ตอนที่ 595 ผู้เฒ่าซย่า / ตอนที่ 596 เจ้าหญิงน้อยเหยียนเค่อ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 595 ผู้เฒ่าซย่า

 

 

ความจริงมันก็เห็นๆกันอยู่ ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เป็นแบบนั้น เรื่องการเดิมพันพวกนี้มันก็ต้องอาศัยดวงในการชนะอยู่เหมือนกัน บางครั้งการที่เราเอความคิดตัวเองเป็นใหญ่มากเกินไปมันก็เป็นการไปจำกัดความคิดของคนรอบข้างได้

 

 

เหยียนเค่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนออกมาแล้วจะไปทำอะไร หลังจากที่เดินจากออกมาอย่างไม่คิดอะไรแต่กลับถูกลุงฝูดักไว้ตรงหน้าประตู

 

 

“ลุงฝู”

 

 

ลุงฝูแค่ทำตามคำสั่งของผู้เฒ่าเหยียนที่ให้ดักเหยียนเค่อเอาไว้ ส่วนเหตุผล…

 

 

“ผู้เฒ่าซย่ามาแล้ว ปู่ของคุณชายอยากให้คุณชายอยู่เจอด้วยกัน”

 

 

“ไม่เจอ” ขณะที่เหยียนเค่อที่กำลังจะเดินจากไปกลับได้ยินเสียงไม้เท้าดังมาไม่ไกลจึงชะงักฝีเท้าลง

 

 

“ฉันมันไม่น่าเจอขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำเสียงของผู้เฒ่าเหยียนเต็มไปด้วยพลังอำนาจ น่ากลัวกว่าผู้เฒ่าเหยียนมากนัก

 

 

เหยียนเค่อหมุนตัวกลับแล้วก้มโค้งให้ “สวัสดีครับ”

 

 

“เรียกฉันว่าปู่ก็ได้” ผู้เฒ่าซย่าตบไปที่บ่าของเหยียนเค่อแต่ก็เกือบทำให้ชายหนุ่มช้ำในอยู่

 

 

“ไปหาปู่นายกันฉันดีกว่า”

 

 

“วันนี้ผมมีธุระต่อครับ” เหยียนเค่อไม่อยากกลับเข้าไปแล้ว เขาเอือมเต็มทีกับบรรยากาศเมื่อสักครู่

 

 

ผู้เฒ่าซย่ายังคงไม่ยอมปล่อย แต่เหยียนเค่อก็ไม่ยอมเดินตามไปเหมือนกัน แต่แรงกำลังของผู้เฒ่าซย่ามีมากกว่าเหยียนเค่อ ชายหนุ่มยังสงสัยอยู่เลยว่าข้อมือของเขาถูกบีบจนบวมไปแล้วหรือเปล่า…

 

 

“ฉันกับปู่ของเธอจะพบกันส่วนตัว นายไม่ต้องเข้าไปในงาน ไปรอที่ห้องส่วนตัวก็ได้” ผู้เฒ่าซย่าหันไปกำชับกับลุงฝู “พาเขาขึ้นไปรอ ฉันจะไปดูปู่เขาสักหน่อย”

 

 

“ครับ” ดูออกเลยว่าน้ำเสียงของลุงฝูเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง แทบจะเรียกได้ว่าเลื่อมใสเลยก็เป็นได้

 

 

จิตใจที่กำลังหงุดหงิดของเหยียนเค่อดีรับการรักษาจากผู้เฒ่าเหยียนที่อยู่ดีๆก็โผล่มา จนเขาดีขึ้นแล้ว จึงได้แต่ทำตามคำสั่งเดินตามลุงฝูขึ้นไปรอด้านบนห้อง

 

 

ผู้เฒ่าซย่าไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนครู่เดียวจากนั้นก็ขึ้นไปบนห้องกับผู้เฒ่าเหยียน คนที่อยู่ด้านล่างต่างคาดเดาสถานะของผู้เฒ่าซย่ากันไปต่างๆนาๆ แต่ขนาดพ่อเหยียนเองยังปิดปากเงียบสนิทไม่เอ่ยอะไรออกมาทั้งนั้น

 

 

