บทที่ 873 : โชคชะตา!
  เงียบสนิท!เงียบอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้!
  เพียงไม่ถึงครึ่งนาที..ภายในห้องจัดเลี้ยงทั้งห้องก็กลับกลายเป็นเงียบสนิท และแทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของลมหายใจ แต่ได้ยินเฉพาะเสียงกลืนน้ำลายกันอึกใหญ่!
  บางคนถึงกับหยิกหูตัวเองบางคนก็ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากร่าง และบางคนก็นิ่งอยู่ในท่ายืนรินไวน์ด้วยความตกตะลึง จนไวน์ไหลออกมาล้นแก้วแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว..
  ในงานเลี้ยงมีคนมากกว่าหนึ่งร้อยคน..หลิงหยุนจะให้เงินตอบแทนน้ำใจเพื่อนๆทุกคน คนละห้าแสนหยวนอย่างนั้นหรือ! นี่พวกเขาหูฝาดไป หรือว่าหลิงหยุนพูดผิดกันแน่?!
  ไม่มีใครได้ยินว่าประโยคสุดท้ายนั้นหลิงหยุนพูดอะไรเพราะทุกคนได้แต่ตกตะลึง และอยู่ในอาการหูอื้อตาลายตั้งแต่ที่ได้ยินหลิงหยุนพูดว่าจะให้เงินกับทุกคนคนละห้าแสนแล้ว!
  “ชิบหายแล้ว!”
  ถังเมิ่งที่กำลังโทรหาถังเทียนห่าวอยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินคำประกาศของหลิงหยุนบนเวที ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ และแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันที!
  ผู้อำนวยการถังเทียนห่าวที่อยู่ปลายสายเมื่อได้ยินลูกชายตัวเองสบถใส่โทรศัพท์ ก็ลุกขึ้นร้องตะโกนถามอย่างโมโห
  “แกว่าใครเจ้าลูกชั่ว”
  ภายในห้องจัดเลี้ยง..เสี่ยวเม่ยหนิงที่นั่งอยู่โต๊ะตรงกลางห้อง ก็ถึงกับตกใจจนริมฝีปากบางแดงนั้นอ้ากว้างออกอย่างไม่อยากจะเชื่อ! และได้แต่คิดในใจว่าตอนนั้นแค่แท๊กซี่แค่ไม่กี่สิบหยวน หลิงหยุนยังขี้เหนียว และเกี่ยงให้เธอเป็นคนจ่าย แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับจะมาแจกเงินให้กับทุกคนอย่างนั้นหรือ!
  นี่คือหลิงหยุนคนเดียวกับที่บังคับให้เธอขึ้นค่ารักษาพยาบาลที่คลีนิคสามัญชนเป็นสามแสนหยวนจริงๆงั้นหรือ!
  เสี่ยวเม่ยหนิงยังจำได้ดีกว่า
  เสี่ยวเม่ยหนิงยังจำเรื่องนี้ได้แม่นยำว่า..ในวันที่หลิงหยุนบีบให้ทุกคนต้องขึ้นค่ารักษาพยาบาลของคลินิกสามัญชนนั้น เขาให้เหตุผลว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิตในแบบของตัวเอง และการรักษาฟรีโดยไม่คิดเงินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง!
  และครั้งนั้นหลิงหยุนถึงกับแสดงความโกรธเกรี้ยวกับเธอ!
  แต่วันนี้หลิงหยุนเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง!
  หลังจากที่นิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่..ผู้คนในห้องต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน และเสียงก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็ถามกันไปมาเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองนั้นหูไม่ได้ฝาดไปที่ได้ยินว่าหลิงหยุนจะให้เงินทุกคนคนละห้าแสนหยวน!
  หากคูณเงินห้าแสนหยวนกับจำนวนคนที่มากกว่าร้อยในห้องจัดเลี้ยงก็จะเป็นจำนวนเงินที่สูงถึงห้าสิบกว่าล้านเลยทีเดียว นี่มันเป็นเงินจำนวนเงินที่มากมายมหาศาล!
