บทที่ 869 : ช่วยฉีเสี่ยวหง!
  แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้ถามถึงรายละเอียดเขาก็สามารถเข้าใจได้แจ่มแจ้ง และคาดเดาเรื่องราวต่างๆได้..
  สายฝนซึ่งเกิดจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนทำให้เกิดพายุฝนที่มาผิดเวลา แต่ด้วยมิตรภาพที่เพื่อนๆมีให้กับหลิงหยุน ทุกคนจึงบากบั่นฝ่าพายุฝนมาให้กำลังใจ และร่วมแสดงความยินดีกับหลิงหยุนมากมายเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ..
  หลิงหยุนจึงต้องเลี้ยงรับรองเพื่อนๆของเขาทุกคนให้อิ่มหนำสำราญและมีความสุข!
  และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการภารกิจครั้งนี้ก็คือถังเมิ่งตี้เสี่ยวอู๋ อาปิง หนิงหลิงยู่ และเสี่ยวเม่ยหนิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง เพราะเขายังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ
  เรื่องช่วยชีวิตคนนั้นย่อมสำคัญกว่า!
  ฉินตงเฉี่วยเดินออกจากประตูโรงแรมพร้อมกับถือร่มติดมือมาด้วยหลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มและหยอกเย้าไปว่า
  “น้าหญิง..ที่จอดรถอยู่ใกล้แค่นี้เอง เหตุใดท่านยังต้องถือร่มมาด้วย”
  ฉินตงเฉี่วยทำตาดุใส่หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ข้าไม่ได้เอามาให้ตัวเอง ข้าเตรียมไว้สำหรับสาวน้อยผู้นั้นต่างหากเล่า!”
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปเพราะไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ และได้แต่คิดว่าฉินตงเฉี่วยนั้นช่างละเอียดรอบคอบนัก แล้วรีบวิ่งตรงไปที่รถของถังเมิ่งทันที..
  “โอ้โห..นับวันน้าหญิงของข้ายิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาก เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเสื้อผ้าของท่านก็แห้งแล้วหรือนี่”
  หลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถหันไปมองฉินตงเฉี่วยที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ
  หลิงหยุนนั้นเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างที่สุดแต่มังกรพรางร่างของฉินตงเฉี่วยก็ไม่เลวนัก แต่ถึงกระนั้นผมยาวสลวยของนางก็ชื้นไปด้วยน้ำฝน
  แต่ระหว่างที่สตาร์ทรถหลิงหยุนก็แกล้งหยอกเย้าฉินตงเฉี่วย “น้าหญิง.. เสื้อผ้าแห้งก็จริง แต่ผมยังของท่านยังเปียกอยู่เลย!”
  ที่หลิงหยุนพูดไปเช่นนั้นก็เพราะว่า..เวลานี้เขาอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9 แล้ว ลมปราณที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายจึงกระจายเป็นรัศมีอยู่รอบตัว และทำหน้าที่ห่อหุ้มผิวหนังไว้หนึ่งชั้น ดังนั้นไม่ว่าพายุฝนจะหนักเพียงใด เม็ดฝนก็ไม่สามารถตกต้องสัมผัสเนื้อตัวของเขาได้!
  แต่ฉินตงเฉี่วยนั้นมีพลังปราณที่ด้อยกว่าหลิงหยุนในขั้นเซียงเทียน-5 นั้น แม้จะมีลมปราณที่ทรงพลังหมุนเวียนอยู่ภายในร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถครอบคลุมไปถึงเส้นผม มันจึงโดนฝนและยากที่จะแห้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว..
  แต่ภาพเส้นผมที่ดกดำเป็นมันวาวราวกับน้ำตกและมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่นั้น เมื่อสะท้อนกับแสงไฟในรถ จึงเกิดเป็นประกายระยิบระยับเน้นให้ใบหน้าที่งดงามของฉินตงเฉี่วยนั้นชวนมองมากยิ่งขึ้น
  ฉินตงเฉี่วยทำเสียงดุ“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้ามัวแต่มองอะไร ยังไม่รีบออกรถอีก!”
