ตอนที่ 1569 เสียหน้าครั้งใหญ่ โดย Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าฉินจ้าวหยุนจะเอ่ยปากล้อเลียนเย้ยหยั่นจ้าวอี้ ทว่าเบื้องลึกภายในใจกลับรู้สึกตื่นตกใจเหลือเชื่อเช่นกัน
สิ่งแรกสุดที่เขาตกใจคือ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเย่หยวน สิ่งต่อมาคือเย่หยวนที่สามารถต่อกรกับจ้าวอี้ได้อย่างสูสีนัก ทั้งๆที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลาง
“หุบปาก! ไอ้เด็กเหลือขอนี่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ! หาใช่เรื่องง่ายจักรับมือ รีบมาช่วยได้แล้ว!”
จ้าวอี้ตะโกนโต้สวนกลับไปทันที
ฉินจ้าวหยุนและอีกคนที่มาด้วยอย่างเหวินอี้หยางต่างกายาสั่นสะท้าน พลางสบตากันเล็กน้อยส่องสะท้อนเผยความประหลาดใจยิ่งยวด
แนวคิดแห่งห้วงมิติ…สุดยอดแนวคิดในตำนาน!
เด็กคนนี้สามารถบรรลุมันได้อย่างไร?!
“ไอ้เด็กเหลือขอ! อย่าอาละวาดจองหองนัก! วันนี้เจ้าเหวี่ยงตัวเองเข้าตาข่าย มีหรือจะหลบหนีออกไปได้อีก!”
ฉินจ้าวเทียนคำรามลั่นพร้อมปลงใจเข้าร่วมศึกสัประยุทธ์เสริมทันที
ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏผ่านคู่ดวงตาของเหวินอี้หยาง แต่ท้ายที่สุดเขายังคงตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้กับเย่หยวน
คลื่นพลังแนวคิดแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน บ้านเมืองโดยรอบวินาศกลายเป็นฝุ่นผง
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเข้าประจัญบานสามคนพร้อมเพรียง ขุมพลังทำลายล้างที่ระเบิดคลั่งออกมาจักน่ากลัวปานใด?
เย่หยวนดูบอบบางเกินกว่าจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปภายใต้สามยอดเซียนผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าเขายังคงยืนหยัดได้ไม่มีล้มสุดแสนจะมั่นคงยิ่ง!
ในทางตรงข้าม ภายใต้คมดาบนี้ของเย่หยวนกลับไล่ต้อนพวกเขาทั้งสามจนเดือดดาลเข้าไปทุกที
ทั้งสองฝ่ายต่างทำอันตรายกันมิได้เลย!
เย่หยวนยังคงฝีมือแสนวิปลาสดังเดิม!
“นี่…นี่กลับไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าหยิ่งผยองปานนี้! ความแข็งแกร่งของเย่หยวนน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ!”
“แนวคิดแห่งห้วงมิติถือเป็นแนวคิดระดับสูงสุด แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย ทว่าเด็กนี่ที่เป็นเพียงบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถบรรลุได้แล้ว!”
“ช่วงเวลายี่สิบปีสั้นๆ ความแข็งแกร่งของเย่หยวนสามารถเทียบชั้นได้กับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วจริงๆ ช่างน่าทึ่งโดยแท้!”
“หากเขาไม่ถูกไล่ออกไปจากเมืองหลวงหวู่เมิงในปีนั้น ปานนี้เมืองหลวงหวูเมิงคงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองอื่นๆไปแล้ว!”
…
ร่างไสวเย่หยวนเคลื่อนผ่านไปมาระหว่างทั้งสามทับซ้อนแสนคล่องแคล่ว และไม่มีทีท่าว่าจะพลาดท่าถูกปราบปรามแม้แต่น้อย
หนิงซื่ออวี๋เฝ้ามองศึกสัประยุทธ์นี้ภายในโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน และเอ่ยอุทานด้วยความตกใจยิ่ง
“ปรากฏว่า ศาสตร์แห่งการต่อสู้ของท่านปรมาจารย์เย่เองก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง! ไม่น่าแปลกใจว่าไฉนข้าถึงไม่สามารถขัดขืนอะไรเขาได้เลยในยามนั้น! ข้าจนปัญญาเสีย จักต้องบ่มเพาะพลังฝึกปรืออีท่าไหนถึงจะได้แบบนั้น ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าข้า แต่กลับแข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว!”
เจ้าท้วมเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“เย่หยวนคนนี้มิสามารถประเมินได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่ว่าอัจฉริยะหน้าไหนล้วนถูกบดขยี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา”
หนิงซื่ออวี๋ไม่มีท่าทีกล่าวหักล้างใดๆ สำหรับวาจาประโยคนี้ของเจ้าท้วม นางเองก็ไม่มีข้อคัดค้าน
แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางยังเรียกเย่หยวนว่าปรมาจารย์เย่ ทัศนคติของท่านอาจารย์ที่มีต่อเย่หยวนคงไม่จำต้องกล่าวบรรยายใดๆอีก
ผู้ใดได้ยินตต่างหวาดกลัวไปทั่วทั้งมุมเมือง!
