ตอนที่ 1205 เก็บคนที่ยังมีชีวิตไว้ / ตอนที่ 1206 ไยถึงบังเอิญขนาดนี้

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1205 เก็บคนที่ยังมีชีวิตไว้

 

 

คนที่กำลังเดินเข้ามาก็คือจี้เหิงหรานที่ซูหลีรังเกียจที่สุดผู้นั้น

 

 

เพียงแต่ในเวลานี้ความรู้สึกของซูหลีสับสนที่สุด ครั้นเห็นว่าเขาปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน นางก็ไม่มีความรู้สึกอะไรมากมาย ในเวลานี้นางเพียงสนใจแต่อาการบาดเจ็บของฉินเย่หานเท่านั้น

 

 

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่จี้เหิงหรานเข้ามาพบว่าฉินเย่หานได้รับบาดเจ็บ เขาก็ตกตะลึงไปบ้าง

 

 

ความสามารถของฉินเย่หานแม้จะไม่โดดเด่นเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ทว่าก็ถือว่ามีฝีมือเป็นอย่างยิ่ง ทหารหน่วยกล้าตายที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเช่นนั้น ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้

 

 

ไยวันนี้ถึงได้บาดเจ็บได้!

 

 

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเหล่านี้ หมอหลวงเล่า? รีบไปเรียกหมอหลวงมารักษาฝ่าบาทเร็วเข้า!” ซูหลีตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง กลับไม่เห็นเงาของหมอหลวง ใบหน้าของนางยิ่งแสดงความร้อนรนออกมา

 

 

“เราไม่เป็นอะไร” เขาคล้ายกับเห็นความร้อนรนของซูหลี ฉินเย่หานพลันยื่นมือออกมากุมมือเล็กของนาง

 

 

การกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทำให้ทุกคนตอบสนองไม่ทัน

 

 

การแสดงความสนิทสนมขนาดนี้กับเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นี่เป็นครั้งแรกของซูหลีเช่นกัน

 

 

ทว่าหลังจากนางเริ่มมีท่าทีตอบสนอง กลับไม่ดิ้นออกจากมือของเขา ในทางกลับกันนางกลับเป็นคนยื่นมือเอามากุมมือของเขาไว้

 

 

คล้ายกับตัดสินใจได้แล้วมิปาน ซูหลีหายใจเข้าลึก ดวงตาที่เป็นประกายแวววาวคู่นั้นมองทางฉินเย่หานแล้วเอ่ยว่า

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่อยากจะทูลกับพระองค์…และพูดกับใต้เท้าจี้”

 

 

จี้เหิงหรานที่ถูกซูหลีเอ่ยถึงขมวดคิ้วขึ้น

 

 

ในช่วงเวลานี้ซูหลีไม่ลงรอยกับเขา ทั้งก่อนหน้านี้ยังทะเลาะกับฉินเย่หานอย่างรุนแรงเพราะเรื่องของเขา ไยบัดนี้กลับถอนหายใจออกมาอย่างกะทันหันและเอ่ยว่ามีเรื่องต้องการคุยกับเขากัน

 

 

“อืม” เมื่อได้ยินนางเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน ฉินเย่หานจึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นความเย็นยะเยียบในดวงตาของเขาก็คล้ายดั่งหิมะบนยอดเขาที่ต้องแสงอาทิตย์มิปาน ที่ค่อยๆละลายหายไปอย่างแปลกประหลาด

 

 

ซูหลีเห็นท่าทางของฉินเย่หานเช่นนี้ พลันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้ เป็นคนที่ต้องทะนุถนอมชีวิตเอาไว้มากที่สุดในใต้หล้า ทว่ายามนางเผชิญหน้ากับอันตราย เขากลับถลาเข้ามาช่วยนางโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น

 

 

ถ้าหากจะกล่าวว่าความลังเลของซูหลีก่อนหน้านี้ เป็นเพราะไม่เชื่อมั่นเขา

 

 

บัดนี้หลังจากผ่านเรื่องเช่นนี้มาแล้ว นางยังจะมีอะไรไม่มั่นใจในตัวเขาอีก

 

 

เขายอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือนาง นั่นไม่ใช่เรื่องเพียงเล็กน้อยหรือ ระหว่างความเป็นกับความตาย แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไรนัก

 

 

“หมอหลวงมาแล้วขอรับ!” หวงเผยซานที่รออย่างร้อนใจอยู่ที่ประตู ในเวลาแรกที่เห็นหมอหลวง เขาก็นำหมอหลวงเข้ามาในทันที