  “โอ้โหน้าหญิง..ท่านช่างงดงามมากจริงๆ!”
  หลิงหยุนแสร้งทำเป็นโง่และเอ่ยชมฉินตงเฉี่วยแล้วจึงค่อยเหยียบคันเร่งขับออกจากประตูโรงแรมไคเฉวียนหายไปท่ามกลางม่านสายฝน
  ตอนนี้หลิงหยุนใช้ระบบGPS ที่ติดตั้งในรถเป็นแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องโทรหาใครเพื่อสอบถามเส้นทางอีก และเพียงแค่กำหนดตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาล เส้นทางก็ปรากฏขึ้น นำพาไปยังจุดหมายปลายทางทันที
  ท่านกลางน้ำที่เจิ่งนองเต็มท้องถนนราวกับแม่น้ำนั้นหลิงหยุนขับรถไปด้วยความเร็วสูง และเพียงไม่ถึงยี่สิบนาที ทั้งคู่ก็ไปถึงหน้าประตูโรงพยาบาล
  หลังจากที่เข้าไปในโรงพยาบาลแล้วหลิงหยุนก็ค่อยๆชะลอความเร็วลง และเริ่มเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูอีกครั้ง เขาขับรถวนหาอาคารผู้ป่วยใน เมื่อพบแล้วจึงขับรถไปจอดไว้ที่หน้าอาคาร
  แต่เมื่อทั้งคู่ลงมาจากรถและต้องการที่จะเข้าไปภายในอาคารนั้น ก็เกิดปัญหาเล็กน้อย เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองนายร้องห้ามไว้
  “นี่มันสี่ทุ่มแล้ว!หมดเวลาเยี่ยมคนไข้แล้ว! ถ้าต้องการมาเยี่ยมคนไข้ กรุณามาใหม่พรุ่งนี้!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหยิบบุหรี่ชั้นเยี่ยมออกมาสองซองเขานำไปวางไว้ที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคน และตอบกลับด้วยความสุภาพ
  “ขอโทษครับ..พวกเราไม่ได้มาเยี่ยมคนไข้ แต่จะมารับน้องสาวออกจากโรงพยาบาล ขอพวกเราขึ้นไปหน่อยนะครับ!”
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยความสุภาพแต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนจะไม่ยี่หระนัก..
  “มารับน้องสาวออกจากโรงพยาบาลก็ต้องมีใบอนุมัติจากแพทย์ผู้รักษา ใหนล่ะใบอนุมัติจากแพทย์ เอาออกมาให้พวกเราดูด้วย!”
  และดูเหมือนเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนจะกำลังตกตะลึงกับความงดงามของฉินตงเฉี่วยเพราะสายตากระเหี้ยนกระหือราวกับหมาป่าของพวกมันนั้น จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉินตงเฉี่วยโดยไม่สนใจแม้แต่จะมองหลิงหยุน และเขาก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกของพวกมัน..
  คิ้วสวยได้รูปทั้งสองข้างที่อยู่บนใบหน้าขาวนวลของฉินตงเฉี่วยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างรำคาญ..
  สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนไปทันทีเขาเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ทั้งสองซองเมื่อครู่กลับไปไว้ในแหวนพื้นที่ดังเดิม แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา..
  “ไม่มี..”
  “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมาใหม่พรุ่งนี้แต่ถ้าอยากจะเข้าไปเยี่ยมน้องสาวตอนนี้ คุณก็เข้าไปได้แค่คนเดียว ส่วนแม่สาวคนสวยนั่นต้องรออยู่ที่นี่!”
  สายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างงดงามของฉินตงเฉี่วยจึงไม่ทันสังเกตเห็นหลิงหยุนหยิบบุหรี่ทั้งสองซองกลับคืนไป
  “หลีกทาง!”