ในตอนนี้ร่างของเย่หยวนปราดถอยห่างออกมากะทันหัน ตีฝีมือสร้างระยะห่างออกจากทั้งสาม
ซึ่งเย่หยวนก็สามารถตีฝ่าออกมาได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอันใด
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าทั้งสามกลับไม่สามารถจับตัวเย่หยวนได้ทันแม้นสักคน
ยามนี้พวกเขาทั้งสามต่างจับจ้องเย่หยวนเผยแววครั้นคร้ามอย่างหาที่เปรียบไม่
“ข้าผู้นี้ขี้เกียจเล่นกับพวกเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม…ชีวิตของฉินจ้าวหยุน วันนี้ข้าขอรับไป!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นไม่แยแสอันใด ราวกับบทสนทนาทั่วไปประจำวัน
แต่ทันทีทันใด กลิ่นอายราชาเหนือสรรพชีวิตพลันครอบคลุมทั่วแผ่นฟ้าในบัดดล ปรากฏร่างของฉินเซียวยืนค้างกลางห้วงแห่งความว่างเปล่า
เขาปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมท่าทีลำพอง
ฉินจ้าวหยุนที่เห็นว่าฉินเซียวปรากฏตัวขึ้นมา จากที่ใจหายใจคว่ำยามนี้กลับมาเป็นปกติสุขดังเดิม
“ไอ้เด็กเหลือขอ วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว!”
ฉินเซียวเหลือบมองเย่หยวนพลางระเบิดหัวเราะกับตัวเอง กล่าวว่า
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้าหาญปานนี้มาจากที่ใด ถึงกล้ากลับมายังเมืองหลวงหวูเมิ่งจริงๆ! ไหนเจ้ามีอะไรดีขึ้นบ้าง!”
ในอีกด้าน สีหน้าท่าทีของเย่หยวนยังคงสงบเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยน
หากย้อนกลับไป ฉินเซียวนับเป็นยอดเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้เพียงหนึ่งเดียวแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่ง
แต่ตอนนีเย่หยวนยังมีซวนอี้ที่เป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวอยู่ข้างกาย ฉินเซียวตัวน้อยนับว่าอ่อนแอเกินให้ค่า
เย่หยวนเก็บดาบลงพร้อมยกสองมือไพล่หลังแสดงท่าทีสุดองอาจ และกล่าวอย่างใจเย็นว่า
“ผ่อนคลาย เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นเอง”
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเซียว ไฉนเย่หยวนถึงดูไม่ตกใจเลยล่ะ?
เขาเอ่ยกล่าวประดับยิ้มบางว่า
“ไม่ว่าเจ้าจะมีไพ่ตายอันใดเก็บซ่อนอยู่ ทว่าต่อหน้ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอย่างข้า สรรพชีวิตล้วนไม่ต่างจากขยะ!”
ในขณะที่เอ่ยกล่าวนั้นเอง รัศมีแรงกดดันของฉินเซียวก็โหมทวีเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง หาที่เปรียบไม่ เข้าปกคลุมถนนหลากหลายสายจนเหล่าฝูงชนแทบหายใจหายคอไม่ออก
“ราชันพระเจ้าสองดาว!”
สีหน้าการแสดงออกของเหวินอี้หยางแปรเปลี่ยนไปทันใด
สีหน้าของฉินจ้าวหยุนเผยความปิติยินดียิ่ง ขณะกล่าวขึ้นว่า
“ฮ่าๆๆ ขอแสดงความยินดีด้วยกับท่านเจ้าเมืองที่เลื่อนระดับชั้นได้สำเร็จ!”
ยิ่งความแกร่งกล้าของฉินเซียวเพิ่มทวีมากเท่าไหร่ นี่ก็ยิ่งเป็นข่าวดีสำหรับตระกูลฉินมากขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อเย่หยวนพบเห็นภาพฉากนี้ เขาก็คลี่ยิ้มแทนกล่าวว่า
“เจ้ากำลังแสดงพลังให้ข้ารับชมกระมัง? มีหรือจะไม่ทราบ ที่เจ้าประสบความสำเร็จขนาดนี้เป็นเพราะโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เม็ดนั้นที่ข้าหามาให้?”