 

 

“ใต้เท้าซูมีอะไร เอาไว้พูดวันหลังเถิดขอรับ” หวงเผยซานพูดปลอบใจด้วยเสียงเบา

 

 

ซูหลีผงกศีรษะเล็กน้อยอย่างไรอาการบาดเจ็บของฉินเย่หานก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ

 

 

หมอหลวงผู้นั้นไม่ใช่คนที่ซูหลีคุ้นเคย เขาหิ้วหีบยาใบเล็กเข้ามา จากนั้นตรวจดูอาการบาดเจ็บของฉินเย่หานและเอ่ยว่า

 

 

“บาดแผลลึกมาก เกรงว่าจะหลงเหลือรอยแผลเป็นเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น ในดวงตาจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจพาดผ่าน

 

 

ฉินเย่หานกลับไม่สนใจ เขาเพียงเอ่ยว่า “รักษาได้ก็พอแล้ว”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงผู้นั้นจึงยุ่งอยู่กับแขนขวาของฉินเย่หาน เขาล้างทำความสะอาดบาดแผลและถือโอกาสใส่ยาให้กับฉินเย่หาน

 

 

ตั้งแต่ต้นจนทำแผลเสร็จ ฉินเย่หานยังคงมีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆมาโดยตลอด

 

 

ซูหลีเห็นว่าเขายังคงเปลือยหน้าอก จึงสั่งหวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างประโยคหนึ่ง

 

 

“ให้คนไปหยิบเสื้อผ้าที่สวมใส่ง่ายๆมาสักตัว ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้ หากทรงเป็นหวัดขึ้นมาคงจะไม่ดีแน่!”

 

 

ทันทีที่หวงเผยซานได้ยินจึงผงกศีรษะอย่างเร็วไว

 

 

ก็ถูกเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ตกใจไปหมด แม้แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สังเกตเห็น เดิมฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บ หากทรงประชวรเพราะโดนลมหนาว เกรงว่าแม้ชีวิตเขาเป็นหมื่นชีวิตก็ฟันทิ้งไม่พอ!

 

 

สุดท้ายแล้วก็มีข้ารับใช้ที่ละเอียดรอบคอบ เห็นฉินเย่หานนำเสื้อคลุมของตนมอบให้ซูหลีก็เข้าใจความหมายที่ฉินเย่หานจะสื่อแล้ว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1206 ไยถึงบังเอิญขนาดนี้

 

 

จึงไปหยิบเสื้ออีกตัวมา หลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จแล้วจึงรีบสวมเสื้อให้กับฉินเย่หานอย่างรวดเร็ว

 

 

“ฝ่าบาท มือสังหารเหล่านี้…” ผ่านไปนานมาก ในที่สุดจี้เหิงหรานก็หาช่องว่างที่จะพูดขึ้นได้ เขาชี้ไปที่คนเหล่านั้น จากนั้นถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

“ล้วนเป็นหน่วยกล้าตาย” ฉินเย่หานกวาดตามองคนที่อยู่บนพื้น สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยว่า “สังหารไปเพียงไม่กี่คน มีบางส่วนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก จึงกินยาพิษฆ่าตัวตาย!”

 

 

ทันทีที่จี้เหิงหรานได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนไปจนดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก

 

 

หากไม่เหลือคนที่ยังมีชีวิต แม้อยากจะตรวจสอบก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

 

 

“อั้นอีจับคนยังไม่ตายเอาไว้ได้หนึ่งคน” ฉินเย่หานมองเขาปราดหนึ่ง คล้ายกับทราบว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ฉินเย่หานหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

 

 

จี้เหิงหรานได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็รีบหันศีรษะมองไปทางเขา

 

 

“อั้นอีหักคางเขาไว้ จึงทำให้กินยาพิษเข้าไปไม่ทัน” ฉินเย่หานพูดอธิบายประโยคหนึ่ง “ถูกนำตัวออกไปแล้ว”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น จึงมีความเข้าใจแจ่มแจ้งพาดผ่านในห้องตา มิน่าเล่านางถึงว่าทำไมออกมาแล้วไม่เห็นอั้นอี เขาจับกุมนักโทษออกไปแล้วนี่เอง

 

 

เพียงแต่…

 

 

ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย การลอบสังหารในวันนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น นางจำได้ว่าข้างกายฉินเย่หานมีองครักษ์ลับจำนวนไม่น้อย ทว่าวันนี้มีเพียงอั้นอีที่ปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น