เหยียนเค่อรอพวกปู่เขามาอยู่บนห้อง ผู้เฒ่าซย่าเอ่ยชมเหยียนเค่อต่อหน้าผู้เฒ่าเหยียนไปแล้วยกหนึ่ง จากนั้นทั้งหมดก็นั่งคุยกัน สองงผู้เฒ่าถือว่าตัวเองอายุมากกว่าเหยียนเค่อเลยชอบเอ่ยวกมาที่เรื่องที่เป็นแผลใจของชายหนุ่ม

 

 

“แต่ว่า เรื่องแบบนี้เขาควรเป็นคนเริ่มก่อน เธอก็เหมือนลูกหลานบ้านฉันเลย ถ้าไม่แสดงความจริงใครเขาจะอยากแต่งเข้ามาอยู่ด้วย หลานชายคนโตของฉันตอนนี้ก็ยังไม่มีภรรยา มันก็เป็นเรื่องปกติทั้งนั้น”

 

 

“แต่ว่ารีบแต่งงานก็ดีกว่า อายุปูนนี้แล้ว ถ้าแม้แต่เหลนก็ยังไม่โอกาสได้เห็นก็น่าเสียดายจริงๆ“

 

 

“พวกเรานายทหารไปรบก็ต้องอาศัยวาสนา เรื่องการแต่งงานนี่ก็ต้องอาศัยวาสนาอีกเหมือนกัน หลานสาวของฉันปีนี้ก็อายุยี่สิบแปดแล้ว พ่อแม่เร่งให้แต่งแทบตายหลานฉันก็ยังดูไม่ทุกข์ร้อน ถ้าเกิดเจอเนื้อคู่เดี๋ยวก็คงชอบเองนั่นแหล่ะ” ผู้เฒ่าซย่าวิเคราะห์อย่างใจกว้าง อีกอย่างตอนนี้อายุมาแล้วก็อยากจะคิดแต่เรื่องที่มีความสุขสำคัญที่สุด ไอ้พวกเรื่องทะเลาะกันนู่นนี่น่ารำคาญแบบนั้นเขาไม่อยากเอามาเป็นอารมณ์

 

 

ผู้เฒ่าเหยียนไม่สนใจว่าพ่อเหยียนกับแม่เหยียนจะทะเลาะกันอย่างไรบ้าง แต่เป็นเพราะเหยียนเค่อเขาถึงได้ต้องออกโรงเอง แต่ว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงสาวที่เหยียนเค่อถูกใจเหมาะสมกับตระกูลของเขาหรือเปล่า แต่ขอเพียงแค่เหมาะสมเพียงนิดเดียวเขาก็ยอมรับได้ นี่คือคำรับประกันที่เขาให้กับเหยียนเค่อ

 

 

“พูดแบบนี้ก็ถูก” ผู้เฒ่าเหยียนถอนหายใจ “อายุปูนี้กันแล้วก็ไม่ได้หวังจะเห็นพวกเขาร่ำรวยกันขนาดไหนหรอก แค่เห็นทุกคนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอแล้ว”

 

 

เหยียนหมดคำพูดนั่งมองไปที่ชายชราทั้งสองคน พูดไว้เสียดิบดีว่ามีเรื่องจะพูดกับเขาแต่ก็กลายเป็นมานั่งบ่นกันเองอยู่สองคน ชายหนุ่มหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน ถ้าเทียบกันแล้วเขาชอบอ่านหนังสือมากกว่าคุยกับชราสองคนนี่

 

 

เหยียนเฟิงเคยเจอผู้เฒ่าซย่าอยู่สองสามครั้ง แต่พ่อเหยียนปิดปากสนิท ไม่เคยแนะนำผู้เฒ่าซย่าให้เขารู้จักเลย ทุกครั้งก็เอาแต่อ้างว่าเป็นเพื่อนเก่าของปู่

 

 

“พ่อ ให้ผมขึ้นไปดูพวกคุณปู่หน่อยไหม”

 

 

“ไม่จำเป็น” พ่อเหยียนส่ายหน้า หยุดยั้งลูกชายคนโตที่พยายามทำเรื่องไม่มีประโยชน์ ขนาดตัวเขาเองยังอย่าได้คิดที่จะไปโผล่หน้าตอนทั้งคู่คุยกัน เหยียนเฟิงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 596 เจ้าหญิงน้อยเหยียนเค่อ

