ตอนที่ 727 ราชวงศ์
บัดนี้เฮ่อหลานมู่เว่ยก็ตกใจเช่นกันเพราะเมื่อครู่เขานำตัวนางมาซ่อนไว้ที่นี่ ทว่าตอนนี้อันหลิงเกออยู่ที่ใด ตัวเขาก็มิรู้เช่นกัน
“ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา” ครั้งนี้ฟางหลิงซู่มิคิดอ้อมมืออีกต่อไป กระบี่ในมือเคลื่อนไปที่ลำคอของเฮ่อหลานมู่เว่ยทันที และในชั่วอึดใจต่อมาบนลำคอของเฮ่อหลานมู่เว่ยก็มีรอยเลือดปรากฏอยู่
“วางกระบี่ลงเดี๋ยวนี้” ในขณะนั้นเองขันทีข้างกายประมุขเผ่าก็เข้ามาขัดเสียก่อน เขารีบหยุดฟางหลิงซู่พร้อมลมหายใจที่หอบเหนื่อย โชคดีที่วิ่งมาทัน มิเช่นนั้นหากสูญเสียองค์รัชทายาทไป ประมุขเผ่าก็คง…
ขณะมองขันทีที่เดินเข้ามา ฟางหลิงซู่ก็รู้สึกถึงลางร้ายเพราะหากประมุขเผ่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โอกาสที่จะช่วยอันหลิงเกอออกไปก็มีน้อยกว่าเดิม จากนั้นพวกเขาก็ตรงไปยังตำหนักของประมุขเผ่า
เมื่อเข้ามาในตำหนักของประมุขเผ่า กลิ่นหอมของยาก็ลอยกรุ่นออกมา ดูเหมือนตอนนี้สีหน้าของประมุขเผ่าก็ดูดีขึ้นมากแล้ว มิได้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้และคงฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ในมิช้า
“พวกเจ้าลืมคำที่ข้าบอกไปแล้วหรือ ? ” สายตาของประมุขเผ่าจับจ้องไปที่บุรุษทั้งสองและท้ายที่สุดก็ไปหยุดอยู่ที่ลำคอของเฮ่อหลานมู่เว่ย เมื่อเห็นรอยแผลนั้นแล้วประมุขเผ่าก็ขมวดคิ้วทันที
แต่เขาก็มิได้กล่าวอันใดออกมาและมองไปทางอื่นอย่างช่วยมิได้ หากเมื่อครู่ไม่สั่งให้คนไปนำตัวอันหลิงเกอมา ตอนนี้นางก็คงถูกฟางหลิงซู่ช่วยไปได้แล้ว
เดิมทีฟางหลิงซู่ก็เป็นม้าพยศ หากมิใช่เพราะมีจุดอ่อนเป็นอันหลิงเกอก็มิรู้จะเอาสิ่งใดมาควบคุมได้ ในเมื่อจับตัวอันหลิงเกอมาแล้วก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสไปโดยง่ายหรอก
“ท่านประมุขเผ่า…” ฟางหลิงซู่ยังมิทันกล่าวจบ ประมุขเผ่าก็โบกมือให้เขาเพื่อส่งสัญญาณมิให้พูดต่อ ประมุขเผ่ากวาดสายตามองทั้งสองคนแต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่ชอบมากกว่าย่อมเป็นฟางหลิงซู่ ทว่าเฮ่อหลานมู่เว่ยก็เติบโตมาข้างกายตั้งแต่เด็กจึงเป็นธรรมดาที่จะมีความรู้สึกเอ็นดู
“จงไปยึดต้าโจวแล้วกลับมาสืบราชสมบัติต่อจากข้า เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะเป็นของเจ้า” ประมุขเผ่าไม่เอ่ยอันใดมาก เพียงเสนอเงื่อนไขให้ฟางหลิงซู่อย่างตรงไปตรงมา ฟางหลิงซู่ได้ยินก็ขมวดคิ้วเพราะการยึดต้าโจวในตอนนี้ถือเป็นเรื่องง่ายมาก
