บทที่ 233 ความตึงเครียด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 233

ความตึงเครียด

ไม่ว่าเธอจะชวนเขาออกมาตอนไหนก็ตาม พี่ชูก็จะตอบว่าว่างเสมอ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเศร้า อันที่จริงเธอหวังว่าพี่ชูจะปฏิเสธ ถ้าเป็นแบบนั้นอย่างน้อยพี่ชูก็จะทำใจได้บ้าง

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ช่วงบ่ายออกมาทานข้าวกันไหมคะ ที่ร้านสวนสวย พี่โอเคไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยมองมาทางโม่อ้ายลี่แต่ก็ยังพูดต่อ อันที่จริงเธอคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ถ้าบ่ายนี้พี่ชูเห็นอ้ายลี่ เขาจะต้องโกรธแน่ๆ

“ได้สิ งั้นเจอกันตอนบ่ายนะ?”

“งั้นเจอกันตอนบ่ายนะคะ”

หลังจากที่วางสายไป มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกผิดอย่างมาก

“อ้ายลี่ หรือฉันควรที่จะพูดกับพี่ชูให้ชัดเจนดี มันไม่ดีเลยนะที่จะหลอกเขาแบบนี้…” หลังจากที่เงียบไปสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆเริ่มพูดอย่างระวัง

ดวงตาของโม่อ้ายลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที “ถ้าบอกตรงๆเขาก็คงไม่อยากที่จะออกมาหรอก…”

“พี่ชูไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เขาจะต้องออกมาแน่ๆแต่ถ้าเธอโกหกแบบนี้ เธอไม่กลัวว่าเขาจะโกรธเหรอที่เห็นเธอบ่ายนี้อ่ะ…” มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะพูดกับโม่อ้ายลี่ให้ชัดเจน แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆโม่อ้ายลี่ก็กลายเป็นเจ็บปวดขึ้นมา “เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนแบบไหน?! เขาก็อ่อนโยนแต่กับเธอ…เขา…” เขารักเธอ ประโยคหลังเธอไม่กล้าที่จะพูดออกไปจริงๆ

“ก็ได้ ก็ได้ ไม่ต้องพูดแล้ว อย่าร้องนะ ถ้าเธอยังร้องไห้อยู่อีกแบบนี้ คุณปู่โม่จะต้องรู้แน่ๆ…” มู่หรงเสวี่ยปลอบใจ

คนที่เพิ่งได้ลิ้มรสชาติความรักเป็นครั้งแรกไม่ฟังคำแนะนำจากใครทั้งนั้น ในที่ชีวิตที่แล้ว เธอเองก็ไม่ฟังคำแนะนำของพ่อแม่เหมือนกัน แต่พี่ชูเป็นผู้ชายที่ดีและน่าที่จะรู้วิธีจัดการกับความรู้สึกของโม่อ้ายลี่ เธอก็ได้แต่หวังให้มันเป็นแบบนั้น

โม่อ้ายลี่เช็ดน้ำตาอย่างอายๆแล้วจึงเดินไปล้างหน้า หลังจากนั้นพวกเธอก็ลงไปทานอาหารเช้าด้วยกันข้างล่าง

หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ มุ่หรงเสวี่ยและโม่หลิวเฟิงก็ออกมาจากสายตาแปลกๆของคุณปู่โม่ มู่หรงเสวี่ยนึกถึงสายตาของคุณปู่โม่ และรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง? แต่คุณปู่โม่ก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้และเธอก็ไม่ได้อธิบายออกไปตรงๆด้วย เธอก็ได้แต่หวังว่าอ้ายลี่จะช่วยเธออธิบายได้

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันมีฐานฝึกลับ มันจะดีกว่าไหมถ้าเราไปที่ฐานแล้วจะได้ติดต่อกับคนอื่นๆด้วย?…ฉันกลัวว่าการฝึกจะทำข้าวของในบ้านเธอเสียหายได้ แบบนั้นคงจะไม่ดีเท่าไร…” เขาเคยไปบ้านเสี่ยวเสวี่ยมาหลายครั้งแล้วและที่สวนก็ไม่มีที่พอสำหรับให้ฝึกศิลปะป้องกันตัวด้วย แถมการฝึกครั้งนี้ก็ไม่ควรที่จะให้คนนอกเห็นได้ง่ายๆด้วย เพราะงี้เขาถึงเสนอให้ไปฝึกที่ฐานลับของเขาแทน

