บทที่ 281 หนึ่งลูกศรหนึ่งสังหาร

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

แค่อสูรกลืนสวรรค์ขยับปากเพียงสามครั้ง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ทั้งสามก็หายไปจากโลกนี้ตลอดกาล

เมื่อเผชิญกับภาพเช่นนี้ นอกจากหลิงตู้ฉิงที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

สัตว์ประหลาดตัวนี้มาจากไหน? ทำไมมันถึงมีพลังมากขนาดนี้?

เป็นไปได้ไหมว่ามีใครบางคนเป็น ‘ผู้อัญเชิญ’ เรียกมันมา?

เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอสูรกลืนสวรรค์คือตัวอะไร พวกเขาจึงสามารถบอกได้ว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ปริศนาเท่านั้น

ทุกคนตื่นตะลึงกับความแข็งแกร่งของอสูรกลืนสวรรค์ ยกเว้นก็แต่จื่อคง

ในฐานะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตหลุดพ้นสามัญ ความสามารถของเขานั้นคือของจริง เมื่อเทียบกับจงขุยที่เป็นผู้ใช้อักขระเวทย์ขอบเขตสวรรค์ เขายังคงมีทักษะเหนือกว่าค่อนข้างมาก

ก่อนหน้าที่อสูรกลืนสวรรค์จะปรากฏตัวขึ้น จื่อคงนั้นกำลังรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมากเนื่องจากทุก ๆ อย่างกำลังเป็นไปตามแผนของเขาเป็นอย่างดี

จางหานและลูกชายของเขาที่กำลังสู้กับนกฟีนิกซ์อยู่นั้นก็กำลังได้เปรียบและในเวลาอีกไม่นานพวกเขาจะต้องเอาชนะนกฟีนิกซ์ตัวนี้ได้แน่นอน

และส่วนทางด้านของลูกชายเขา จื่อเซี่ยงที่กำลังปะทะกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์ ซึ่งแน่นอนว่าลูกชายของเขาไม่มีทางแพ้อยู่แล้วแน่นอน

สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือ กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นการรวมตัวกันของคนที่มาจากขุมกำลังที่แข็งแกร่งหลายสำนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะฆ่าคนพวกนี้อย่างบุ่มบ่าม เขาจึงตั้งใจว่าจะจับคนพวกนี้แบบเป็น ๆ แทน

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังมั่นใจว่าสามารถชนะได้ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที

ในตอนแรกเขาคิดว่าจะทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้การปรากฎตัวของอสูรกลืนสวรรค์ขนาดมหึมาได้ทำลายสถานการณ์ที่กำลังเป็นต่ออยู่โดยไม่คาดคิด

ลูกชายของเขาถูกกินโดยที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ด้วยความโกรธแค้นแน่นอนว่าเขาต้องการที่จะฆ่ามัน

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังคิดถึงวิธีการฆ่าอสูรกลืนสวรรค์อยู่ คู่พ่อลูกตระกูล จางก็ถูกกินไปทีละคน

จากพวกเขาทั้งสี่คนที่เปิดตัวมาอย่างผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา

แม้จะโกรธที่ลูกชายเขาถูกกิน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ และไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาจึงหันหลังกลับและบินจากไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้

เมื่อจื่อคงบินหนีไป จงขุยไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดเขาเพราะเขาเองก็กำลังตกใจกับพลังของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ตรงหน้า

ยิ่งไปกว่านั้นระดับการบ่มเพาะของจื่อคงสูงกว่าเขา เขาย่อมไม่สามารถหยุดจื่อคงได้แม้ว่าเขาจะต้องการทำเช่นนั้น

ครั้งนี้ ซือโถวเหวินหยวนไม่รอคำสั่งของหลิงตู้ฉิงเพื่อให้ไล่ตามจื่อคง อย่างไรก็ตามหากผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตหลุดพ้นสามัญต้องการจะหนี ความเร็วนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์จะสามารถตามทันได้ นอกจากนี้เพื่อที่จะหลบหนีไปตลอดชีวิต แน่นอนว่าจื่อคงไม่ได้บินกลับไปทิศทางที่คฤหาสน์ของเขาตั้งอยู่ แต่เขากลับหนีออกจากเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วใครจะไล่ตามเขาทันได้?

หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเรียบเฉย “เฟิง ยิงมัน”

เมื่อได้ยินคำสั่ง เสี่ยวเยว่เฟิงสะดุ้งตื่นจากอาการตกตะลึง จากนั้นนางจึงรีบเปิดใช้งานยันต์ผิวหยก ซึ่งมันก็ได้ดูดซับพลังวิญญาณของนางไปเป็นจำนวนมากเหมือนกับตอนที่ซือโถวเหวินหยวนเปิดใช้งานยันต์ของเขา

เมื่อยันต์ผิวหยกในมือของเสี่ยวเยว่เฟิงดูดพลังวิญญาณของนางไปจนเพียงพอแล้วมันก็แตกออก และธนูพร้อมกับลูกธนู 3 ดอกก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง

ทันทีที่ธนูปรากฏขึ้น นางไม่ได้ใส่ใจว่าพลังของมันจะมีมากสักเท่าไหร่ นางเพียงแค่ใช้ปากคาบลูกธนู 2 ดอกเอาไว้ พร้อมกับเหลือลูกธนูไว้ในมืออีกหนึ่งดอก จากนั้นนางง้างคันศร ส่งลูกธนูไปยังจื่อคงที่เห็นอยู่ไกลลิบ ๆ ทันที

จื่อคงที่บินห่างออกมาจากหมู่ตึกหยูอี่ได้เป็นระยะไกลพอสมควรแล้ว จู่ ๆ ร่างของเขาก็แข็งค้างอยู่กลางอากาศและค่อย ๆ ร่วงตกลงสู่พื้น

เมื่อเห้นเช่นนี้ เสี่ยวเยว่เฟิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางกลายร่างเป็นนกฟีนิกซ์อีกครั้งและรีบบินตรงไปยังจุดที่จื่อคงอยู่แล้วร่อนลงเก็บศพเขาขึ้นมา

เพียงไม่ถึงสองลมหายใจ ร่างของนกฟีนิกซ์ก็บินกลับมาพร้อมกับร่างของจื่อคงที่ตายไปแล้ว

ส่วนสภาพศพของจื่อคงที่กลางอกของเขามีรูกลวงโบ๋ขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งหากมองเข้าไปแล้วจะสังเกตเห็นได้ทันทีว่าหัวใจของเขาได้หายไปเรียบร้อย ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายของเขา

เหล่าผู้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างตกตะลึง ผู้เชี่ยวชาญที่จุดสูงสุดขอบเขตหลุดพ้นสามัญถูกฆ่าด้วยลูกธนูง่าย ๆ แบบนี้ไง?

จากระยะทางที่ไกลเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถซ่อนตัวได้ อีกอย่างเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเอียงตัวหลบเลยเหรอ?

“นายท่าน ธนูอันนี้…” เสี่ยวเยว่เฟิงเก็บร่างแท้ฟีนิกซ์ของนางและเดินมาที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง นางมองไปที่ธนูในมือของตัวเองและพูดไม่ออก

มันเป็นธนูยาวโบราณที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าระดับของมันอยู่ที่ระดับใด แต่ที่แน่ ๆ คือธนูอันนี้และลูกธนูของมันสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตหลุดพ้นสามัญได้เพียงการยิงแค่ครั้งเดียว

ย้อนกลับไปตอนนั้น หลิงตู้ฉิงเคยบอกนางว่าต่อให้นางใช้มันกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลุดพ้นสามัญมันก็ยังเป็นการสิ้นเปลือง ตอนนั้นนางยังคงมีความข้องใจอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้ข้อสงสัยทั้งหมดได้รับคำตอบแล้ว

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ยังเหลือลูกธนูอีก 2 ดอก พวกมันจะหายไปทันทีที่ถูกยิงจนหมด จงรักษาพวกมันให้ดี!”

“ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพูด

หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “ตาแก่ผู้นี้กำลังจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเหนือสวรรค์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะต้องมีสมบัติระดับสวรรค์อยู่ในครอบครองแล้วแน่นอน เจ้าเป็นคนลงแรง ดังนั้นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์จะเป็นของเจ้า ส่วนของอื่น ๆ ทั้งหมดจะเป็นของข้า”

เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะ “นายท่าน ข้าได้ประโยชน์จากท่านมามากแล้ว ข้าคิดว่าท่านควรจะเก็บมันไว้ใช้ด้วยตัวเองจะดีกว่า”

“มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว

เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทุกคนต้องการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เสี่ยวเยว่เฟิงก็เข้าใจและพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณ นายท่าน!”

ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ไปและมอบแหวนมิติของจื่อคงให้กับหลิงตู้ฉิง พร้อมกับวัสดุระดับสวรรค์ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งชิ้นในทะเลวิญญาณของจื่อคง

เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงไม่สนใจเขา ซือโถวเหวินหยวนจึงพูดอย่างเขินอาย “นายท่านเมื่อไหร่ท่านจะอนุญาตให้ข้าลงไปได้สักที?”

ขณะนี้เขายังคงควบคุมอสูรกลืนสวรรค์ไม่ให้ร่อนลงไปที่พื้นเบื้องล่างเพราะถ้าสัตว์อสูรตัวมหึมานี้ลงไปถึงพื้น เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อ?

