“อะไรนะ ร่างกายไร้เทียมทานเหรอ?”

 

ในตอนที่เฉินเฉินเห็นบาดแผลทำการรักษาโดยอัตโนมัติ ตอนแรกเขาเสียใจแต่หลังจากที่ได้ยินผู้อาวุโสสำนักอสูรทั้งสองอุทาน เขาก็ตกตะลึง

 

‘การที่ร่างกายของข้ารักษาตัวเองได้โดยอัตโนมัติมันพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ?’

 

เมื่อเห็นว่าสีหน้าตกใจของเฉินเฉินดูเหมือนจะเป็นของจริง สีหน้าของผู้อาวุโสสำนักอสูรทั้งสองก็ดูซับซ้อนมาก

 

มี 36 สาขาอยู่สำนักอสูรของรัฐโจว อย่างไรก็ตาม นอกจากสาขาที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ สาขาอื่นๆนั้นชั่วร้ายหมด

 

มีแค่สาขาแรกที่เป็นสายขัดเกลาร่างกายเท่านั้นที่เป็นวิถีที่เหมาะสมซึ่งสามารถทำให้คนไปถึงระดับสูงสุดที่สามารถเทียบกับวิถีความเป็นอมตะได้

 

โดยการขัดขืนวิถีสวรรค์ด้วยกายเนื้อและฝึกปรือจนอยู่เหนือชีวิตและความตายนั้นก็คือหนทางของสายมาร

 

ร่างกายไร้เทียมทานก็เป็นหนึ่งในร่างกายที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับการขัดเกลาร่างกาย

 

เนื่องจากความจริงที่ว่าการขัดเกลาร่างกายนั้นเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดและทรมานอย่างเหลือเชื่อ การที่ร่างกายถูกทำลายในระหว่างกระบวนการจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

 

ในตอนที่ร่างกายของคนธรรมดาพยายามที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย พวกเขาอาจจะตายด้วยสภาพที่โหดร้ายถ้าพวกเขาไม่ระวัง

 

อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องยากมากที่ร่างกายไร้เทียมทานจะถูกทำลายเพราะมีการฟื้นฟูที่ทรงพลังมาก อันที่จริง มันยังสามารถใช้วิชาขัดเกลาร่างกายต้องห้ามเพื่อให้ได้รับร่างกายสุดยอดอสูรและไปถึงขั้นอมตะได้ในที่สุด!

 

“เจ้าหนุ่ม กลับไปที่สำนักอสูรกับพวกเราเถอะ”

 

ผู้อาวุโสสำนักอสูรคนนึงพูด

 

แม้ว่าเขาจะมาจากสาขาสองของสำนักอสูรรัฐโจว แต่สำนักอสูรรัฐโจวนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันและแน่นอนว่าพวกเขาต้องพาคนที่มีร่างกายแบบนี้ไป

 

“เอ๊ะ? แต่จุดตันเถียนของข้าถูกทำลายไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้าคงไม่สามารถฝึกตนได้หรอกครับ” เฉินเฉินสิ้นหวังเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาหวังให้พวกเขาปล่อยเขาไป

 

ผู้อาวุโสสำนักอสูรอีกคนส่ายหัวแล้วพูด “ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเรามีสาขาที่เจ้าสามารถฝึกตนได้โดยไม่ต้องใช้จุดตันเถียน”

 

“จริงเหรอครับ?” ดวงตาของเฉินเฉินเป็นประกายขึ้นมา

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ แน่นอนว่าเรื่องแรกที่เข้ามาในหัวของเขาก็คือจางจี

 

จุดตันเถียนของจางจีถูกลูกน้องของฉีปู่ฝานทำลายไปแล้ว และตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็ถูกกำหนดให้โดนตัดขาดจากหนทางแห่งเซียน ถ้าการฝึกตนโดยไม่ใช้จุดตันเถียนนั้นมีความเป็นไปได้ จางจีก็น่าจะสามารถฝึกตนต่อไปได้

