพูดว่า “เธอมองอะไร?”

ในวินาทีที่เห็นหน้าเขา มู่หรงเสวี่ยก็แทบที่จะร้องกรีดออกมา อย่างไรก็ตามเพราะได้รับการอบรมมานาน เธอจึงเพียงแค่ร้องออกไปว่า “คุณเอง นี่…เจอกันเป็นครั้งที่สองแล้ว…ฮ่าฮ่า…” เธอหัวเราะออกไปอย่างอึดอัด

หลังจากที่ชายคนนั้นมองเธออย่างเย็นชาแล้วเขาก็หันหัวกลับไปอีกครั้ง มันเย็นชาพอที่จะฆ่าคนได้เลย มู่หรงเสวี่ยตัวสั่น ในหัวใจเธอรู้สึกหนาวขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้งที่เธอเห็นชายคนนี้ เธอจะรู้สึกถึงอันตราย อีกอย่างชายหน้าเทาแปลกๆคนนี้ก็น่ากลัวจริงๆ

ความเงียบกระจายไปทั่วรถ มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะพูดอะไร ชายหนุ่มเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะถามเขาว่าเขาได้ถูกฉีดยาอะไรมาหรือเปล่า อย่างไรก็ตามเขาไม่เหมือนกับผู้ชายคนที่ถูกขังอยู่ในสถาบันวิจัยดราก้อน​พาวิลเลี่ยน​เลย เธอจำได้ว่าเธอเข้าไปข้างในและมองไปที่ชายหน้าดำอีกครั้ง ชายคนนั้นสูญเสียตัวตนไปอย่างสิ้นเชิง เขี้ยวของเขายื่นออกมาเล็กน้อย ดวงตาก็เป็นสีแดงและเขาก็เอาแต่ร้องโหยหวนในขณะที่กระแทกกับประตูเหล็กที่ถูกล็อกด้วย

อย่างไรก็ตามชายที่กำลังขับรถอยู่นี่มีสีดวงตาที่ปกติและฟันก็ปกติ อีกอย่างหน้าเขาก็เปลี่ยนสีแค่ข้างเดียวด้วย หรือว่าจะมีวิธีที่สามารถกดอาการไว้ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็ตัดสินใจแล้ว นี่มันเกี่ยวกับชีวิตของคนอีกมากมายนับไม่ถ้วน เธอกำหมัดแน่และรวบรวมความกล้า “คือ…คือ…”

ชายหนุ่มมองมาที่มู่หรงเสวี่ย สายตาของเขายังคงเย็นชา ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆเลย

“คือคุณ…” มู่หรงเสวี่ยพูดออกไปเพียงไม่กี่คำ แต่ก็กลับรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากชายที่นั่งข้างๆได้ในทันที

มู่หรงเสวี่ยตัวสั่นแต่ก็ยังดื้อรั้น “อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ ฉันมีเพื่อนที่อาการหนักกว่าคุณมาก ฉัน…ฉันอยากจะถามคุณว่ามันมีวิธีไหนที่จะระงับอาการ…”

ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหายใจแต่ก็แทบจะไม่เต็มปอด อีกฝ่ายหันสายตาอำมหิตกลับไปและเธอก็รู้สึกโล่งอกนิดหน่อย

“ไม่มีทาง!” ชายหนุ่มตอบกลับมาอย่างเย็นชา

“แต่…” แต่เห็นได้ชัดว่าเขาระงับได้นิ

“ถึงแม้จะมีทางแต่เธอก็ทำไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มพูดต่อ นี่เป็นประโยคยาวที่สุดที่เขาเคยพูดแล้ว ในอีกนัยหนึ่งก็คือมันยังมีทาง มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆอย่างประหลาดใจ “ตราบใดที่คุณยินดีที่จะบอก ไม่ว่าฉันจะทำได้หรือเปล่าแต่ฉันก็พร้อมที่จะลอง…”

ชายหนุ่มมองมาที่ดวงตาเปล่งประกายของมู่หรงเสวี่ย ดวงตาดำเข้มของเขาก็แวบประกายแสง เขายังคงไม่พูดและหันหน้ากลับมาขับรถต่อ

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังรอคำตอบของชายหนุ่ม รู้สึกอยากที่จะร้องไห้จริงๆ นี่มันหมายความว่าไงกันเนี่ย?!! แค่หันมามองเธอแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ…พูดออกมาเดี๋ยวนี้นะ!!!

ความเงียบกระจายตัวอีกครั้ง

“แล้วเรื่องวิธีล่ะคะ?” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“เงียบ!”

สิบนาทีต่อมา

“แล้วเรื่องวิธีล่ะคะ?” ครั้งนี้เสียงที่ถามดังขึ้น

“เงียบ!”

ตอนที่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจ แก้มของเขายกขึ้นและริมฝีปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยด้วย

จนกระทั่งเขาขับเข้ามาในเขตเมืองของเมืองหลวง ชายหนุ่มหยุดรถที่ริมถนนและพูดออกไปว่า “ลงไปจากรถ!”