เขารู้ว่าการกระทำของเขาในวันนี้ทำให้หลิงตู้ฉิงผิดหวัง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกละอาย

“เจ้าจงรอมันจนกว่ามันจะย่อยสมบัติสวรรค์ในท้องของมันจนหมด จากนั้นพลังของมันถึงจะค่อย ๆ สลายหายไป จากนั้นเมื่อร่างของมันหายไป เจ้าถึงจะลงมาข้างล่างได้” หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน จากนั้นก็หันกลับเดินเข้าไปด้านหมู่ตึกหยูอี่

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนก็สะดุ้งสุดตัว เนื่องจากเขาลืมไปเสียสนิทว่าอสูรกลืนสวรรค์ตัวนี้ได้กลืนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ไปแล้วถึง 3 คน ซึ่งทั้งสามล้วนแล้วแต่มีอาวุธวิเศษระดับสวรรค์และสมบัติมากมายอยู่ในครอบครอง!

เมื่อนึกขึ้นได้ เขาก็รีบควบคุมอสูรกลืนสวรรค์อย่างรวดเร็วเพื่อทำให้มันอาเจียนออกมา

แต่แล้วเมื่อมองดูสิ่งที่อสูรกลืนสวรรค์ขย้อนออกมา ซือโถวเหวินหยวน แทบอยากจะร้องไห้

ศพของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามหายไปแล้ว

หนึ่งในสามของอาวุธวิเศษระดับสวรรค์ถูกย่อยสลายอย่างสมบูรณ์และอีก 2 ชิ้นที่เหลือก็ถูกย่อยเหลือแต่วัสดุที่สร้างมัน ส่วนแหวนมิตินั้นยังเหลืออยู่อีก 2 วง ส่วนอีกวงนั้นได้ถูกทำลายไปแล้วพร้อม ๆ กับสิ่งของที่อยู่ข้างใน

ซือโถวเหวินหยวนดูโศกเศร้าราวกับเขาได้สูญเสียคนในครอบครัวไป

อาวุธวิเศษระดับสวรรค์ทั้งสองที่ถูกทำลายจนเหลือแค่เศษวัสดุเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซ่อมแซมให้กลับคืนสภาพเดิมได้

ซึ่งถ้าหากว่าอาวุธวิเศษระดับสวรรค์ทั้งสองไม่ถูกทำลายไป แม้ว่าเขาจะไม่สามารถนำพวกมันเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ แต่เขาก็ยังสามารถฝากพวกมันไว้ชั่วคราวที่เสี่ยวเยว่เฟิงได้

ทันทีหลังจากที่ซือโถวเหวินหยวนควบคุมอสูรกลืนสวรรค์ให้ขย้อนเหล่าสิ่งของออกมาเพียงครู่เดียว ร่างของอสูรก็ค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนก็บินร่อนลงกลับไปที่หมู่ตึกหยูอี่ และมอบแหวนมิติสองวงให้กับหลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ

หลิงตู้ฉิงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็เก็บแหวนไปหนึ่งวง และทิ้งอีกวงไว้ให้กับซือโถวเหวินหยวน

“นายท่าน ท่านควรรับพวกมันไว้ทั้งหมด” ซือโถวเหวินหยวนโค้งคำนับ

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงถากถาง “อีกไม่นานจะมีกลุ่มคนมาหาเจ้า เจ้าจงจัดการกับพวกเขาเอาเอง”

ซือโถวเหวินหยวนยิ้มอย่างขมขื่น เนื่องจากเขาเองก็เข้าใจในความหมายของหลิงตู้ฉิง หรืออันที่จริงต่อให้หลิงตู้ฉิงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาเองก็ต้องรู้ตัวอยู่แล้วเพราะที่ข้างนอกในเวลานี้นั้นเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน

“ชดใช้ให้ข้ามาเดี๋ยวนี้! เรือนของข้าถูกพวกเจ้าทำลายไปหมดแล้ว รีบชดใช้มาเดี๋ยวนี้!”

“พวกเจ้าทำให้เรือนของข้าหายไปทั้งหลัง! ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนแต่ไม่ว่าจะยังไงวันนี้พวกเจ้าก็ต้องจ่ายมาให้ข้า! ไม่อย่างงั้นก็ฆ่าข้าซะ ในเมื่อเรือนก็ไม่มีแล้วข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปอีกทำไม!”

หลิงตู้ฉิงชี้ไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ไปจัดการซะ!”

ทั้งหมดเป็นเพราะความล้มเหลวของซือโถวเหวินหยวนในการควบคุมอสูรกลืนสวรรค์ ดังนั้นเขาควรเป็นผู้รับผิดชอบ

“แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากจะจ่าย เจ้าสามารถไปตามคนจากสำนักของเจ้ามาฆ่าพวกมันทั้งหมดได้ ซึ่งข้าจะไม่ห้ามเจ้าแม้แต่ครึ่งคำ!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นเสริม

ซือโถวเหวินหยวนมองไปที่ผู้คนด้านนอกและบ่นในใจ “บ้าเอ๊ย แล้วนี่ข้าจะต้องจ่ายสักเท่าไหร่ถึงจะพอกัน?”