จากนั้นทุกคนต่างเริ่มตระหนักได้ถึงงานชุมนุมร้อยเมืองในปีนั้นได้ทันที
งานประลองแข่นขันที่เหล่าอัจฉริยะรวมตัวกัน มีเพียงออันดับหนึ่งเท่านั้นที่จะได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ได้ เห็นได้ชัดว่าความดีความชอบครั้งนี้เป็นของเย่หยวนอย่างไม่ต้องสงสัย
คำกล่าวของเย่หยวนต่างทำให้เหล่าฝูงชนนึกออกในทันเ
แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าพูดออกไปเช่นกัน ขุมพลังแห่งอาณาจักรราชันพระเจ้าน่ากลัวเกินไป พวกเขาหรือจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่านเจ้าเมือง?
แต่ภายในใจต่างสบถด่าท่านเจ้าเมืองไม่มีหยุดหย่อน
กล่าวกันตามความเป็นจริง อาศัยแค่ความแข็งแกร่งของเหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงหวูเมิ่ง ไม่มีทางคว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมร้อยเมืองมาได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนคือคนช่วยสานฝันนี้ให้เป็นจริง
ที่ฉินเซียวทะลวงขึ้นเป็นราชันพระเจ้าสองดาวได้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้แก่เย่หยวน!
ดังนั้นแล้วการที่มาทำร้ายผู้มีบุญคุณเช่นนี้ กลับไม่ไร้ยางอายได้อย่างไร?
สีหน้าการแสดงออกของฉินเซียวแปรเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวน้ำเสียงไร้เยื้อใยว่า
“โอสถเป็นแค่ของนอกกาย หากต้องการเลื่อนระดับชั้น ยังต้องอาศัยความสามารถของตนเอง! โอสถเป็นเพียงลายดอกปักทอที่เติมแต่งเข้ามาเท่านั้น!”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“เช่นนั้นรึ? โอสถราชันจุติช่วยเพิ่มโอกาสเลื่อนระดับชั้นได้กว่าสามในสิบส่วน อาศัยดวงของเจ้าและเศษเสี้ยวความสามารถอีดนิดหน่อยก็สามารถทะลวงฝ่าขึ้นมาได้ไม่ยากเย็น ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าไม่มีโอสถราชันจุติ อาศัยแค่ความสามารถของเจ้า มีหรือจะเลื่อนระดับชั้นได้?”
ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวของเย่หยวน ทำเอาทุกคนร้องอุทานด้วยความตกใจยิ่ง
โอสถที่ช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า หาใช่โอสถระดับชั้นสามัญชนไม่
หากให้เปรียบเทียบโอสถเม็ดนี้กับบรรดาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ทั้งหมด นี่นับว่าเป็นโอสถที่มีราคาแพงเกือบที่สุด
ขึ้นชื่อว่าเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ราคาอย่างต่ำสุดก็มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งร้อยล้านผลึกปราณเทวะแล้ว
กล่าวได้ว่า ต่อให้ฉินเซียวนำทรัพย์สินทั้งหมดที่ตนเองมีออกมา ก็ไม่สามารถซื้อโอสถราชันจุติได้อยู่ดี
เย่หยวนที่เผยความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน นับว่าฉินเซียวเสียหน้าครั้งใหญ่!
น้ำเสียงเย็นชืดเจือผสมไปด้วยความโกรธจัดและอัยอายยิ่ง เขากล่าวว่า
“ไม่ว่าเจ้าจะปากดีแค่ไหน แต่วันนี้ก็มิอาจรอดชีวิตหนีไปได้เป็นคำรบสอง! ข้าขอดูเสียหน่อยว่า ไฉนเจ้าถึงหาญกล้าปานนี้!”
เมื่อกล่าวจบฉินเทียนก็ชี้นิ้วไปทางเย่หยวนโดยตรง พลังปฐพีสุดแกร่งกล้าปราดพุ่งทะลวงฉีดผ่านห้วงอากาศยิงเข้าใส่เย่หยวนไร้ปรานี!
คลื่นลมและเมฆาถึงกับเปลี่ยนสี!
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนยังคงยืนนิ่งพร้อมสองมือไขว้หลังจับจ้องฉินเซียวด้วยรอยยิ้ม คล้ายว่าไม่มีเจตนาเลี่ยงหลบแม้แต่น้อย
ในเวลานั้นเอง แผ่นฟ้าสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน ปรากฏร่างหนึ่งเข้าขวางตรงหน้าเย่หยวน
เพียงเท่านั้น…เพียงแค่สะบัดชายเสื้อเล็กน้อย มหาคลื่นพลังปฐพีสุดวิลาสพลันซัดพลังของฉินเซียวจนแตกสลายเป็นเสี่ยงในพริบตา
ช่างเป็นพลังปฐพีที่เหนือชั้นกว่าฉินเซียวไม่รู้กี่ร้อยเท่า!
พลังดัชนีควบผสานพลังปฐพีของฉินเซียวถูกทำลายสิ้นในเสี้ยวพริบตาจริงๆ!
…………………………………