  หลิงหยุนหมดความอดทนและร้องบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าแขนของฉินตงเฉวี่ย แล้วเดินตรงเข้าไปด้านในอาคารทันที
  “นี่..พวกคุณสองคนจะทำอะไร!”
  เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนเห็นหลิงหยุนกำลังจะเดินเข้าไปด้านในอาคารก็รีบลุกขึ้นไปขวางไว้ทันที หนึ่งในนั้นวิ่งตรงไปและพยายามจะเอื้อมมือไปจับไหล่ของฉินตงเฉี่วย
  “รนหาที่ตาย..”
  ในที่สุดหลิงหยุนก็หมดความอดทนเขาถอยหลังกลับมาพร้อมกับยื่นมือซ้ายออกไปจับแขนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งบิดเบาๆ
  “โอ๊ย!!”
  เสียงร้องของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งซึ่งพยายามจะคว้าไหล่ของฉินตงเฉี่วยไว้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด..
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปปล่อยลมปราณผ่านนิ้วไปที่หัวเข่าของเจ้าหน้าที่รักษความปลอดภัยอีกคนจนล้มลงเข่ากระแทกพื้น และกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด..
  “แค่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโรงพยาบาลแต่กลับทำตัวกร่างไร้ยางอาย..!”
  หลิงหยุนทำเสียงไม่พอใจและไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง เขาดึงมือฉินตงเฉี่วยตรงเข้าไปขึ้นลิฟท์ทันที
  “เข้าไปข้างในกันดีกว่าอย่าอยู่ใกล้เจ้าสองคนนั่นเลย!”
  เมื่อเห็นหลิงหยุนกับฉินตงเฉี่วยเดินขึ้นลิฟท์ไปแล้วครอบครัวของคนไข้อีกราวเจ็ดแปดคนที่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนห้ามเข้า ก็รีบวิ่งตามหลิงหยุนเข้าไปด้วยทันที
  หลิงหยุนจูงมือฉินตงเฉี่วยเข้าไปในลิฟท์และเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังคงจับมือของนางอยู่ ใบหน้าของหลิงหยุนจึงเริ่มแดง และรีบปล่อยมือทันที
  แต่ฉินตงเฉีวยกลับมีสีหน้าเรียบเฉยริมฝีปากของนางแย้มยิ้มพร้อมกับดุว่า “ก็แค่คนธรรมดาสองคน.. เจ้าทำอะไรลงไป”
  หลิงหยุนขยิบตาพร้อมกับพูดว่า“ก็พวกมันไม่ให้ข้าเข้า.. ข้าก็ไม่รู้จะใช้วิธีใดแล้ว อีกอย่าง.. พวกมันไม่ควรมองท่านด้วยสายตาแบบนั้น เพราะนั่นเท่ากับว่าพวกมันรนหาที่ตาย!”
  “นี่เจ้า..”ฉินตงเฉี่วยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าโกรธเพราะเรื่องนี้จริงๆงั้นรึ!”
  ลิฟท์ขึ้นไปถึงชั้นเจ็ดอย่างรวดเร็วหลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยต่างก็เดินออกมาจากลิฟท์ ทั้งคู่เดินตรงไปยังห้อง 722 และพบชายร่างใหญ่สองคนยืนอยู่หน้าประตูทำหน้าที่คล้ายบอดี้การ์ด
  “พี่หยุน!”
  เมื่อหลิงหยุนมาถึงชายร่างใหญทั้งสองคนก็รีบร้องทักทาย และพวกเขาก็คือพี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่ถังเมิ่งส่งมาคุ้มกันฉีเสี่ยวหง..
  “อืมม..” หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับถามต่อว่า “คนป่วยเป็นยังไงบ้าง”
  หนึ่งในนั้นตอบว่า“ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว!”
  หลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับพูดเสียงเบา“ข้างบนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายสองคนลงไปจัดการกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้างล่างสองคนที่อยู่ข้างล่างก่อน ฉันเพิ่งสั่งสอนพวกมันไป!”