  เงินจำนวนห้าแสนหยวนนั้น..ไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อยเลย! สามารถใช้จับจองบ้านในเขตพื้นที่พลเมืองชั้นสองและชั้นสามได้เลย หรือไม่ก็สามารถซื้อรถดีๆสักคันได้ มันคือรายได้ของคนธรรมดาๆ รวมกันเกือบหกปีเลยทีเดียว
  “ฉันไม่รับเงินของนายหรอกหลิงหยุน!จู่ๆจะให้พวกเรารับเงินนายแบบนี้.. มันไม่แฟร์!”
  “ฉันก็ไม่รับเหมือนกัน..พวกเราไม่ได้ช่วยอะไรนายเลย แถมยังได้อยู่โรงแรมหรูหราระดับห้าดาวฟรีๆ แล้วยังจะกล้ารับเงินของนายอีกเหรอหลิงหยุน!”
  “ใช่ๆพวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อเงิน แต่เรามาเพื่อเพื่อนของเรา!”
  …………
  อำนาจของเงินจำนวนห้าแสนหยวนนั้น..ทำให้ญาติกลับกลายเป็นศัตรูมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ทำให้พี่น้องต้องทะเลาะกันเอง แล้วก็ยังทำให้คู่รักไม่รู้กี่คู่ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง..
  และภายในห้องจัดเลี้ยงเวลานี้ก็มีเพื่อนๆของหลิงหยุนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนแม้ว่าทุกคนจะมาจากครอบครัวที่แตกต่างกัน บ้างก็ร่ำรวยมาก บ้างก็มีฐานะปานกลาง และบางคนก็มีฐานะยากจน แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่อยากจะได้ของเงินของหลิงหยุน!
  ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ในห้องจะไม่ชื่นชอบเงินตรงข้าม.. ทุกคนล้วนชื่นชอบเงินมากด้วยต่างหาก! แต่พวกเขาต่างก็มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือเป็นกำลังใจให้กับหลิงหยุน!
  แต่ก็นับว่าทุกคนนั้นฉลาดไม่เบาเพราะในโอกาสที่ดีเช่นนี้ คงจะไม่มีใครยอมฉีกหน้าตัวเองด้วยการยอมรับเงินห้าแสนหยวนอย่างแน่นอน!
  ในที่สุดฉางตงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับโบกมือให้เพื่อนๆในห้องนั่งลงและอยู่ในความสงบ จากนั้นใบหน้าที่แดงก่ำนั้นก็หันไปพูดกับหลิงหยุน
  “หลิงหยุน..นายฟังนะ! พวกเรามาที่นี่เพราะรู้ข่าวเรื่องการสอบเอนทรานซ์ที่เกิดขึ้นกับนาย พวกเรารู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับนาย ก็เลยพากันมาที่นี่เพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนาย แต่พวกเราก็มาช้าไป และไม่ได้ช่วยเหลืออะไรนายเลย! แต่ดูเหมือนว่าจะมาสร้างปัญหาเพิ่มให้กับนายซะมากกว่า..”
  ฉางตงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “เพียงแค่คำขอบคุณของนายก็เพียงพอแล้ว และพวกเราก็ขอรับไว้! แต่เรื่องเงินนั้น พวกเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ และถ้าพวกเรารับไว้ ต่อไปพวกเราจะมองหน้ากันได้ยังไง! มิตรภาพของพวกเรามีค่าแค่ห้าแสนหยวนอย่างงั้นเหรอ?!”
  “ใช่..พูดได้ถูกต้อง!”
  คำพูดของฉางตงนั้นสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนๆในห้องและได้รับเสียงปรบมือจนดังสนั่นหวั่นไหว..
  “คืนนี้..พวกเราได้กลับมารวมตัวกัน ร่วมดื่มกินด้วยกันอีกครั้งหลังจากสอบเสร็จในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวแบบนี้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก็มากพอแล้ว! ฮ่า.. ฮ่า..”