 

 

ส่วนคนอื่นไม่เห็นแม้แต่เงา

 

 

อีกทั้งสถานที่แห่งนี้เป็นถึงพระราชวังน้ำพุร้อน นอกจากองครักษ์ลับแล้ว ยังมีผู้มีฝีมือในพระราชวังที่คอยตรวจตราอยู่ ทุกที่ล้วนมีทหารคุ้มกัน ไยมือสังหารเหล่านี้ถึงเข้ามาได้กัน

 

 

สีหน้าของซูหลีเข้มขึ้น เมื่อหวนคิดถึงท่าทางของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่ละกระบวนท่าล้วนร้ายแรงมาก ไม่เพียงเท่านั้นเป้าหมายของพวกเขายังเป็นฉินเย่หานอีก

 

 

ตอนแรกที่นางกับฉินเย่หานอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน มือสังหารเหล่านั้นล้วนจับจ้องที่พวกเขา ทว่าหลังจากที่นางถูกฉินเย่หานดึงขึ้นจากบ่อน้ำ พวกเขากลับไม่แบ่งกำลังมาจัดการนางเลยแม้แต่น้อย

 

 

ทว่าหลังจากที่ดูเหมือนว่าฝ่ายชายชุดดำกำลังจะพ่ายแพ้ ชายชุดดำที่เข้ามาหาซูหลีคนนั้นถึงคิดจะสังหารซูหลี หรือว่าต้องการใช้ซูหลีข่มขู่ฉินเย่หาน

 

 

หากไม่ใช่เช่นนั้นไยในสถานการณ์นั้นพวกเขาถึงไม่สนใจซูหลีกัน

 

 

มาโจมตีฉินเย่หานในพระราชวัง…

 

 

ใบหน้าของซูหลีเคร่งขรึมขึ้น เบื้องหลังที่หลบซ่อนอยู่นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

ดีที่พวกเขาจับคนที่มีชีวิตเอาไว้ได้

 

 

“ไปหอเก็บตำราก่อนเถอะ” ฉินเย่หานสวมเสื้อ มองพวกเขาทั้งสองคนปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนชะงักไปพร้อมกัน จากนั้นจึงรีบขานรับ

 

 

 

 

ภายในหอเก็บตำรา

 

 

“ฝ่าบาท” ซูหลีเดินไปที่ข้างกายของฉินเย่หาน จากนั้นจึงค่อยประคองเขา และให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่มีฟูกหนานุ่มตัวหนึ่ง

 

 

จี้เหิงหรานที่อยู่ด้านข้าง เห็นการกระทำของพวกเขาทั้งสองคนอย่างชัดเจน มุมปากจึงกระตุกเล็กน้อย

 

 

แต่ก่อนเขากับฉินเย่หานเคยผ่านช่วงเวลาแห่งการนองเลือดมาด้วยกัน ในช่วงเวลานั้นบาดแผลที่ฉินเย่หานได้รับบาดเจ็บนั้นสาหัสกว่านี้มาก ในเวลานั้นจี้เหิงหรานไม่เคยเห็นเขาขมวดคิ้วเลยสักครั้ง

 

 

แน่นอนว่าครั้งนี้ก็ไม่แสดงท่าทีออกมาเช่นกัน เพียงแต่เขาทำร่างกายแข็งทื่อตลอดเวลา ทั้งยังมีท่าทางที่คอยจับจ้องซูหลี ทั้งหมดนั้นตกอยู่ในสายตาของจี้เหิงหรานทั้งหมด นั่นล้วนเป็นการแสร้งทำตัวน่าสงสารชัดๆ!

 

 

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้ผู้เย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก อย่าได้ทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้จะได้หรือไม่!?

 

 

“ทูลฝ่าบาท กลุ่มมือสังหารในวันนี้จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องของฝ่าบาทเป็นอย่างดี คนที่อยู่เบื้องหลังจักต้องทราบฝ่าบาททรงรับสั่งให้องครักษ์ลับส่วนพระองค์ไปจัดการเรื่องของพระองค์ เหลือเพียงอั้นอีไว้เท่านั้น ถึงได้กระทำเรื่องเสี่ยงเพียงนี้ได้!”

 

 

หลังจากชะงักไปวูบหนึ่ง จี้เหิงหรานก็เริ่มพูดเรื่องจริงจัง

 

 

เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

 

 

ไยถึงบังเอิญขนาดนี้ เป็นประจวบที่องครักษ์ลับไม่อยู่พอดี!?