  “ครับพี่หยุน!”
  พี่น้องแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกับเดินจากไป..
  หลิงหยุนค่อยๆผลักประตูห้องเข้าไป และฉินตงเฉี่วยก็เดินตามเข้าไป เขาพบร่างของฉีเสี่ยวหงที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย..
  ฉีเสี่ยวหงนั้นอายุยังไม่ถึงสิบหกปีด้วยซ้ำไปรูปร่างก็ยังซูบผอม แต่ใบหน้านั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับฉีเสี่ยวชิงพี่สาวของเธอไม่มีผิด ดูเหมือนทั้งคู่จะสวยมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่..
  ฉีเสี่ยวหงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยใบหน้าซีดเซียว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ลมหายใจดูอ่อนระทวย ภาพของเธอนั้นดูราวกับนางฟ้าน้อยๆที่กำลังหลับไหล..
  หลิงหยุนเหลือบมองขวดยาที่วางอยู่ข้างเตียงก็พบว่ามันเป็นเพียงกลูโคลสธรรมดาเท่านั้น จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาแค่กังวลว่าหมอจะให้ยาร้อยแปดพันเก้ากับฉีเสี่ยวหงมากว่า เพราะจากคนที่ไม่ป่วย ก็จะกลายเป็นมีปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย
  ฉินตงเฉี่วยเดินเข้าไปยืนข้างเตียงของฉีเสี่ยวหงหลังจากยืนจับชีพจรของฉีเสี่ยวหงนิ่งราวครึ่งนาที นางก็ใช้กระแสจิตคุยกับหลิงหยุน
  –โชคดีที่นางแค่หลับไป!นางถูกสกัดจุดไว้ หากเจ้าไม่รีบคลายจุดให้นาง ดูท่าแม่สาวน้อยผู้นี้คงต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราแน่!-
  หลิงหยุนนั้นรู้แต่แรกแล้วเขาไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจรของฉีเสี่ยวหงด้วยซ้ำไป เขาสันนิษฐานไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ฉีเสี่ยงหงน่าจะถูกหนึ่งในสามยอดฝีมือของตระกูลซันสกัดจุดไว้ และที่สำคัญมันคือการกระทำที่โหดเหี้ยมนัก..
  “ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกมันแน่!”
  หลิงหยุนคำรามออกมาจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะคลายจุดให้นางก่อน”
  หลิงหยุนเดินวิชาพลังลับหยินหยางและจัดการถ่ายเทลมปราณไปที่นิ้วทั้งสาม และทำการคลายจุดให้ฉีเสี่ยวหงทันที
  จากนั้นหลิงหยุนจึงทำการถ่ายเทพลังชี่ไปตามเส้นลมปราณของฉีเสี่ยวหงที่ถูกปิดตายมานานถึงสองสามวัน
  สิบนาทีต่อมา..ฉีเสี่ยวหงจึงตื่นขึ้น และค่อยๆลืมตาขึ้นมอง เธอลืมตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองหลิงหยุน และถามขึ้นว่า
  “ที่นี่ที่ใหนฉัน.. ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแม่กับพี่สาวของฉันล่ะ?”
  หลิงหยุนถอนหายใจแม่กับลูกสาวอีกสองคน ทั้งสามต้องทนทุกข์กับหายนะครั้งใหญ่ในชีวิต แต่ในใจกลับคิดถึงแต่กันและกัน
  “แม่กับพี่สาวของคุณสบายดีแล้วตอนนี้คุณก็ไม่เป็นอะไรแล้วสาวน้อย! พวกเราจะมาพาคุณกลับไปหาแม่กับพี่สาวนะ..”
  หลิงหยุนพยายามพูดและยิ้มให้ฉีเสี่ยวหงอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน..
  แต่จู่ๆฉีเสี่ยวหงก็ดิ้นรนขัดขืน เธอมองหลิงหยุนด้วยความหวาดระแวงพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง.