  ท้ายที่สุด..ฉางตงก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขาก็เลยหัวเราะแล้วก็นั่งลงไป
  หลิงหยุนยืนฟังอยู่บนเวทีโดยไม่พูดอะไรและเมื่อฉางตงนั่งลงแล้ว เขาจึงถามขึ้นยิ้มๆ “นายพูดจบแล้วใช่มั๊ย”
  “ถ้าจบแล้วก็ถึงคราวฉันพูดบ้าง!”novel-lucky
  หลิงหยุนมองไปทางหนิงหลิงยู่และขอให้เธอขึ้นมาบนเวที เมื่อหนิงหลิงยู่มายืนอยู่ข้างกายแล้ว หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า
  “ทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของฉันกับน้องก็เคยยากจนมาก่อน..”
  “และฉันเชื่อว่าในที่นี้คงไม่มีใครจะรู้จักคำว่า‘ยากจนข้นแค้น’ ดีไปกว่าฉันกับหลิงยู่อีกแล้ว! พวกเรารู้ดีว่าความจนบีบบังคับให้เราทำอะไรได้บ้าง”
  หลิงหยุนพูดต่อ..“แต่สิ่งเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และฉันก็ไม่ต้องการจะพูดถึงอีก! แต่ตอนนี้ฉันมีเงินมากมาย สำหรับเงินจำนวนห้าสิบล้านในสายตาของฉันเวลานี้ มันคือจำนวนเงินที่น้อยมาก.. น้อยมากจริงๆ!”
  “เงินห้าสิบล้านหากอยู่ในมือของฉันอาจจะไม่มีค่าอะไร!แต่ถ้ามันได้ไปอยู่ในมือของทุกคนในห้องนี้ มันก็จะสามารถพลิกชะตาชีวิตของทุกคนได้!”
  “และโชคชะตาก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้!”
  “เงินจำนวนห้าแสนหยวนไม่ได้ทำให้ทุกคนกลายเป็นคนร่ำรวยได้ภายในข้ามคืนและไม่สามารถให้ทุกคนมีกินมีใช้ไปจนตลอดชีวิต แต่มันสามารถทำให้ทุกคนเรียนจบได้อย่างสบายโดยไม่มีความกังวลใจใดๆ”
  “เชื่อฉัน!นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก..”
  “ที่ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากจะอวดว่าตนเองร่ำรวยมั่งคั่งฉันไม่ได้อวดร่ำอวดรวย เพราะนั่นมันเป็นเรื่องที่น่าอายเกินไป..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ยืนยันมั่นคง“แม้ว่าวันนี้ทุกคนจะไม่ได้ช่วยอะไรฉัน แต่การที่ทุกคนฝ่าพายุฝนมาถึงที่นี่ มันก็ควรค่าแก่เงินห้าแสนหยวนที่ฉันจะมอบให้แล้ว!”
  “ฉันขอย้ำว่าฉันไม่เดือดร้อนเงินและไม่ได้อวดร่ำอวดรวย แต่ทุกคนต้องเชื่อฉัน.. เงินจำนวนนี้จะทำให้ทุกคนได้เรียนจบอย่างสบายใจ!”
  “ฉันอยากจะบอกกับทุกคนว่า..เวลานี้ถังเมิ่งกำลังจะก่อตั้งกลุ่มบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นขึ้นมา และกลุ่มบริษัทเทียนตี้ก็จะครอบคลุมไปทั่วธุรกิจแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ยาและเวชภัณฑ์ เหล็ก น้ำมัน โรงแรม การขนส่ง แล้วก็อื่นๆอีกมากมย
  ฉันรับรองว่าหลังจากที่ทุกคนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลุ่มบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นนี้ จะมีตำแหน่งรองรับทุกคนอย่างแน่นอน!
  “และขอให้ทุกคนก็มั่นใจได้ว่ากลุ่มบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของเราจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบริษัทชั้นนำของโลกอย่างแน่นอน!”
  ……..
  ที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงถังเมิ่งที่เพิ่งกลับมาจากคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็กำลังยืนฟังหลิงหยุนพูดอย่างมีความสุข และได้แต่แอบคิดในใจว่า
  ‘เงินยังไม่ทันออกจากกระเป๋าพี่หยุนก็สามารถซื้อใจคนทั้งห้องได้แล้ว! นี่เป็นวิธีการเตรียมสรรหาบุคลากรเข้าทำงานในบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นได้อย่างชาญฉลาด!’
  นี่มันไม่ใช่การสูญเสีย..แต่คือการลงทุนในการฝึกอบรมอย่างหนึ่งของบริษัทต่างหาก!