“ฐานฝึกงั้นเหรอคะ?! มีคนอื่นด้วยเหรอคะ?” มันก็อาจจะดีกว่าที่วิลล่าของเธอเพราะด้านนอกวิลล่าก็มีบอดี้การ์ดตั้ง 10 คนคอยคุ้มกันอยู่ด้วย ถึงแม้นี่จะบ่งบอกว่าพี่ชูตั้งใจที่จะปกป้องเธอแต่มันก็ยังไม่สะดวกเท่าไรอยู่ดี เหมือนกับครั้งที่แล้วตอนที่เธอทำลายกำแพงที่บ้านและพวกบอดี้การ์ดก็รีบวิ่งกันเข้ามา ซึ่งเธอก็โทษพวกเขาไม่ได้เพราะพวกเขาต่างก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเธอ

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีคนอื่นหรอก นี่เป็นฐานฝึกส่วนตัวของฉันเอง…” เขาคิดว่าเสี่ยวเสวี่ยกังวลเรื่องที่คนอื่นจะเห็น

“งั้นก็ไปที่นั่นแล้วกันค่ะ”

“ดีเลย!”

โม่หลิวเฟิงเลี้ยวรถและขับตรงไปที่ฐานของเขาแทน

ฐานของเขาไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองแต่อยู่ในที่ลับมากในเขตชานเมือง ด้านนอกก็มีกับระเบิดมากมาย ถ้าไม่มีเขาคงไม่มีใครเข้ามาได้ง่ายๆ

มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆพื้นที่ว่างเปล่าอย่างพอใจ แบบนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะถูกเปิดเผยแล้ว

“เสี่ยวเสวี่ยตามฉันมา ระวังด้วยนะ ตรงนี้มีประตูกลอยู่ด้วย!” โม่หลิวเฟิงยื่นมือออกไปจับมือเล็กๆของมู่หรงเสวี่ยไว้และบอกให้ระวังทางเดินด้วย

มู่หรงพยักหน้า “โอเคค่ะ ฉันรู้แล้ว” สายตาก็เริ่มจ้องไปที่ก้าวเดินของพี่โม่อย่างจริงจัง หลังจากที่ผ่านไปนาน พวกเขาก็เข้ามาถึงประตูด้านในของฐานซึ่งเป็นประตูที่ต้องใส่รหัสแบบทหาร หลังจากที่โม่หลิวเฟิงในส่รหัสและสแกนลายนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว ประตูก็ค่อยๆเปิดออก

ด้านในเปิดโล่งอย่างมาก ที่ด้านขวานอกจากจะมีเป้ายิงแล้ว ก็ยังมีอาวุธมากมายวางอยู่รอบๆตามมุมอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีอาวุธสำหรับฝึกวิชาป้องกันตัววางอยู่อีกหลายๆที่ด้วย

“เราเริ่มได้เลยหรือเปล่า? มู่หรงเสวี่ย…” โม่หลิวเฟิงถาม

มู่หรงเสวี่ยคิดไว้อยู่แล้วว่าจะพูดกับพี่โม่ยังไงตั้งแต่ที่เข้ามาข้างใน

“มู่หรงเสวี่ย? สถานที่โอเคหรือเปล่า?” เมื่อเห็นมู่หรงไม่พูดอะไร โม่หลิวเฟิงจึงถามออกมา

“ไม่ค่ะพี่โม่ ฉันอยากจะพาพี่ไปในที่ที่หนึ่ง…”

โม่หลิวเฟิงสงสัยอยู่ชั่วขณะ คิดที่ฐานของเขาอาจจะไม่เหมาะสม “งั้นไปที่ไหนเหรอ?” เขาหันมาและพยายามที่จะใส่รหัสเปิดประตู

มู่หรงเสวี่ยรีบห้ามเขาไว้ก่อน “ไม่ต้องค่ะ พี่ควรที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อน คุณปู่คุณย่าฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย…”

โม่หลิวเฟิงสับสนมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเตรียมร่างกายยังไง ถ้าเป็นเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจที่จะฝึก เขาก็คงพร้อมอยู่แล้วและไม่มีอะไรที่จะต้องรอ

“ส่งมือมาให้ฉันค่ะพี่โม่!” มู่หรงเสวี่ยพูด

โม่หลิวเฟิงยื่นมือเขาให้มู่หรงเสวี่ย แล้วทันทีที่เธอจับมือเขา ทั้งสองก็แวบและหายไปจากสถานที่นี้ทันที

หลังจากความรู้สึกอึดอัดในการเข้ามาครั้งแรกแล้ว โม่หลิวเฟิงรู้สึกตกใจเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเดินเข้ามา

“มู่หรงเสวี่ย นี่มัน…”

“ฉันจะอธิบายทีหลังนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดคำพูดของโม่หลิวเฟิงและเตรียมที่จะกล่าวทักทายคุณปู่คุณย่าก่อน

โม่หลิวเฟิงเองก็กลืนคำถามลงไปและเดินตามมู่หรงเสวี่ยไป “คุณปู่คุณย่าคะ นี่เพื่อนของหนูนะคะ โม่หลิวเฟิง วันนี้เขาจะเข้ามาอยู่ด้วยสักหน่อย…” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม

คุณปู่คุณย่าดูเด็กขึ้นเรื่อยๆและรอยเหยี่ยวย่นบนใบหน้าของพวกท่านก็แทบจะหายไปจนหมดแล้ว ตอนนี้พวกท่านดูเหมือนคนอายุประมาณ 40 ซะมากกว่า

“เร็วเข้า อย่าเพิ่งมากวนเราสิ…” คุณปู่กำลังหยอกล้ออยู่กับสุนัขที่กำลังนอนอยู่ข้างๆท่าน คุณย่าเองก็ยืนมองอยู่เงียบๆซึ่งเต็มไปด้วยความสุข

มู่หรงเสวี่ยยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ครั้งที่แล้วที่เธอเข้ามา ผู้เฒ่าสองคนบอกว่าคิดถึงเธอ นี่ผ่านไปนานแค่ไหนเนี่ย เธอถึงได้แพ้น้องหมาแบบนี้ แต่เมื่อเธอเห็นท่าทางสบายใจของคุณปู่คุณย่า เธอก็รู้สึกโล่งอก

“ไปกันเถอะ!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับพี่โม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเองก็รู้สึกอายมากเช่นกัน คุณปู่คุณย่าอยากที่จะเล่นกับหมามากกว่าที่จะคุยกับเธอ

อย่างไรก็ตามคุณปู่คุณย่าอาจจะคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอ เธอเองก็เช่นเดียวกัน

มู่หรงเสวี่ยก้มหัวและเดินไปที่น้ำตกกับโม่หลิวเฟิง

“มู่หรงเสวี่ย?!” ที่นี่มันสวยมากๆเลยจริงๆ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่มีอยู่ในโลกเลยสักนิด ถ้ามีสถานที่ที่สวยขนาดนี้จริงๆ ก็คงจะคนแวะมาเยี่ยมเยียนไปนานแล้ว

“ขอโทษนะคะพี่โม่ ปกติคุณปู่คุณย่าฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ วันนี้พวกท่านอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดี…” วันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อ เธอเองก็อยากเจอคุณพ่อคุณแม่เหมือนกัน

“ฉันมารบกวนหรือเปล่า? ฉันขอโทษนะ ฉันเป็นคนที่บังคับเธอเอง…”

“ไม่หรอกค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดคุณพ่อ ฉันเดาว่าพวกท่านคงจะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ฉัน…”

“แล้วคุณลุงกับคุณป้าอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“เดี๋ยวลองเข้ามาดูแล้วกันค่ะ”

มุ่หรงเสวี่ยกระโดดเข้าไปในสระลึกและว่ายเข้าไปข้างใน อันที่จริงหลังจากที่ฝึกวิถีแห่งความจริง (ชื่อวิชาในถ้า)ไปแล้วเธอสามารถที่จะกระโดดข้ามไปได้เลย อย่างไรก็ตามเธอไม่มีหนังสือที่อธิบายระบบ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน เธอรู้แค่ว่าตัวเองสามารถกลั่นพลังจิตวิญญาณออกมาและใช้มันในการต่อสู้ได้ ถ้าเธอพลังมากกว่านี้ เธอก็คงจะรู้เอง