  “แก..พวกแกเป็นใคร จะพาฉันไปใหน?”
  ดูเหมือนว่าฉีเสี่ยวหงจะจำเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติได้เธอจึงหวาดแระแวง และไม่เชื่อคำพูดของหลิงหยุน!
บทที่ 870 : เด็กสาวตัวแสบคนใหม่!
  เมื่อเห็นสีหน้าท่าทาง และแววตาที่ตื่นตระหนกของฉีเสี่ยวหง หลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่าแม่สาวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ร้ายไม่เบาทีเดียว แต่ก็ยังคงอธิบายถึงเจตนาดีของตัวเองให้เธอฟัง
  แม้แต่ผู้ใหญ่ที่แข็งแรงเมื่อถูกสกัดจุดไว้อย่างรุนแรงนานถึงสองสามวันเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ยากที่จะมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับฉีเสี่ยวหงในเวลานี้ได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปี..
  “เอาล่ะ..ไม่ต้องกังวลใจไป! ผมจะโทรหาแม่กับพี่สาวของคุณเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
  หลิงหยุนรีบโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของหนิงหลิงยู่และถามหาฉีเสี่ยวชิงทันที หนิงหลิงยู่จึงส่งโทรศัพท์ให้ฉีเสี่ยวชิงที่อยู่ข้างๆ
  “เสี่ยวชิง..ผมอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้น้องสาวของคุณฟื้นแล้ว!”
  หลิงหยุนยื่นโทรศัพท์ในมือให้กับฉีเสี่ยวหงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม..
  “เอาล่ะ..สอบถามพี่สาวของคุณได้เลย ผมไม่ใช่ผู้ร้าย ผมเป็นคนดี!”
  ฉีเสี่ยวหงเหลือบมองหลิงหยุนก่อนจะยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาเมื่อเธอได้ยินเสียงพี่สาวจากปลายสายที่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เธอจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
  แต่สิ่งที่ฉินตงเฉี่วยกับหลิงหยุนอดที่จะชื่นชมฉีเสี่ยวหงระหว่างที่เธอกำลังคุยกับพี่สาวไม่ได้นั่นก็คือ.. ตลอดเวลาที่ฟื้นมานั้น เด็กสาวจากครอบครัวยากจนกลับเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งได้ในเวลาอันรวดเร็ว!
  “พี่หลิงหยุน..ขอบคุณค่ะ!”
  และเมื่อฉีเสี่ยวหงยื่นโทรศัพท์ในมือคืนหลิงหยุนเธอก็เปลี่ยนสรรพนามมาเรียกหลิงหยุนว่าพี่ จากนั้นจึงหันไปทางฉินเตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “พี่สาวคะ..พี่สาวสวยอย่างกับนางฟ้าเลยค่ะ!”
  “หืมม..”
  ฉินตงเฉี่วยหน้าแดงด้วยความเขินอายพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและเอนหลังไปกระซิบกับหลิงหยุน
  “เด็กคนนี้ช่างเจรจานัก!”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับแอบคิดในใจว่าวันนี้เขาฟังแต่คำว่า ‘ขอบคุณ’ มานับครั้งไม่ถ้วนจนงงไปหมดแล้ว
  แต่หลิงหยุนก็ไม่พูดอะไรมากเขายิ้มให้ฉีเสี่ยวหงพร้อมกับถามขึ้นว่า “หงเอ๋อ.. ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง ลุกขึ้นเดินไหวมั๊ย?”
  ดวงตากลมโตของฉีเสี่ยวหงจ้องมองหลิงหยุนนิ่งแทนการถามว่าเขาจะช่วยอุ้มเธอไปได้หรือไม่ แต่เมื่อหันไปมองฉินตงเฉี่วยเธอก็หยุดความคิดที่จะถามทันที แล้วหันกลับไปตอบหลิงหยุนด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
  “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วน่าจะเดินไหวค่ะ!”