  “เอาล่ะ..ทุกคนตอบฉันมาหน่อยว่าหลังจากจบมหาวิทยาลัยแล้ว ทุกคนอยากจะมาทำงานกับบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของฉันมั๊ย”
  เสียงที่ตอบกลับมานั้นดังสนั่นหวั่นไหวเป็นเสียงเดียวกัน“แน่นอน!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามต่อว่า“ถ้างั้นทุกคนช่วยตอบฉันหน่อยว่า ถ้าฉันจะมอบเงินห้าแสนหยวนให้กับทุกคน.. ทุกคนจะรับมั๊ย”
  หลิงหยุนอธิบายมาถึงขนาดนี้แน่นอนว่าทุกคนต้องตอบกลับเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอน “รับ!”
  หลังจากนั้นก็มีเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยง..
  เงินห้าสิบล้านหยวนซื้อใจคนร้อยคน..ต่อให้พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนเก่ง และมีพรสวรรค์ทั้งหมด แต่อย่างน้อยหลิงหยุนก็เชื่อว่าทุกคนจะเป็นเสมือนราก และสามารถตายเพื่อหลิงหยุนได้!
  เพราะเมื่อใดก็ตามที่บริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นก่อตั้งขึ้นก็จะมีทรัพย์สินมูลค่านับหลายพันล้าน หลิงหยุนจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่เก่ง และไว้ใจได้จำนวนมาก เพื่อที่จะให้องค์กรเติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคงในวันข้างหน้า
  “เอาล่ะ..พวกเรามากินมาดื่มกันให้มีความสุขได้แล้ว!”
  พูดจบหลิงหยุนก็โอบไหล่หนิงหลิงยู่พาเดินลงจากเวทีไป..
  “นี่พี่หลิงหยุน..พี่กลายเป็นคนดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
  หลิงหยุนได้แต่มองหน้าเสี่ยวเม่ยหนิงที่เอ่ยถามขึ้นอย่างหงุดหงิดที่เห็นหลิงหยุนใจกว้างเป็นแม่น้ำเช่นนี้
  แต่เวลานี้หลิงหยุนมีความสุขมากเกินกว่าจะมาสนใจคำพูดประชดประชันของเด็กสาวตัวแสบเขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ
  “หนิงน้อย..โมโหมากๆเดี๋ยวหน้าเหี่ยวหมดนะ!”
  เด็กสาวตัวแสบกลัวเรื่องหน้าเหี่ยวมากจึงรีบคลายสีหน้าที่บึ้งตึงลงทันที ทำให้เกาเฉินเฉิน หลงหวู่ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และคนอื่นๆในโต๊ะถึงกับยิ้มออกมา
  ความจริงแล้วสิ่งที่หลิงหยุนพูดอยู่บนเวทีนั้นมีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงของชีวิตเขาเอง!
  ซึ่งเรื่องนั้นก็คือเรื่องของโชคชะตา!
  สามารถกลับมาเกิดใหม่ในโลกใบนี้..สามารถก้าวหน้าได้อย่างอัศจรรย์.. สามารถสอบเอนทรานซ์ได้.. และสามารถได้รับกำลังใจจากเพื่อนมากมายเช่นนี้ ทุกอย่าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของโชคชะตา!
  และหากหลิงหยุนไม่ยอมรับโชคชะตาที่เกิดขึ้นและไม่มีจิตใจที่แน่วแน่ดั่งหินผา ก็คงยากที่จะผ่านโชคชะตาที่ราวกับเป็นบททดสอบในชีวิตไปได้!
  จู่ๆเจี่ยเมิ่งก็เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หยุน.. ฉันขอถือโอกาสนี้ขอโทษพี่จากใจจริง!”
  หลิงหยุนลุกขึ้นตบไหล่เจี่ยเมิ่งเบาๆพร้อมกับตอบไปว่า “มันผ่านไปแล้ว.. นายไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก!”
บทที่ 874 : จุดจบของนักฆ่า!