 

มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนสายเซียนหรือผู้ฝึกตนสายมาร เฉินเฉินไม่ได้สนใจ เพราะเขารู้สึกว่าการที่สามารถมีชีวิตไปได้ตลอดกาลคือเป้าหมายสุดท้าย

 

“ข้าไม่ได้โกหกเจ้าหรอก เอาเถอะ เราจะรีบออกเดินทางโดยเร็วที่สุด พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสสำนักอสูรดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเพราะสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในขณะที่มีง้าวออกมาจากร่างกายของเขา

 

ผู้อาวุโสอีกคนแบกหยวนฉิงเทียนไปด้วยและไม่นานนัก ง้าวก็ลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วและพุ่งออกไปไกล

 

….

 

“ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องเดินทางไปสำนักอสูรสินะ”

 

ในขณะที่อยู่บนง้าว เฉินเฉินนั้นพูดไม่ออก ณ ตอนนี้ ร่างกายของเขาฟื้นฟูเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากเขามียอดฝีมือสองคนขนาบข้าง

 

ไม่อย่างนั้น เขาคงสามารถกลับมาอยู่ในสภาพที่เพียบพร้อมที่สุดได้ในเวลาหนึ่งนาที

 

“เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร?”

 

“จางเฉินครับ”

 

เฉินเฉินพูดชื่อปลอมออกมาโดยยืมนามสกุลของจางจีมาใช้

 

“ข้าขอเลือดของเจ้าซักหน่อยได้ไหม?”

 

“เอ่อ ได้ครับ”

 

เฉินเฉินไม่มีทางเลือกนอกจากยื่นแขนออกไป และมันก็ใช้เวลาไม่นานนักที่เขาจะปล่อยให้เลือดออกมาเล็กน้อย

 

และมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ผู้อาวุโสสำนักอสูรได้เอาเลือดของเขาให้หยวนฉิงเทียน

 

ไม่นานนัก ชิ้นส่วนที่ไหม้ตามร่างกายของหยวนฉิงเทียนก็เริ่มหลุดออกมา และเผยให้เห็นผิวหนังใหม่ข้างใต้

 

“เฉินเฉิน! ไอ้สารเลว!”

 

หยวนฉิงเทียนอุทานออกมาอย่างกะทันหัน สร้างความตกใจให้เฉินเฉินอย่างมาก

 

เมื่อเห็นฉากนี้ สายตาของผู้อาวุโสสำนักอสูรทั้งสองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่รู้จบ

 

พวกเขาไม่รู้เลยว่านายน้อยของพวกเขาต้องเจออะไรมาบ้าง หลังจากที่ทะเลแห่งจิตใต้สำนึกของเขาถูกทำลาย เขาก็ได้เหลือความทุกข์ใจเอาไว้

 

ในที่สุดสาขาที่ 2 ของสำนักอสูรรัฐโจวก็ได้เจอกับคนที่ฝึกวิชาซ่อนเร้นศักดิ์สิทธิ์ได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมาจบลงที่สถานการณ์เช่นนี้

 

 

ง้าวพุ่งผ่านเมฆด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อและพวกเขาก็ทิ้งห่างจากเมืองหลวงได้ในเวลาไม่นาน

 

ในช่วงกลางดึก พวกเขาบางส่วนได้ไปถึงชายแดนของรัฐจินแล้ว

 

ณ ตอนนี้ ใบหน้าของเฉินเฉินหม่นหมองอย่างเหลือเชื่อเพราะในตอนที่หยวนฉิงเทียนไม่ได้สติอยู่นั้น เขาสบถเฉินเฉินมาไม่ต่ำกว่า 180 ครั้งแล้วแต่ว่าเขาจะตะโกนประโยคเดียวกันในทุกๆครั้ง

 

‘ไอ้เวรนี่ รอไปก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะจัดการเจ้าซะ!”