“นับแต่วันนี้ไป เจ้าและอันหลิงเกอก็พักในวังเพื่อให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นอีกหน่อย” ประมุขเผ่ารู้ว่าเมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ฟางหลิงซู่จะมิต่อต้านและยอมถอยให้อย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดเพราะฟางหลิงซู่ได้ยินประมุขเผ่าพูดเช่นนั้นแล้วสีหน้าก็ดูผ่อนคลายทันที เนื่องจากเขากับอันหลิงเกอสามารถอยู่ในวังด้วยกันได้ แม้สูญเสียอิสระไปบ้างแต่ก็ยังได้อยู่ด้วยกัน อีกทั้งเขายังสามารถปกป้องนางได้ด้วย
“ขอบพระทัยประมุขเผ่า” ฟางหลิงซู่มิได้ปฏิเสธ ส่วนเรื่องต้าโจวเดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว เมื่อตอนนี้ประมุขเผ่าทราบตัวตนของอันหลิงเกอแล้วเขาก็ได้แต่ไหลตามน้ำ
เมื่อประมุขเผ่าเห็นฟางหลิงซู่ตกลงก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็สั่งให้คนพาฟางหลิงซู่ไปยังห้องที่อันหลิงเกออยู่ เพราะรู้อยู่แล้วว่าฟางหลิงซู่จะตอบตกลงดังนั้นจึงเตรียมห้องส่วนของอันหลิงเกอไว้ตั้งแต่ต้น พอเห็นฟางหลิงซู่ออกไปแล้ว เฮ่อหลานมู่เว่ยก็ขอตัวออกไปพร้อมสีหน้ามิพอใจ
ฟางหลิงซู่ออกมาจากตำหนักก็รีบไปยังทิศทางที่ประมุขเผ่าเพิ่งชี้บอกเมื่อครู่ เวลานี้เขามิอยากรอสักอึดใจเดียว เขาอยากเจออันหลิงเกอมากเหลือเกิน
“เกอเอ๋อ” เมื่อเปิดประตูเข้าไป ฟางหลิงซู่ก็เห็นอันหลิงเกอถูกมัดไว้กับเตียง เมื่อนางเห็นว่าเป็นฟางหลิงซู่ น้ำตาก็ไหลออกมาทันที นางรู้อยู่แล้วว่าฟางหลิงซู่ต้องมาช่วย
“เป็นข้าที่ปกป้องเจ้าไม่ดีเอง” แววตาของฟางหลิงซู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและทุกข์ตรม
ในชนเผ่าแห่งนี้ ผู้ที่อันหลิงเกอจะพึ่งพาและเชื่อใจได้มีเพียงเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกของทั้งสองจึงเพิ่มมากกว่าเมื่อก่อน อีกทั้งเขายังกอดนางไว้แน่นและทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
จากนั้นฟางหลิงซู่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้นางฟัง เดิมทีคิดว่าอันหลิงเกอจะออกตัวห้ามแต่คาดมิถึงว่านางมิพูดอันใดเลย
เพราะในใจของอันหลิงเกอคือแผ่นดินต้าโจวไร้ความหมายต่อนางแล้ว
ทว่าพอนึกถึงมู่จวินฮานแล้ว หัวใจของอันหลิงเกอก็กลับมาเจ็บอีกครั้ง นางมิรู้ว่าหากวันหน้ามู่จวินฮานและฟางหลิงซู่ทำศึกกัน นางจะเลือกอย่างไร
“หากพวกเจ้าเผชิญหน้ากันในสนามรบ เจ้าช่วย…” เป็นธรรมดาที่ฟางหลิงซู่จะรู้ว่าอันหลิงเกอกำลังเอ่ยถึงผู้ใดและรู้ด้วยว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงคลี่ยิ้มและพยักหน้ารับ
แต่ในเวลาเดียวกันนี้หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่น มิว่าเช่นไรนางก็มีเพียงมู่จวินฮาน แล้วเขาล่ะ ? สุดท้ายเขาก็มิใช่ความรักสำหรับนาง
เรื่องยุ่งยากในวันนี้ทำให้อันหลิงเกออ่อนล้ายิ่งนัก หลังฟางหลิงซู่ดูแลทุกอย่างให้แล้วก็จากไป สำหรับอันหลิงเกอแล้ว การได้มาอยู่ในชนเผ่าที่มิรู้จักเช่นนี้จะอยู่เรือนไหนก็เหมือนกันหมด ขอเพียงมีฟางหลิงซู่อยู่ นางก็รู้สึกสบายใจได้แล้ว