  ระหว่างที่พูดนั้นฉีเสี่ยวชิงก็บิดขี้เกียจเรียกเรี่ยวแรงกำลังของตนเอง จากนั้นจึงยืดลำตัวตรง ก่อนจะหันเท้าไปข้างเตียง
  หลิงหยุนจ้องมองฉีเสี่ยวชิงที่ยกมือสองข้างขึ้นบิดขี้เกียจจนหน้าอกใหญ่โตสองข้างนั้นสั่นอยู่ภายใต้ชุดคนไข้ ในใจก็ได้แต่คิดว่า ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดหน้าอกหน้าใจถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้.
  “พี่หลิงยุน..พี่นางฟ้า.. พวกเราไปกันได้หรือยังคะ!”
  ทันทีที่เท้าแตะพื้นฉีเสี่ยวหงก็เดินเข้าไปเกาะแขนฉินตงเฉี่วยพร้อมกับคะยั้นคะยอให้รีบออกไปจากที่นี่
  หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าเด็กสาวคนนี้ช่างไม่ธรรมดาเลย! เธอไม่เพียงปากหวาน และรู้จักประจบประแจง แต่ยังรู้อีกด้วยว่าควรจะเลือกใครระหว่างตัวเขากับฉินตงเฉี่วย
  “นี่สาวน้อย..นั่นมันน้าของผม!”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉีวยนั้นรักความสะอาดและกลัวว่าฉินตงเฉี่วยจะไม่ชอบจึงรีบห้ามไว้ทันที และได้โอกาสแนะนำฐานะของฉินตงเฉี่วยพอดี
  “ห๊ะ..น้าอะไรกันคะ ถึงได้ยังสาวขนาดนี้!” ฉีเสี่ยวหงถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
  ฉินตงเฉี่วยรู้ว่าฉีเสี่ยวหงกำลังมีความสุขและไม่รู้สึกรังเกียจที่เธอยังอยู่ในชุดคนไข้ และรีบร้องบอกหลิงหยุนทันที
  “นี่เจ้ามีปัญหาอะไรนางพอใจเรียกข้าว่าพี่.. ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่?”
  สำหรับฉินตงเฉี่วยนั้นนางฝันอยากหน้าเด็กลงอีกสิบปี เมื่อฉีเสี่ยวหงเรียกนางเช่นนั้น นางก็ยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้กับเธอ…
  หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก..
  หลิงหยุนแอบชื่นชมนิสัยใจคอของฉีเสี่ยวหงไม่น้อยแม้เธอจะเป็นเด็กน้อยที่มีพื้นฐานครอบครัวยากจน แต่เธอก็เด็กที่กล้าพูด และกล้าแสดงออกเฉกเช่นเดียวกันกับเสี่ยวเม่ยหนิงไม่มีผิด!
  “เสี่ยวหง..ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหรอ”
  ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนฉีเสี่ยวหงก็ก้มลงมองดูชุดผู้ป่วยที่เธอสวมใส่ทันที แล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบหลิงหยุนตะกุกตะกัก..
  “แต่ฉันไม่มีเสื้อผ้าใหม่เปลี่ยน..”
  หลิงหยุนจึงรีบตอบกลับไปทันที“ไม่เป็นไร.. ถ้างั้นกลับไปแล้วค่อยไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ได้! เอาล่ะ.. พวกเราไปกันได้แล้ว!”
  ทั้งสามคนพากันเดินลงไปด้านล่างและเมื่อไปถึงก็พบแต่ความว่างเปล่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หลิงหยุนได้สั่งสอนไปนั้น ไม่รู้ว่าเวลานี้อยู่ที่ใหน แล้วก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดใหม่มาแทน หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า คนของแก๊งมังกรเขียวจัดการเรื่องได้เรียบร้อยดี เขายิ้มพร้อมกับกางร่มเพื่อกันฝนให้กับฉินตงเฉี่วยกับฉีเสี่ยวหงระหว่างเดินไปขึ้นรถ
  ทันทีที่ขึ้นไปบนรถได้ฉีเสี่ยวหงก็นั่งเอามือกอดอกแน่น เธอนอนให้กลูโคลสอยู่นานหลายวัน ร่างกายจึงขาดอาหาร และค่อนข้างอ่อนแอ
  “อดทนอีกหน่อยนะ..ไว้ไปถึงโรงแรมเมื่อไหร่จะได้กินอาหารให้อิ่ม แล้วก็ได้อาบน้ำอุ่นๆ”
  หลิงหยุนร้องบอกสาวน้อยขณะที่กำลังสตาร์ทรถ..