โม่หลิวเฟิงกระโดดตามลงไปและว่ายไปกับเธอ น้ำในสระลึกไม่เย็นเลยสักนิด ตรงกันข้ามเลยมันกลับอุ่นและสบายอย่างมาก

หลังจากที่เข้าไปในม่านน้ำตก โม่หลิวเฟิงก็มองไปที่หลุมดำสีสันสดใสด้วยสีหน้าตกตะลึง เขายื่นมือออกไปอยากที่จะสัมผัสมัน มู่หรงเสวี่ยกลัวมากจนรีบปัดมือเธอออกไปทันที “อย่าแตะนะ…”

โม่หลิวเฟิงดึงมือกลับมาและพูดออกมาว่า “นี่มันอะไรเหรอ…”

“มันเป็นหลุม พ่อแม่ของฉันเองก็น่าจะตกลงไปข้างในด้วย ฉันจะไปตามพวกท่านทีหลัง…” มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มเกรงๆ

“เสี่ยวเสวี่ย…” ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ที่จะปลอบเธอยังไง

“ไปฝึกกันก่อนเถอะ ที่นี่เป็นมิติลับของฉัน จะไม่มีใครเข้ามาได้ถ้าฉันไม่อนุญาต ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเราอยู่กัน…” มู่หรงเสวี่ยอธิบาย

โม่หลิวเฟิงรับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายเพราะตั้งแต่ที่เขาเจอเรื่องแปลกๆมามากมาย ตอนนี้เขาก็รับทุกอย่างได้หมดแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูกลแล้วก็เปิดช่องอีกที

โม่หลิวเฟิงเดินเข้าไปอย่างสงสัยและถูกดึงดูดด้วยลวดลายของกำแพงหินด้านใน

“ลวดลายที่กำแพงหินเป็นขั้นตอนการฝึกวิชา มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของพี่เอง ฉันทำได้เพียงช่วยพาพี่โม่มาที่นี่ได้เท่านั้น ตอนนี้ฉันเป็นแค่น้ำครึ่งถังจึงไม่สามารถที่จะสอนอะไรพี่ได้…” มู่หรงเสวี่ยพูด

“เสี่ยวเสวี่ย ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ…”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน “พี่โม่ พี่เริ่มจากด้านหน้าได้เลยนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา หนึ่งวันข้างนอกจะเท่ากับสิบปีที่นี่…ฉันจะอยู่ข้างในนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่จุดที่เธอฝึกค้างไว้ครั้งที่แล้วและเริ่มที่จะฝึกการไขว้ขา

โม่หลิวเฟิงไม่มีเวลามาตกใจกับคำพูดของมู่หรงเสวี่ยที่พูดกับเขา เขาเห็นว่าเสี่ยวเสวี่ยเริ่มที่จะฝึกไปแล้ว เขาปิดปากและสังเกตลวดลายบนกำแพงอย่างละเอียด

หลังจากนั้นสักพักหัวใจของเขาก็รู้สึกต่างกันราวฟ้ากับดิน โม่หลิวเฟิงเองก็รีบตั้งท่าทันทีพร้อมลุกขึ้น

แสงออร่ารอบตัวพวกเขายังคงหมุนและไหลไปเรื่อย จากนั้นก็ตรงเข้าสู่ร่างกาย ถ้ามีการฝึกในตอนนี้ พวกเขาก็จะรู้สึกเหลือเชื่ออย่างแน่นอน และในตอนนี้ก็มีสองคนที่กำลังฝึกกันอยู่

ด้านนอกน้ำตก คุณปู่คุณย่าของมู่หรงเสวี่ยก็หยุดหยอกล้อกับน้องหมาหลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกไป ทั้งสองถอนหายใจเล็กน้อย