  เกือบจะเที่ยงคืนแล้วแต่ฝนในเมืองจิงฉูก็ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง และเมืองทั้งเมืองก็ปกคลุมไปด้วยม่านสายฝน
  บนถนนในเมืองจิงฉูเวลานี้มีน้ำเจิ่งนองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง บางแห่งมีน้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า บางแห่งก็ท่วมถึงน่อง..
  เนื่องจากเมืองจิงฉูนั้นอยู่ในเขตของมณฑลเจียงหนานซึ่งมีฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนจึงมีการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงพายุฝนที่จะรุนแรงในช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี จึงได้มีการก่อสร้างระบบการระบายน้ำไว้ค่อนข้างดีมาก และหลี่ยี่เฟิงในฐานะเลขาธิการของคณะกรรมการดูแลเมืองจิงฉู ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องระบบระบายน้ำของเมืองจิงฉูอย่างมาก ทำให้เมืองจิงฉูไม่ต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยครั้งใหญ่อีก
  น้ำตามท้องถนนในเมืองจิงฉูนั้นท้ายที่สุดต่างก็หลั่งไหลลงสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันซึ่งก็คือแม่น้ำจิงฉูที่อยู่ทางตอนเหนือของเมือง..
  และนี่คือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำจิงฉูสูงขึ้นอย่างรวดเร็วคลื่นในแม่น้ำซัดกระทบฝั่งดังครืนๆ ราวกับเสียงมังกรที่คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว..
  แม่น้ำจิงฉูนั้นเป็นแม่น้ำที่หลายคนต่างก็รู้จักกันดี และอยู่ทางตอนเหนือของเมือง และไหลผ่านเมืองจิงฉูทางด้านตะวันตกไปตะวันออกผ่านเข้าสู่เขตหลินเจียง
  เขตเศรษฐกิจหลักของเมืองจิงฉูนั้นตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของฝั่งแม่น้ำจิงฉูมาแต่โบร่ำโบราณแต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ประเทศจีนมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย และมณฑลเจียงหนานก็รวมอยู่ในแผนพัฒนาประเทศครั้งนี้ด้วย
  ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เจริญเติบโตอย่างมาก ในเมืองจิงฉูก็มีโครงการใหญ่ๆขึ้นมากมาย และยังได้รับเลือกให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจอีกด้วย
  แต่จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติในช่วงยี่สิบปีนั้นมณฑลเจียงหนานจึงได้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเมืองจิงฉูนั้นก็มีอสังหาริมทรัพย์ผุดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนเหนือของแม่น้ำจิงฉู
  และด้วยเหตุนี้หลี่ยี่เฟิงที่เพิ่งจะเข้ามารับหน้าที่บริหารจัดการเมืองจิงฉูนั้น ก็มีแนวคิดที่จะพัฒนาเมืองจิงฉูในระยะยาว ด้วยการสร้างเมืองใหม่ขึ้นในเขตหลินเจียง..
  เมืองใหม่หลินเจียงนั้นก็คือเขตหลินเจียงเดิมทั้งหมดรวมถึงพื้นที่บางส่วนที่ได้ขยายออกไปทางด้านเหนืออีกราวสิบห้ากิโลเมตร และเมื่อรวมพื้นที่ทั้งหมดของเมืองใหม่หลินเจียงแล้วก็จะมีเนื้อที่ราวแปดร้อยตารางกิโลเมตร
  ปัจจุบันนี้เมืองใหม่หลินเจียงนั้นก็ได้เริ่มลงมือก่อสร้างบ้างแล้ว และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง มีทั้งห้างร้านขนาดใหญ่ และขนาดกลาง รวมทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล แล้วก็อื่นอีกมากมายที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว แม้กระทั่งอาคารสำนักงานต่างๆก็ทยอยเสร็จแล้วเช่นกัน และพนักงานบางส่วนก็ได้ย้ายเข้ามาทำงานบ้างแล้วเช่นกัน
  การจะเป็นนักธุรกิจที่เก่งได้นั้นจมูกต้องไว และหูตาต้องกว้างไกล! ดังนั้นพื้นที่กว่าแปดร้อยตารางกิโลเมตรนี้ ในวันข้างหน้าจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศจีนเช่นเดียวกับเมืองฮู๋ตง!