 

 

“อือ ชายชราคนนั้นเป็นทหาร พ่อบอกแกได้เท่านี้แหล่ะ รายละเอียดอย่างอื่นพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

พ่อเหยียนไม่รู้จริงๆ ตอนที่ผู้เฒ่าเหยียนยกตำแหน่งประมุขของตระกูลให้เขาก็เป็นเพราะว่าจนใจ อีกอย่างพวกเขายังนึกว่าผู้เฒ่าซย่าทำงานในกองทัพ ไม่มีอะไรต้องให้กลัว แต่ที่ไหนได้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรู้จักกันเลย

 

 

เหยียนเฟิงตอบรับเสียงต่ำ เอาแต่พร่ำบอกว่าเขาจะเป็นคนที่ได้รับช่วงต่อแต่กลับไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย ชายหนุ่มรู้สึกโมโห แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ “อย่างนั้นผมไปหาพวกเฉิงนั่วนะครับ”

 

 

“ไปเถอะ ขอให้สนุก” พ่อเหยียนรู้สึกพอใจในลูกชายคนโตของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเชื่อฟังทั้งตั้งใจ ถ้าเทียบกับลูกชายคนเล็กแล้วเหยียนเฟิงเชื่อฟังเขาจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว

 

 

พวกเฉิงนั่วล้อมรอบเหยียนเฟิงอย่างนึกสงสัย “ชายชราคนนั้นเป็นใครกัน”

 

 

“ไม่รู้” เหยียนเฟิงส่ายหน้า สำหรับเขาแล้วเรื่องที่ไม่พูดออกมาแบบนี้ยิ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่พวกเฉิงนั่วกลับไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าอย่างไรก็ไม่ได้มีการประกาศออกมาว่าตระกูลเหยียนแอบไปคบค้าสมาคมกับตระกูลไหนอีก

 

 

หลี่หมิงเจ๋อเห็นสีหน้าเหยียนเฟิงไม่ค่อยดีจึงเอ่ยล้อเล่นขึ้น “คุณชายเฟิงทำไมถึงได้ทำหน้าขึงขังอยู่อีกล่ะครับ เหยียนเค่อก็ไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

“จริงด้วย นายพูดได้แม่นมากเลย เปิดพิธีได้ไม่เท่าไหร่ก็เดินออกไปเองเสียอย่างนั้น แถมเล่นใหญ่อีกต่างหาก”

 

 

“มันทำเล็กๆเป็นด้วยหรือไง” เหยียนเฟิงแกว่งแก้วไวน์ในมือ พอพูดถึงเหยียนเค่อสีหน้าชายหนุ่มยิ่งขรึมลง

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงฉวีก็ไม่ต่างไปจากเหยียนเฟิงสักเท่าไหร่ “เฮ้อ ผู้ชายแมนๆทั้งแท่ง แต่ทุกครั้งก็ชอบระบายเหวี่ยงอารมณ์ไปทั่ว คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงน้อยหรืออย่างไรนะ”

 

 

ฉินซื่อหลานกับสวีอันหรานพาเสี่ยวฝูเอ๋อร์ออกไปเล่น พอเดินผ่านก็ได้ยินคำพูดประโยคนี้พอดี เลยให้สวีอันหรานพาเสี่ยวฝูเอ๋อร์ไปก่อน

 

 

“ใช่แล้ว คุณชายเหยียนของพวกเราเป็นเจ้าหญิงน้อย ไม่ใช่แค่พวกเราที่ยอมตามใจนะ ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็เหมือนกัน นายมีปัญหาอะไรไหม”

 

 

“แก” หลี่หมิงฉวีได้ยินประโยคนี้ก็โมโหจนตาแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว แต่ว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครกล้ากับฉินซื่อหลาน ทั้งหมดได้แต่ยิ้มแหยๆต้อนรับฉินซื่อหลาน

 

 