มู่หรงเสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ กัดริมฝีปากและถามออกไปอีกครั้ง “แล้ววิธีละคะ?”

สักพักชายหนุ่มก็พูดออกมาว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือเปล่าที่จะบอกเธอว่าต้องใช้น้ำแห่งจิตวิญญาณ!! ลงไปจากรถ” น้ำเสียงที่พูดออกมาเย็นชามาก

“เดี๋ยวนะคะ!” มู่หรงกันมือของชายหนุ่มที่พยายามที่จะผลักเธอลงจากรถ “ฉันรู้จัก!”

มือของชายหนุ่มหยุด แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ยังเย็นชาและดูถูก “เธอรู้งั้นเหรอ?! โกหกไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก…” แล้วเขาก็ผลักเธอลงจากรถ

“ฉันรู้จักจริงๆ คุณรู้จักแสงออร่าไหม?” มู่หรงรีบพูดออกไป ในมิติลับของเธอเต็มไปด้วยแสงออร่า

“เธอรู้เรื่องแสงออร่าได้ยังไง?” ในตอนนี้สายตาของชายหนุ่มเปลี่ยนไป

มู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าเธอไม่พูดออกไปตรงๆแน่ “ฉันเคยเห็น…”

ชายหนุ่มจับที่ไหล่ของมุ่หรงเสวี่ยอย่างแรง “เธอไปเห็นมาจากไหน…”

“คุณบอกวิธีฉันมาก่อน…”

สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและพูดออกมาว่า “เชื่อหรือเปล่าว่าฉันจะฆ่าเธอ!”

คอของมู่หรงเสวี่ยยกขึ้น “คุณจะลองดูก็ได้…” แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว เธอมีแค่มิติลับก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

มือของชายหนุ่มบีบแรงขึ้น ราวกับว่าเขาจะบดกระดูกของมู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจ

ทั้งสองนั่งอยู่แบบนั้นสักพัก หน้าของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะชุ่มเหงื่อ เมื่อเธอเกือบที่จะหาข้ออ้าง ชายหนุ่มก็ปล่อยเธอ

แล้วเขาก็เริ่มที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชาทีละคำๆ “มีเพียงทางเดียวที่จะรักษาโรคนี้ได้ เธอจำเป็นต้องปรับแต่งเม็ดยาล้างพิษระดับสี่ ส่วนผสมคือฮัวหลิงกัว, หญ้าฟางชาน, หญ้าจิงจิง, หญ้าหลิงหลง…”

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างในขณะที่ฟัง ไม่ใช่ว่าเพราะเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูด ตรงกันข้ามเลยเธอคุ้นเคยกับมันมากว่ามันมาจากหนังสือยาเหล่านั้นในมิติลับ

หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เห็นสายตาประหลาดใจของมู่หรงเสวี่ยและประกายขำก็แวบเข้ามาในสายตาเขา “ฉันพูดไปแล้ว ที่นี้ก็ตาเธอ…”

“พูดอะไร…” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย

ทันทีที่สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา รังสีอำมหิตของเขาก็กระจายออกมาอีกครั้ง ถ้ามู่หรงเสวี่ยกล้าที่จะหลอกเขา เขาจะฆ่าเธออย่างแน่นอน

“อ่อ แสงออร่า ฉันเคยเห็นในผัก…” มู่หรงเสวี่ยตอบ

มือของชายหนุ่มจับเข้าที่คอบางของมู่หรงเสวี่ยทันทีและมือเขาก็ค่อยๆบีบแรงขึ้น

“ปล่อยนะ…” มู่หรงเสวี่ยจับไปที่มือของเขา

“เธอกล้าลองฉันงั้นเหรอ!” เขาพูด

“เปล่า ปล่อยฉันก่อน ฟังฉันก่อน…” บ้าจริง คนบ้าอะไรเนี่ย แค่ไม่เห็นด้วยนิดหน่อยก็ต้องฆ่าต้องแกงกันเลย

ชายหนุ่มค่อยๆปล่อยมือ และมู่หรงเสวี่ยก็ไอออกมาอย่างแรง
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็หยุดแต่รอยนิ้วทั้งห้าที่คอเธอก็ดูแล้วน่าตกใจอยู่เหมือนกัน ชายคนนี้อยากที่จะฆ่าเธอจริงๆ เธอรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่อยากจะฆ่าเธอ ทุกครั้งเธอจะมีความรู้สึกขนลุก “จริงๆนะ มันขายอยู่ในตลาด มันแตกต่างจากผักทั่วๆไปอยู่นิดหน่อย…”

ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยมู่หรงไปแต่ก็ไม่ได้เริ่มอีกครั้ง หลังจากที่เหล่ไปที่เธอ เขาก็พูดออกมา “งั้นพาฉันไปดูหน่อย!”