  และแทบไม่ต้องสงสัยว่าหากเมืองใหม่หลินเจียงแห่งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ ก็จะกลายเป็นผลงานที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งของหลี่ยี่เฟิงเลยทีเดียว!
  ยังมีพื้นที่ราวหนึ่งร้อยยี่สิบไร่ซึ่งอยู่ทางด้านริมฝั่งแม่น้ำจิงฉูทางตอนเหนือยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ นับว่าเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม เรียกว่าเป็นทำเลทองเลยก็ว่าได้!
  และพื้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบไร่นี้ก็คือที่ดินที่หลี่ยี่เฟิงมอบให้หลิงหยุนเป็นของขวัญวันเปิดคลินิกสามัญชน เพื่อให้หลิงหยุนใช้สร้างเป็นศูนย์วิจัยยานั่นเอง!
  หลี่ยี่เฟิงนั้นลงมือทำงานอย่างรวดเร็วเขาทำการอนุมัติการก่อสร้างทันทีที่ได้รับงบประมาณจากทางรัฐบาล และได้ลงมือก่อสร้างไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
  ความจริงแล้วหลิงหยุนจะต้องเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างด้วยตนเองแต่เขายุ่งอยู่กับการฝึกฝน และภารกิจต่างๆมากมาย แล้วจะมีเวลาได้อย่างไรเล่า
  เวลานี้พื้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบไร่ได้เริ่มลงมือก่อสร้างไปบ้างแล้วและเริ่มมีร่องรอยของการก่ออิฐเทปูนให้เห็น
  ภายในพื้นที่มีเพิงที่พักชั่วคราวอยู่ด้วยและหากใครได้พบเห็นก็ต้องมองออกว่ามันคือที่แคมป์ที่พักของคนงานก่อสร้าง
  ภายใต้แสงไฟสลัวในเพิงพักพิงชั่วคราวนั้นมีคนงานก่อนสร้างอยู่ราวเจ็ดถึงแปดคน ส่วนใหญ่ไม่สวมเสื้อ มีเพียงไม่กี่คนที่สวมเสื้อยืดราคาถูก กำลังนั่งล้อมวงอยู่ที่พื้นเล่นไพ่กันอยู่
  “ตองเก้า..ฉันชนะ!”novel-lucky
  เสียงร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นนั้นดังมาจากชายร่างสูงที่ไม่สวมเสื้อเผยให้เห็นผิวเข้มเป็นมัน ซึ่งเป็นผู้ชนะพนันด้วยจำนวนเงินสองร้อยหยวน
  คนที่แพ้คือหัวหน้าคนงานร่างเล็กอายุราวสามสิบห้าหรือสามสิบหกปีเพียงแค่เหลือบมองก็จะเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งบ่งบอกว่าผ่านการทำงานหนักมานานหลายปี
  คืนนี้โชคของเขาไม่ดีนักเขาเสียเงินไปกับการพนันถึงสองร้อยหยวน และนั่นเป็นค่าแรงของเขาถึงสองวัน!
  เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างกำยำหยิบเงินสองร้อยหยวนไปด้วยความภาคภูมิใจสีหน้าของหัวหน้าคนงานก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสลด เขาหันไปมองเตียงไม้ที่อยู่หน้าประตู แล้วตะโกนเรียกชายที่นอนอยู่บนเตียง
  “หลี่เจิ้น..นี่แกจะนอนกกไข่อยู่บนเตียงหรือยังไง จะเล่นหรือไม่เล่น?”
  หลี่เจิ้นที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูๆไปก็เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเป็นคนโง่ๆซื่อๆ
  หลี่เจิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า“หัวหน้าหวัง.. ฉันเล่นไพ่ไม่เป็นจริงๆ!”
  หัวหน้าหวังมองด้วยแววตาไม่พอใจเขาลุกขึ้นตบโต๊ะพร้อมกับตะโกนใส่หลี่เจิ้น “ไม่เป็นบ้าอะไรกัน! แกมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้ว ทุกวันก็นั่งดูพวกเราเล่นไพ่ ยังจะบอกว่าเล่นไม่เป็นอีกเหรอ?!”