เมื่อฟางหลิงซู่ออกมาและคิดว่าเมื่อครู่อันหลิงเกอต้องอดทนและให้อภัยเขาเช่นนั้น ความรู้สึกผิดก็ปรากฎขึ้นในใจทันที เขารู้ดีว่าสิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ถือเป็นความเจ็บปวดสำหรับนาง
แต่ฟางหลิงซู่ก็รู้ว่าไม่มีทางหันหลังกลับอีกแล้ว เมื่ออันหลิงเกอถูกประมุขเผ่าจับตัวไว้ อีกมินานย่อมจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของนางและมู่จวินฮาน
เมื่อถึงเวลานั้นหากประมุขเผ่ามิใช้ประโยชน์จากอันหลิงเกอก็ไม่มีทางปล่อยนางไปอย่างแน่นอน ผู้ใดก็รู้ดีว่าอ๋องมู่เป็นเสาหลักใหญ่ของต้าโจวและย่อมไม่มีใครยอมปล่อยโอกาสนี้ไปแน่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ฟางหลิงซู่ก็กัดฟันกรอดและส่งจดหมายถึงมู่จวินฮานทันที คราวนี้เขามิได้ส่งไปในนามของฟางหลิงซู่แต่ในฐานะขุนนางแห่งเผ่าปิงชวน
เขารู้ดีว่าต่อจากนั้นตนและราชสำนักต้าโจวต้องตัดความสัมพันธ์กันและมิอาจมีเยื่อใยอันใดให้กันอีก ช่วงหลายวันมานี้เขาส่งคนไปรับพวกที่หอพิษกู่มาด้วย แต่มิว่าทำเช่นไรคนพวกนั้นก็มิยอมออกจากเมืองหลวง
ทางด้านมู่จวินฮานก็ได้รับจดหมายจากฟางหลิงซู่และฮ่องเต้ก็ได้รับสาส์นท้ารบจากเผ่าปิงชวน คราวนี้ฮ่องเต้ทรงวิตกกังวลยิ่งนัก เพราะเมื่อไร้มู่จวินฮานแล้ว พระองค์ก็หาผู้นำทัพมิได้สักคน
ฮ่องเต้คาดมิถึงว่าคราวนี้มู่จวินฮานจักอาสาร่วมทัพด้วยตนเอง ทำให้พระองค์คิดว่ามู่จวินฮานทำเพื่อแผ่นดินจนมิถือสาเรื่องเก่าที่ผ่านมา แต่พระองค์มิรู้ว่าฟางหลิงซู่ได้บอกข่าวของอันหลิงเกอให้มู่จวินฮานรับรู้ต่างหาก มู่จวินฮานจึงทำเช่นนี้
แต่ฟางหลิงซู่มิได้บอกมู่จวินฮานว่าอันหลิงเกออยู่กับตน แต่บอกเพียงว่าตอนนี้อันหลิงเกอถูกประมุขเผ่าปิงชวนจับตัวไว้และกำลังตกอยู่ในอันตราย
เพื่อหาตัวอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็เหลือเพียงเบาะแสจากฟางหลิงซู่เท่านั้น เขาจึงมิคิดอันใดมากและเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะเมินเฉยได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงอันหลิงเกอหรือเหตุการณ์ที่ทำให้นางอาจตกอยู่ในอันตราย หัวใจของเขาก็ถูกบีบรัด
แม้มู่จวินฮานรู้สึกผิดหวังต่อฝ่าบาท แต่สำหรับอันหลิงเกอแล้ว เขาไม่มีทางยอมแพ้ ดังนั้นจึงอาสาร่วมทัพในครั้งนี้เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยอันหลิงเกอกลับมาได้
ด้านอันหลิงเกอก็ทราบข่าวการทำศึกของเผ่าปิงชวนและต้าโจวเช่นกัน นางยังรู้ว่าคราวนี้ฮ่องเต้ประสงค์นำทัพด้วยพระองค์เอง แต่มีเพียงข่าวเดียวที่ทำให้นางสบายใจนั่นก็คือฮ่องเต้มิได้แตะต้องจวนโหวเลย