“ในวันมงคลเช่นนี้ ข้าถามว่ารูแฮอยู่ที่ใด หรือว่ามิอยู่มาตั้งแต่แรก”
ทุกคนในฮวังยอนรูถูกกดดันอย่างหนักด้วยน้ำเสียงที่เบาและทุ้มต่ำของออฮยูลเจ ไม่มีใครที่ไม่รับรู้ถึงความโกรธในน้ำเสียงนั้น มีแต่มูที่อยู่ห่างออกไปจนไม่ได้ยินเสียงของออฮยูลเจยังคงเล่นสนุกกับแบคเยอย่างไม่รู้เรื่องราวอยู่ เสียงลมหายใจของยอมินเริ่มดังขึ้นในฮวังยอนรูที่เงียบไปชั่วขณะ
“ทำไมมิมีผู้ใดตอบ เยมินลองบอกมาสิ เหตุใดเจ้าจึงทิ้งสามีของเจ้า แล้วมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว”
“ฝ่า ฝ่าพระบาทเพคะ”
ออฮยูลเจที่ตะโกนถามออกไปอย่างเสียงดังได้หันไปถามยอมินด้วยน้ำเสียงกังวาน ยอมินตกใจกลัวจึงไม่สามารถตอบได้อย่างตรงไปตรงมา นางจึงก้มลงไปกับพื้น
“ฝ่าพระบาท องค์จักรพรรดิผู้เคร่งครัด หม่อมฉันขอประทานอภัย ขอโปรดอย่าทรงพิโรธไปเลยเพคะ”
ยอมินพูดวกไปวนมานางไม่รู้ตัวว่านางกำลังพูดสิ่งใดอยู่ แล้วน้ำตาของนางก็ไหลออกมา สำหรับยอมินนั้นการที่ต้องนั่งอยู่คนเดียวโดยที่สามีไม่มามันก็เป็นเรื่องหนักใจอยู่แล้ว ออฮยูลเจมองไปที่ยอมินผู้น่าสงสาร ความโกรธของเขามีต่อรูแฮเพียงเท่านั้น
“กล้าดีอย่างไรถึงไม่ยอมมาเข้าร่วมงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮวังบี ซู รีบเรียกรูแฮเข้ามาที่นี่บัดเดี๋ยวนี้”
ออฮยูลเจที่ออกคำสั่งแก่ขันทีที่ยืนรออยู่ด้านนอกฮวังยอนรูลุกขึ้นยืน แม้แต่ฮวังฮู แทรยองก็ไม่สามารถที่จะหยุดออฮยูลเจที่กำลังโกรธได้ หลังจากที่ออฮยูลเจเดินออกไปจากฮวังยอนรู ด้านในก็มีแต่เสียงสะอื้นของยอมิน ในขณะที่ยอมินกำลังร้องไห้อยู่นั้น ฮวังบี ซูก็ขออนุญาตฮวังฮู แทรยองแล้วลุกขึ้นยืน พูดกับทุกคนว่า
“ขอขอขอบพระทัยทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับหม่อมฉัน เนื่องในวันคล้ายวันเกิดนี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่างานเลี้ยงในค่ำนี้จะสิ้นสุดลงแล้ว หม่อมฉันมีความสุขยิ่งนัก ขอให้ทุกท่านกลับตำหนักอย่างไม่ต้องกังวลต่อสิ่งใด”
หลังจากที่พูดจบฮวังบี ซูก็ทำความเคารพฮวังฮู แทรยองแล้วออกไปจากฮวังยอนรู ฮวังบี เยเองก็เดินออกจากฮวังยอนรูไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูตูของฮวังบี ซูจบลงด้วยบรรยากาศที่น่าอัดอัด
***
ทางด้านซ้ายของพระราชวังใต้ สตรีเจ้าของตำหนักนัมบีนั่งอยู่เฉยๆ บนเบาะรองนั่งสีฟ้า และวางมือขวาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ มือของนางหดกำหมัดลงจนกระดูกปูดโปนขึ้น นางหลับตาลงและกำลังหายใจอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าอันราบเรียบ ที่ดูเหมือนกำลังอดทนกับบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างยากเย็น
นางคือพระชายายอมิน ชายาของฮวางเซจา รูแฮ องค์รัชทายาทอันดับที่สามนั่นเอง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากขาวของนาง
“โบจิน”
โบจิน นางกำนัลที่กำลังยืนเฝ้ารออยู่ที่กำแพงเดินเข้ามาข้างๆ ที่นั่งของยอมิน แล้วก้มศีรษะลง นางคือนางกำนัลที่ยอมินโปรดปรานมากที่สุด ยอมินออกออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“เอาน้ำเย็นมาให้ที หมายถึงน้ำที่ตักมาจากบ่อ นำน้ำแข็งจากโรงเก็บน้ำแข็งมาลอยบนน้ำด้วยก็ดี”
“เพคะ พระชายาฮวางเซจา” โบจินก้มหัวลง เดินถอยหลังออกจากห้องไป
การตักน้ำออกมาจากบ่อน้ำจะต้องใช้เวลาในการที่จะทำให้ฝุ่นที่ลอยอยู่ในน้ำหายไป และเพื่อเอาน้ำแข็งจากโรงเก็บน้ำแข็งมาลอยบนน้ำ ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อตัดน้ำแข็งให้เป็นก้อนเล็กๆ ก่อน ในช่วงระยะเวลานี้ยอมินสามารถที่จะใช้เวลาอยู่ในห้องคนเดียวได้