  หลี่เจิ้นนิ่งเงียบไปอีกครั้งเขายังคงไม่ลุกจากเตียง และตอบไปว่า “หัวหน้าหวัง.. ฉันเล่นไม่เป็นจริงๆ แต่ต่อให้เล่นเป็นฉันก็ไม่มีเงินเล่นอยู่ดี!”
  หลี่เจิ้นตอบไปตามความจริงเขาต้องใช้เงินห้าร้อยหยวนในการซื้อของใช้จำเป็นในแต่ละเดือน ซึ่งหัวหน้าหวังก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยังพูดอย่างไม่สนใจอะไร
  “แต่แกก็เพิ่งจะได้รับเงินค่าจ้างห้าร้อยหยวนไปเมื่อวานนี้นี่ยังไม่ได้ซื้ออะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมยังบอกว่าไม่มีเงินอีก?”
  ทุกคนในเพิงต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังออกมาและรู้ดีว่าหัวหน้าหวังจงใจที่จะหาเรื่องหลี่เจิ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะช่วย นั่นเพราะหลี่เจิ้นดูเป็นคนซื่อๆ และมักจะถูกรังแกข่มเหงอยู่เสมอ..
  หลี่เจิ้นตอบเสียเบา“หัวหน้าหวัง.. แต่เงินนี้ฉันต้องเก็บไว้ซื้อของใช้ที่จำเป็น..”
  หัวหน้าหวังฟังแล้วก็ได้แต่โมโห“แกอย่างมาเพ้อเจ้อ.. เงินค่าจ้างออกตั้งแต่เมื่อวาน ฉันชวนแกไปดื่ม แกก็ไม่ไป วันนี้ชวนแกเล่นไพ่ แกก็ไม่เล่น แกจะเก็บเงินไว้ให้มันเน่าหรือยังไง”
  หลี่เจิ้นนิ่งเงียบไม่พูดอะไรและเอาแต่จ้องมองปฏิทินบนเตียงอยู่เงียบๆ!
  และการดื้อเงียบเช่นนี้ของหลี่เจิ้นก็ยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหของหัวหน้าหวังมากขึ้น เขาสะกิดคนงานรอบตัวให้เดินตามมา และตรงเข้าไปหาหลี่เจิ้นที่เตียง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปคว้าปฏิทินบนเตียงโยนออกไปนอกประตูพร้อมกับพูดเสียงดัง
  “นี่..วันๆ ฉันเห็นแกเอาแต่นั่งจ้องปฏิทิน หน้ามันเหมือนเมียแกรึงไง ลุกขึ้นไปเล่นไพ่เดี๋ยวนี.. เร็วเข้า!”
  หลี่เจิ้นมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของหัวหน้าหวังด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “หัวหน้าหวัง..พรุ่งนี้ฉันจะไปจากที่นี่แล้ว! ฉันหวังว่าพวกเราจะจากกันด้วยดี!”
  หัวหน้าหวังมองแววตาที่เปลี่ยนไปของหลี่เจิ้นแต่เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้หลี่เจิ้นจะไปจากไซท์งานก่อสร้างนี้ เขาก็โกรธมาก และพูดออกมาอย่างโมโห
  “มิน่าล่ะวันนี้แกถึงไม่ยอมทำงาน!ที่แท้ก็ตั้งใจที่ไปจากที่นี่ แต่ใหนๆ ก็จะไปจากที่นี่แล้ว งั้นก็ลุกขึ้นมาเล่นไพ่เดี๋ยวนี้!”
  ระหว่างที่พูดนั้นหัวหน้าหวังก็เอื้อมมือออกไป เพื่อจะไปคว้าแขนของหลี่เจิ้นกระชากขึ้นมาจากเตียง และร้องตะโกนว่า
  “ถ้าแกจะไปจากที่นี่จริงๆก็ต้องทิ้งเงินห้าร้อยหยวนไว้ที่นี่!”
  เมื่อเห็นหัวหน้าหวังยื่นมือมาหมายจับแขนของตนเองหลี่เจิ้นที่อยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ก็รีบยื่นมือไปคว้าข้อมือของหัวหน้าหวังไว้ และบิดทันที..
  “หัวหน้าหวัง..นี่มันเกินไปแล้ว!”
  หัวหน้าหวังรู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือราวกับถูกทุบด้วยท่อนเหล็ก และรู้สึกชาไปทั้งแขน!