  และทันทีที่ฟ้าร้องครืนๆและผ่าเปรี้ยงลงมานั้น ฉีเสี่ยวหงก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ และโผเข้ากอดแขนของฉินตงเฉี่วยไว้แน่น!
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกดูจึงเห็นภาพที่ฉีเสี่ยวหงกำลังกอดแขนน้าหญิงของเขาไว้แน่น จึงพูดออกมายิ้มๆ
  “คิดว่าจะไม่รู้จักกลัวอะไรซะอีก!ที่แท้ก็กลัวฟ้าผ่า.. ฮ่าๆๆ”
  ใบหน้าของฉีเสี่ยวชิงบ่งบอกถึงความหวาดกลัวสุดขีดร่างของเธอสั่นเทิ้ม หลิงหยุนพูดได้ถูกต้อง เพราะฉีเสี่ยวหงกลัวเสียงฟ้าผ่าเป็นชีวิตจิตใจ!
  หลิงหยุนขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปยังโรงแรมไคเฉวียนพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
  ……
  ฝนตกลงมานั้นเบาขึ้นมากและเวลานี้หลิงหยุนก็จดจำเส้นทางได้แล้ว ขากลับจึงใชเวลาเร็วกว่าขามามาก และเพียงแค่สิบนาทีเขาก็เลี้ยวเข้าโรงแรมไคเฉวียน
  เวลานั้น..ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว!
  หลิงหยุนขับรถไปจอดที่หน้าโรงแรมแล้วดับเครื่อง..
  ก่อนที่จะลงไปจากรถฉินตงเฉี่วยก็ถามเบอร์ห้องของฉียวี่เจิน และบอกกับหลิงหยุนว่า “ข้าจะขึ้นไปส่งหงเอ๋อที่ห้องเอง ส่วนเจ้าก็ไปจัดการธุระที่เหลือของเจ้า!”
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและได้แต่แอบคิดในใจว่า น้าหญิงของเขาที่ไม่เคยสนใจอะไร แต่กลับอาสาที่จะไปส่งฉีเสี่ยวหงที่ห้อง ดูท่านางจะชื่นชอบเด็กสาวคนนี้มาก!
  หลังจากคำนวนดูเวลาแล้วหลิงหยุนก็คิดว่าตอนนี้ฉีเสี่ยวชิงน่าจะอยู่กับแม่ของเธอแล้ว คงไม่สะดวกที่เขาจะขึ้นไปส่งหงเอ๋อที่ห้อง จึงรีบพยักหน้าและตอบฉินตงเฉี่วยกลับไปว่า
  “คงต้องรบกวนน้าหญิงแล้ว!”
  ฉินตงเฉี่วยพาฉีเสี่ยวหงลงจากรถและหลิงหยุนที่ตามเข้ามาก็สั่งให้ดอร์แมนจัดการขับรถไปจอดให้
  เวลานี้..บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมก็ได้กลับสู่ความสงบดังเดิมอีกครั้ง พื้นที่เปื้อนโคลน และแฉะไปด้วยน้ำก่อนหน้านี้ ก็ได้รับการเช็ดถูทำความสะอาดจนเรียบร้อยเช่นเดิม
  เห็นได้ชัดว่าถังเมิ่งสามารถสั่งการทุกอย่างได้เรียบร้อยไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง หลิงหยุนจึงเดินยิ้มขึ้นไปที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าอย่างสบายอกสบายใจ..