 

เฉินเฉินสบถในใจในขณะที่ผู้อาวุโสสำนักอสูรที่อยู่ข้างๆดูหดหู่ในขณะที่พวกเขาพูดด้วยความเป็นห่วง “การบินครั้งแรกจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนส่วนใหญ่จะอาเจียนออกมาหลังจากที่บินเป็นเวลานานแต่เจ้าแค่ดูไม่ค่อยสบายตัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง นี่ต้องเกี่ยวกับร่างกายของเจ้าแน่ ๆ”

 

เฉินเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่เขาก็บ่นในใจต่อไป

 

‘ถ้าเจ้าสบถ 180 ครั้ง เจ้าก็คงดูไม่ดีเหมือนกันนั่นแหล่ะ!’

 

ท่ามกลางการสนทนาของพวกเขา พวกเขาบางส่วนก็ได้เข้าไปในรัฐโจว

 

หลังจากที่พวกเขาเข้ามาไม่นานนัก จำนวนคนของสำนักอสูรก็เริ่มเพิ่มขึ้น

 

พวกเขาทุกคนมาจากทุกสารทิศ และพวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาน่าจะหนีกลับมาจากเมืองหลวงของรัฐจิน

 

‘ครั้งนี้สำนักอสูรส่งคนไปมากแค่ไหนกันนะ?’

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ายังไง สำนักอสูรก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้ ครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแค่จะสังหารราชาองค์ใหม่ของรัฐจินได้ แต่ยังป้องกันไม่ให้สำนักอู๋ซินควบรวม 36 สำนักได้ด้วย

 

นี่คือเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับสำนักอสูร

 

ในขณะที่มองเมืองที่ผู้คนพลุกพล่านและรุ่งเรืองในรัฐโจวยามค่ำคืน เฉินเฉินก็รู้สึกทึ่ง

 

แม้ว่าจะมีสำนักอสูร ชีวิตของมนุษย์ที่นี่ก็ดูพอๆกับที่รัฐจินเลย

 

อันที่จริง มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ถ้าสำนักอสูรนี้ใช้วิธีการที่ช่วยร้ายทุกรูปแบบรวมทั้งการฆ่าและสังหารหมู่ทุกคนในเมือง ประเทศก็คงจะล่มสลายไปนานแล้ว

 

“ชาวรัฐโจวทุกคนนับถือเทพอสูร ถ้าเจ้าอยากเข้าร่วมสำนักอสูร เจ้าก็ต้องนับถือเทพอสูรเหมือนกัน”

 

ผู้อาวุโสสำนักอสูรที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยในขณะที่เขามองไปยังเมืองด้านล่าง

 

เฉินเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเขาควรเก็บคำพูดพวกนี้ใส่หัวรึเปล่า

 

หลังจากที่บินไปได้ซักพัก ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้นในขณะที่ยามรุ่งสางได้มาถึง

 

ในที่สุด ง้าวก็มาหยุดลงที่กลางเทือกเขา

 

เทือกเขาแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่รกร้างและพลังปราณที่นี่ก็ได้หมดลงไปแล้ว สภาพแวดล้อมรอบๆนั้นเลวร้าย แม้กระทั่งนกก็หายาก มันมีแค่อีกาหรือไม่ก็นกแร้งเท่านั้น

 

“ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของสำนักอสูร

 

ผู้อาวุโสสำนักอสูรแนะนำ

 

“สำนักงานใหญ่ของสำนักอสูรเหรอครับ?” เฉินเฉินรู้สึกใจหาย

 

เขาคิดว่าเขาจะถูกพาไปที่สำนักสาขาซักแห่ง แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะพาเขาตรงมาที่สำนักงานใหญ่ของสำนักอสูรเลย

 