  หัวหน้าหวังถึงกับตกใจสุดขีด..หลี่เจิ้นที่ดูหน้าตาโง่ๆซื่อๆ แต่กล้าที่จะตอบโต้เขา และคิดไม่ถึงว่าหลี่เจิ้นจะแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้!
  “นี่แก..แกกล้าทำร้ายฉันเหรอ” หัวหน้าหวังร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห
  “อะไรนะ!มันกล้าทำร้ายหัวหน้าหวังเชียวเหรอ?!”
  คนงานทั้งหมดเจ็ดแปดคเมื่อได้ยินว่าหัวหน้าหวังถูกทำร้ายก็พากันกรูเข้ามาที่เตียงของหลี่เจิ้นทันที สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกว่าต้องการเอาเรื่องหลี่เจิ้นเต็มที่..
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งเป็นฝ่ายชนะพนันถึงกับร้องตะโกนเสียงดัง “นี่แกกล้าทำร้ายพี่หวังเหรอ นี่แกคงเบื่อชีวิตมากจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!”
  เวลานี้หลี่เจิ้นถูกชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนล้อมเตียงไว้หมดแต่เขากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เฉยชา
  “ฉันยังไม่เบื่อชีวิตหรอกแล้วก็ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ!”
  “แกมันรนหาที่ตายชัดๆจัดการกับมัน!”
  ชายร่างกำยำอารมณ์ร้อนร้องสั่งทุกคนให้จัดการกับหลี่เจิ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ยะโสโอหังของหลี่เจิ้น..
  สิ้นเสียงพูดของชายร่างกำยำหลี่เจิ้นก็ยกเท้าขวาถีบเข้าใส่ที่ต้นขาของมันจนทรุดถอยกรูดออกไป
  “โอ๊ย..”
  สิ้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดร่างของชายกำยำก็ถอยหลังลงไปกองกับพื้นทันที!
  แต่หลี่เจิ้นไม่หยุดเพียงแค่นั้นเขาจับแขนขวาของหัวหน้าหวังบิดเบาๆ ก่อนจะผลักร่างของเขาจนกระเด็นออกไป!
  หลี่เจิ้นอาศัยจังหวะชุลมุนนี้ผลักร่างของชายฉกรรจ์อีกสามคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงจนล้มไปกองกับพื้น แล้วลุกขึ้นยืน..
  ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีคนงานห้าคนก็ร่วงลงไปกองกับพื้น และที่เหลืออีกสามต่างก็นิ่งไปด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรอีก
  “นี่มัน..”
  หลี่เจิ้นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาลุกขึ้นโน้มตัวหยิบเสื้อคลุมออกมาใส่ และสวมรองเท้าคู่เก่าของตนเอง
  “หัวหน้าหวัง..ยังไงก็ต้องขอบคุณที่ให้งานและที่พักพิงกับฉัน สำหรับเรื่องในวันนี้ของเราสองคน ถือว่าไม่มีอะไรต่อกันแล้ว!”
  และด้วยอาชีพของหลี่เจิ้น..การที่เขาไม่ฆ่าหัวหน้าหวังนั้น ก็นับว่าเป็นการจบที่เป็นผลดีต่อหัวหน้าหวังอย่างมาก
  พูดจบหลี่เจิ้นก็เหลือบมองไปทางประตูท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักนั้น ไม่รู้ว่าใครอีกคนมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
  “สามเดือนแล้วสินะ!”
  “ใช่!”
  “ไปกันได้แล้ว!”
  “อืมม!”
  หลังจากที่หลี่เจิ้นกับผู้ที่มาใหม่ยืนคุยกันสองสามคำทั้งคู่ก็เดินฝ่าสายฝนไปอย่างสงบ และเพียงไม่นานทั้งสองคนก็หายวับไปท่ามกลายสายฝนในยามค่ำคืน
  หลิ่เจิ้นนั้นเมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้ก็คือนักฆ่าสายเหลืองขององค์กรนักฆ่าที่ลอบสังหารหลิงหยุนล้มเหลวนั่นเอง!
  ทั้งคู่ก็คือหลี่ยี่กับเจียวเฟย!