“ทำไมเสี่ยวเสวี่ยไม่ให้มู่หรงเฟิงหัวกับจางเข่อเหรินแวะมาเยี่ยมพวกเราบ้างเลยล่ะ?” คุณย่าอดไม่ได้ที่จะถามออกมา สีหน้าของคุณปู่ดูจะเครียดขึ้น อันที่จริงเขาเดาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเฟิงหัวและเสี่ยวเสวี่ยเพียงแค่ปิดบังจากพวกเขา

ทุกครั้งที่เสี่ยวเสวี่ยพูดถึงเฟิงหัวและภรรยา เด็กน้อยก็จะคิดว่าตัวเองปิดบังและเลี่ยงได้ดีแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะถามซ้ำ “เดี๋ยวพอมู่หรงออกมาแล้วค่อยลองถามอีกทีแล้วกัน…” คุณปู่พูด

คุณย่าเองก็ขมวดคิ้ว “จะดีงั้นเหรอ?! เด็กนั่นอาจจะไม่อยากให้เรารู้…”

“ทำไมล่ะ? ถ้าเราไม่ถาม มันจะไม่น่าสงสารเหรอที่เด็กนั่นจะต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว?! มู่หรงเสวี่ยจะต้องเหนื่อยมากแค่ไหน…นี่เป็นความผิดของฉันเอง…” คุณปู่อดไม่ได้ที่ดวงตาจะเริ่มมีหยาดน้ำตาเล็กๆ เขาโทษตัวเองที่แก่เฒ่า ไม่สามารถที่จะปกป้องลูกหลานของตัวเองได้และปล่อยให้เด็กน้อยอย่างเสี่ยวเสวี่ยต้องมากังวลเรื่องของพวกเขา

“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก ฉันรู้สึกว่าตัวเองเด็กลงและสุขภาพดีกว่าเดิมมากเลย ถ้าอย่างงั้นเราก็น่าที่จะออกไปข้างนอกแล้วบางทีเราอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง…” คุณย่าพูด พวกท่านทำงานมาทั้งชีวิต ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าพวกท่านมีความสามารถมากแค่ไหนแต่พวกท่านก็ยังมีเส้นสายของตัวเองอยู่บ้าง พวกเขาน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง

“มันก็จริงนะที่ที่นี่น่าอัศจรรย์มากและหลายๆอย่างในนี้ก็ยิ่งน่าอัศจรรย์ขึ้นไปอีก บางทีเราน่าจะปล่อยเวลาไปก่อนให้ร่างกายของเราดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อย…”

“…”

ด้านนอกโม่อ้ายลี่ไปถึงที่ร้านอาหารและเข้าไปนั่งรอในห้องที่จ้องไว้ก่อน ก่อนที่เธอจะมาเธอแต่งตัวอย่างระวัง เธอเลือกใส่กระโปรงทั้งๆที่เธอไม่ได้ชอบเลยด้วยซ้ำแล้วก็ยังไปที่ห้างลิซซี่เพื่อทำสวยทั้งตัว สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะแต่งหน้าเบาๆและแม้ขนาดเล็บก็ยังถูกตัดแต่งมาอย่างดีด้วย

เมื่อเวลาผ่านไป โม่อ้ายลี่ก็กลายเป็นกังวลมากขึ้นเรื่องๆ แม้แต่ฝ่ามือก็เริ่มที่จะเหงื่อออก เธอค่อยๆเริ่มที่จะนั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นและเดินกลับไปกลับมาและบางครั้งก็ดึงกระโปรงที่ตัวเองไม่คุ้นชินเท่าไร

“ก๊อกๆ!”

ที่ด้านนอกประตูมีเสียงดังขึ้นมา โม่อ้ายลี่รีบนั่งลงที่เก้าอี้แล้วเคลียร์เสียงและพูดออกไปว่า “เชิญค่ะ!”

ใครจะรู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่ชูอี้เสิ่นแต่เป็นพนักงานเสิร์ฟ เธอยกกาต้มน้ำที่เธอเพิ่งสั่งไปเข้ามา เธอรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“มีอะไรให้ฉันรับใช้อีกไหมคะ?” พนักงานเสิร์ฟถามอย่างสุภาพ

“ไม่ค่ะ คุณออกไปก่อนได้เลย ถ้าฉันต้องการอะไรจะเรียกอีกทีนะคะ!” ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย เธอก็คงจะตื่นเต้นมากกว่าเดิม!