ยอมินยังคงจำสภาพเลอะเทอะของโบจินได้เมื่อฤดูใบไม้ผลิเมื่อปีที่แล้ว ยอมินยังจำได้ชัดเจนทั้งสีหน้า สำเนียงภาษา และอาการสั่นของนางเหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยอมินไม่ต้องการให้โบจินเห็นความไม่ดีของตน แม้ว่าโบจินจะเป็นนางกำนัลที่ยอมินโปรดปรานมากที่สุด แต่สำหรับมนุษย์นั้นยิ่งเป็นคนสำคัญมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแสดงให้เขาคนนั้นเห็นแค่ด้านที่ดีมากเท่านั้น ตอนนี้ยอมินยังคงนั่งหลับตาอยู่
ครืด ครืด
ยอมินได้ยินเสียงดันประตูสองครั้ง เมื่อหลับตาลงแล้วหูก็จะยิ่งดีขึ้น เสียงดังของประตูนั้นเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อนางรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่คนเดียวแล้ว มือของนางก็สั่นระริก มีเรื่องที่นางไม่สามารถรับมือได้ไหว หากส่งเสียงออกไปเพียงนิด เหล่าซังกุงที่อยู่ด้านนนอกก็คงจะได้ยิน นางไม่ต้องการให้ใครเห็นด้านที่ไม่ดีของตน ไม่อยากเปิดเผยจิตใจอันคับแคบของตน
ช่องว่างระหว่างคิ้วของนางเริ่มแคบลง นางจดจ่อไปที่กำปั้นสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ และจดจ่อไปที่ดวงตาทั้งสองที่ปิดสนิทอยู่ราวกับไม่อยากจะลืมขึ้นมาอีกครั้ง มีช่องว่างเล็กๆ เปิดออกระหว่างริมฝีปากแล้วนางก็หายใจอย่างแรง นางพยายามที่จะหายใจอย่างช้าๆ แต่เสียงหายใจนั้นช่างแรงและเร็ว
“เฮ้อ ฮึบ”
แม้แต่ครั้งแรกที่ยอมินย่างเท้าก้าวเข้ามาในพระราชวังนี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนนั้นจะต้องมาตกอยู่ในความรู้สึกเช่นนี้ เพราะตอนอยู่ที่นี่นางก็ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับตอนอยู่ที่ซากา ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบปลอดภัย ได้ทำหน้าที่ของสตรีทุกอย่าง และอยู่อย่างสงบเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าหน้านี้ไม่นานนางก็ยังคงใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ ในทุกๆ วันที่เป็นชายาของรูแฮ ก็มีบ้างที่เหงาหงอย แต่ก็ไม่เคยที่จะต้องตกอยู่ในห้วงอารมณ์ ความรู้สึกเช่นนี้เลย
***
ในวันนั้นเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อน เป็นวันที่ความร้อนกับความชื้นอันเหนียวเหนอะหนะกำลังจากไป เมื่อผ่านพ้นยามโย่ว (ประมาณ 5 โมง-3 ท่ม) ไปยามซวี่ (ประมาณ 1 ทุ่ม-3 ท่ม) ในตอนที่ท้องฟ้าสลัว พ่อของยอมิน มุนกงชิน จองชานยอม หัวหน้าสกุลจอง ซึ่งเป็นสกุลที่มีอำนาจและเป็นวงศ์ตระกูลที่มีความดีความชอบต่ออาณาจักร ได้นำข่าวมาบอกแก่นาง
“รัน องค์จักรพรรดิทรงเรียกพบลูก”
“ท่านพ่อ ขออภัยด้วย ท่านพูดว่าอย่างไรนะ”
อยู่ดีๆ องค์จักรพรรดิก็เรียกตนอย่างนั้นหรือ แน่นอนไม่ใช่ว่านางที่เกิดมาเป็นบุตรสาวของตระกูลที่มีอำนาจจะไม่เคยคิดฝันถึงพระราชวังเลย นางเคยตามพ่อของตน ผู้เป็นราชการระดับสูงไม่กี่คนในมกกุกที่ได้รับพระราชทานยศ ‘กงชิน[1]’ เข้าพระราชวังสองครั้งตอนที่ยังเด็ก และเนื่องจากพ่อของนางมียศสูง นางจึงเคยจินตนาการไว้ว่าอาจจะได้ออกเรือนกับแทฮวางจา[2] หรือฮวางจา[3] แต่ว่าเมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ นางก็ลืมเลือนความฝันเหล่านั้นไปนานแล้ว นางคิดแค่ว่าตนคงจะได้แต่งงานกับตระกูลที่มีอำนาจเท่าเทียมกันเพื่อสืบทอดตระกูล เหมือนกับบุตรสาวคนอื่น ทว่าอยู่ๆ องค์จักรพรรดิก็เรียกตนเข้าพบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ยอมินที่มักจะแยกแยะถูกผิดและระมัดระวังในทุกเรื่อง ในที่สุดก็พยักหน้ากับคำตอบของพ่อตน
——
[1] กงชิน ข้าราชการที่ทำความดีความชอบต่อประเทศชาติ
[2] แทฮวางจา ลูกของพี่น้ององค์จักรพรรดิ
[3] ฮวางจา พระราชโอรส