  ภายในห้องจัดเลี้ยงตอนนี้กลับยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่าช่วงแรกแขกสามร้อยกว่าคนนต่างก็พากันดื่มเหล้า และพูดคุยกันอย่างมีความสุข
  เมื่อหลิงหยุนเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงแขกหลายคนก็เริ่มหน้าแดงก่ำไปจนถึงคอด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และต่างก็อยากจะดื่มชนแก้วกับหลิงหยุน
  หลิงหยุนไม่สามารถดื่มกับทุกคนได้หมดจึงได้แต่ยิ้มและปฏิเสธไปว่าเขายังเป็นนักเรียน และยังเด็กอยู่ แล้วจึงรีบขอตัวเข้าไปที่ห้องวีไอพี
  หลิงหยุนกลับไปยังห้องวีไอพีที่มีมู่หลงเวิ่นฉีและอาวุโสคนอื่นๆอยู่ เมื่อไปถึงหลิงหยุนก็ยืนกระดกเหล้าเข้าไปสามแก้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านปู่มู่หลง..ลุงซ่ง.. เซียนหยก เถ้าแก่ฮั่น.. ผมต้องขออภัยมากจริงๆที่จู่ๆเพื่อนนักเรียนต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีในวันนี้อย่างมากมาย..”
  มู่หลงเวิ่นฉีหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขและพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกหลิงหยุน! พวกเรารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เธอเป็นคนดี เพื่อนๆก็ต้องอยากมาร่วมแสดงความยินดี..”
  ซ่งเจิ้งหยางพูดต่อ“หลิงหยุน.. ไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอก! พวกเรากินอิ่มกันหมดแล้ว แค่รอเธอกลับมาจะได้ขอตัวกลับเท่านั้นเอง! แล้วถ้าสองสามวันนี้เธอมีเวลาว่าง ก็แวะที่ตลาดค้าของเก่าด้วยล่ะ พวกเรามีของขวัญจะมอบให้เธอ!”
  และประโยคนี้คือสิ่งที่ซ่งเจิ้งหยางต้องการจะพูดกับหลิงหยุนตั้งแต่แรก..
  หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า เขาต้องแวะไปที่ตลาดค้าของเก่าอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่เขากว้านซื้อหินพลังชีวิตกลับมาจำนวนมากในครั้งนั้น เวลานี้ก็ได้มีหินล็อตใหม่มาแล้ว เขาไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน!
  จากนั้นมู่หลงเวิ่นฉีและคนอื่นๆก็ลุกขึ้นยืนและบอกหลิงหยุนว่า “เอาล่ะ.. กินดื่มกันอิ่มแล้ว พวกเราก็กลับกันได้แล้วล่ะ!”
  หลิงหยุนจะเดินออกไปส่งแต่ซ่งเจิ้งหยางห้ามไว้ “เธอยุ่งมากแล้วคืนนี้ พวกเราไม่รบกวนดีกว่า..”
  พูดจบก็เดินหัวเราะออกจากห้องไป..
  หลิงหยุนทิ้งทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “คืนนี้ยุ่งมากจริงๆ!”
  จากนั้นพนักงานเสริฟก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถามขึ้นว่า“เจ้านายคะ.. จะให้จัดการเก็บห้องนี้เลยมั๊ยคะ”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“อืมม.. จัดการเก็บได้เลย”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็เดินออกจากห้องตรงไปยังห้องวีไอพีอีกห้องที่อยู่ข้างๆ และจัดการผลักประตูเข้าไป แต่แล้วก็ร้องถามออกมาอย่างตกใจ
  “อ้าว..ทำไมเหลือแค่นี้.. แล้วที่เหลือไปใหนกันหมด”
  เพราะเวลานี้ภายในห้องของสาวงามก็เหลือเพียงแค่หลินเมิ่งหาน เหยาลู่ ไป๋เซียนเอ๋อ แล้วก็มู่หลงเฟยจื่อเท่านั้น!