เฉิงนั่วเดินออกมาแก้สถานการณ์ “เอาเถอะๆ ก็แค่คำพูดที่พูดขึ้นเล่นๆเท่านั้น นายอย่าไปถือเป็นเรื่องจริงจังเลย”

 

 

“ก็มันคือเรื่องจริงไง” ฉินซื่อหลานพูดคำพูดนี้ก็เหมือนแอบกัดเหยียนเค่อไปในตัว แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัว อย่างไรซะเหยียนเค่อก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี

 

 

ฉิงนั่วรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรดี

 

 

ฉินซื่อหลานพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้คนที่เหลือยืนจ้องหน้ากันอยู่ตรงนั้น

 

 

“พวกมันทั้งกลุ่มสมองคงมีปัญหาล่ะมั้ง” หลี่หมิงเจ๋อสบถพลางดื่มเหล้า “เห็นแล้วก็หงุดหงิด”

 

 

“หรือว่าบางทีพวกเราก็ควรเริ่มลงมือได้แล้ว เริ่มจากตอนนี้เลย” เหยียนเฟิงรู้สึกว่าไม่มีเวลาไหนเหมาะไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว ขนาดแม่เหยียนเห็นเหยียนเค่อแล้วยังรู้สึกหงุดหงิด ชช่วงหลายวันมานี้เหยียนเค่อคงไม่ได้สนใจบริษัทมากนัก

 

 

ฉินซื่อหลานเดินออกมาอย่างสบายใจ ที่เข้าไปก็เพราะอยากเห็นพวกนั้นรู้สึกหงุดหงิดใจ กล้าดีอย่างไรเอาพวกเขามาพูดลับหลังอย่างสบายใจแบบนี้

 

 

สวีอันหรานเห็นฉินซื่อหลานเดินมาก็เพยิดคางไปทางนั้นนิดหนึ่ง เป็นการถามว่าเขาจัดการเรียบร้อยหรือยัง

 

 

ฉินซื่อหลานตบไหล่เพื่อนเบาๆ “จัดการแล้ว นี่ถ้าเป็นเหยียนเค่อได้ยินคงต้องเข้าไปต่อยพวกนั้นเค้นความจริงมาจนได้ว่าใครเป็นคนพูดว่ามันเป็นเจ้าหญิงน้อยออกมา”

 

 

“คนที่มาวันนี้ คุ้นหน้าบ้างไหม” สวีอันหรานสะกิดฉินซื่อหลานที่ดึงให้ฉินซื่อหลานออกมาก็เพราะมีเรื่องอยากจะคุย

 

 

ฉินซื่อหลานพยักหน้าสักพักก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้า “รู้สึกเหมือนว่าจะเคยเห็น แต่ก็ไม่คุ้นหน้าเลย”

 

 

สวีอันหรานเห็นฉินซื่อหลานยังนึกไม่ออกเลยเอ่ยชี้นำให้ “ต้นปี เสิ่นจิ้งเฉิน”

 

 

“จริงด้วย” ฉินซื่อหลานนึกขึ้นมาได้ แต่ว่าเรื่องมันก็นานมาแล้วเขาเลยจำไม่ค่อยได้

 

 

“เสิ่นจิ้งเฉินกลับมาพร้อมกับคนคนนั้น นายจำได้ไหมว่าเสิ่นจิ้งเฉินพูดไว้ว่าอย่างไร” ฉินซื่อหลานนึกออกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคู่มองสบตากัน ชายชราคนนั้นดูเผินๆอาจไม่มีอะไรแต่ความจริงแล้วมันน่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น

 

 

“เรื่องนี้จะบอกเหยียนเค่อไหม”

 

 

“นายคิดว่าปู่เหยียนรักเหยียนเค่อขนาดนั้นจะปล่อยให้มันกลับไปหรืออย่างไร” สวีอันหรานสืบค้นมาหลายเรื่อง ประสบการณ์ที่เจอคนแปลกหน้านั้นเยอะกว่าฉินซื่อหลานเรียนมาจากตำราวิเคราะห์ใจคนมาก อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นการวิเคราะห์ใจเท่านั้น แต่มันยังการคาดคะเนเบื้องต้นเกี่ยวกับพวกเรื่องธุรกิจและสงครามอีกด้วย