ที่สำคัญที่สุด สำนักงานใหญ่มันดูโทรมเกินไป ในแง่ของสภาพแวดล้อมสำหรับใช้ชีวิตนั้น มันแย่ยิ่งกว่าหมู่บ้านหินซะอีก ไม่ต้องพูดถึงภูเขาเทียนหยุนเลย

 

“ผู้อาวุโสครับ ทุกคนในสำนักอสูรต้องใช้ชีวิตที่ยากลำบากแบบนี้เหรอ?” เฉินเฉินอดถามไม่ได้

 

ในช่วงเวลาแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่มือใหม่อย่างเขาจะถามคำถามแบบนี้ ถ้าเขาไม่ถาม มันก็คงดูน่าสงสัยแล้วล่ะ

 

“แก่นวิชาหลักก็คือการขัดเกลาร่างกาย และการขัดเกลาร่างกายก็ต้องมีสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นและโหดร้าย” ผู้อาวุโสสำนักอสูรตอบในขณะที่เขาพาเฉินเฉินบินตรงไปยังภูเขาที่สูงที่สุดที่อยู่ไกลๆ

 

หยวนฉิงเทียนเองก็ตามหลังมาโดยมีผู้อาวุโสสำนักอสูรอีกคนที่ดึงเขามาด้วย

 

“เพราะแบบนั้นนี่เอง”

 

เฉินเฉินตาสว่างแต่เขาก็รู้สึกทุกข์ใจ

 

‘บ้าจริง แล้วในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายแบบนี้จะมีสมบัติสวรรค์ไหมเนี่ย?’ ตั้งแต่แรกแล้วเขาคิดว่ามันเป็นโอกาสหายากที่เขาจะได้มาเยือนสำนักอสูร ดังนั้นเขาต้องเก็บของพิเศษของที่นี่แล้วเอาพวกมันกลับไปกับเขาด้วย

 

ในตอนที่เขาลงมาถึงยอดเขาที่สูงที่สุด เฉินเฉินก็ไม่ลังเลและเริ่มถามระบบ

 

เขาไม่ได้หวังอะไรมากนักสำหรับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงระวังคำพูดที่ใช้มาก

 

“ระบบ ในระยะ 30 เมตรรอบๆมีอะไรที่พอมีค่าบ้างรึเปล่า?”

 

“มีแร่เหล็กดาวตกศักดิ์สิทธิ์สองเมตรใต้เท้าของท่าน”

 

“ที่สิบสองเมตรทางซ้าย มีดอกไม้ภูตผีอายุ 10,000 ปีที่ทำให้เกิดภาพหลอนที่น่าหวาดกลัวทุกรูปแบบ

 

“สิบแปดเมตรทางขวา มีหญ้าหนามศักดิ์สิทธิ์อายุ 1,000 ปี หลังจากจับมันแล้ว วิญญาณของท่านจะอ่อนแอลงจนกระทั่งตายไป”

 

“ตรงไปข้างหน้าแปดเมตรและขึ้นไปข้างบนสามเมตร ท่านจะได้เจอกับเห็ดเวทมนตร์พลังงานแห่งความตายที่ดูดซับพลังงานแห่งความตายมาหนึ่งหมื่นปี ถ้าท่านเข้าไปใกล้อีกหน่อย อายุขัยของท่านจะลดลง”

 

 

เมื่อได้ฟังคำตอบของระบบ หางตาของเฉินเฉินก็กระตุก

 

‘สำนักอสูรนี่แตกต่างออกไปจริงๆ พวกเราปลูกสิ่งของที่ช่วยชีวิตแต่ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่มีฤทธิ์ถึงตายทั้งนั้น…’

 

ในตอนที่เขาอยู่ในสภาพพูดไม่ออก ระบบก็แจ้งเตือนอีกเรื่องนึงในหัวของเขา

 

“ท่านเจ้าของได้ใช้ระบบทั้งหมด 1,000 ครั้ง ท่านได้รับรางวัลเป็นโอกาสในการตรวจจับในระยะ 20,000 เมตร”