บทที่ 236
ฉันขอเจอเขาได้ไหม
หลังจากที่จัดการเรื่องที่จังหวัดA เรียบร้อย มู่หรงเสวี่ยก็กลับมาที่เมืองหลวง เมื่อเธอกลับมาที่วิลล่า เธอก็ก้าวเข้าไปในมิติลับ เธอไม่ลืมว่าพี่โม่ยังคงอยู่ในมิติลับ เธอเจอพี่โม่ก่อนที่จะเข้าไปที่น้ำตก
“พี่โม่ พี่ฝึกเสร็จแล้วเหรอคะ?! เป็นยังไงบ้างคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามหลังจากที่ทักทายเขาแล้ว
ใบหน้าของโม่หลิวเฟิงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยาก “ดีเลย ฉันรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งเลยนะมู่หรง ขอบคุณมากเลยนะ…” เขาพูดอย่างขอบคุณ
มู่หรงเสวี่ยเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “นี่เป็นผลจากความพยายามของพี่เองนะคะ…”
หลังจากเงียบไปสักพัก เธอก็พูดต่อ “พี่โม่ ฉันตัดสินใจที่จะไปตามหาคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นพี่ควรที่จะลอกลวดลายบนกำแพงหินไว้เพราะหลังจากที่ฉันไป พี่จะไม่ได้เข้ามาที่นี่อีก…”
“เธอจะไปตามหาคุณลุงคุณป้างั้นเหรอ?! จะไปตามหาที่ไหน?! ในหลุมดำนั้นงั้นเหรอ?” สีหน้าของโม่หลิวเฟิงเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการฝึกของตัวเองแต่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและพูดต่อ “คุณปู่คุณย่าของฉันรู้เรื่องแล้วและฉันไม่ต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว ฉันเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่มากจริงๆ ที่ฉันยังไม่ไปเพราะฉันเป็นห่วงคุณปู่คุณย่า ตอนนี้ฉันไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว…”
“เสี่ยวเสวี่ย…” โม่หลิวเฟิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ยังไงซะพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของเสี่ยวเสวี่ย ถ้าเป็นเขา เขาก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “พี่โม่ ทำไมพี่ถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะคะ? ฉันจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ฉันสัญญา ฉันจะรอเธอกลับมานะ!” โม่หลิวเฟิงกล่าว
“อีกอย่างนะพี่โม่ ฉันยังไม่ได้บอกอ้ายลี่ ฉันไม่อยากปิดบังเรื่องนี้กับเธอ พี่ช่วยอธิบายแทนฉันด้วยนะ ถ้าพี่เป็นคนบอกเธอ เธอก็คงจะร้องไห้โฮแน่ๆ…”
“เดาว่าเธอจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ เด็กนั้นโหดไม่ใช่เล่นเลยนะ…” โม่หลิวเฟิงพูดติดตลก
“พี่โม่ ฉันแค่เข้ามาเพื่อบอกเรื่องนี้กับพี่ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก ฉันยังไม่ได้ไปตอนนี้แต่ก็คงอีกไม่นาน งั้นพี่ก็จดจำเทคนิคการฝึกที่กำแพงหินให้เร็วที่สุดนะแล้วเดี๋ยวฉันออกไปก่อนแล้ว…”
“ได้! ระวังตัวด้วยนะ ถ้าต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกได้เลยนะ” โม่หลิวเฟิงพูด
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและเดินออกไป เรื่องสุดท้ายที่เธอต้องจัดการคือเรื่องที่ชางกวนหลินพูดไว้ครั้งที่แล้ว
หลังจากที่มองไปที่ปฏิทิน พรุ่งนี้ก็จะถึงกำหนดนัดแล้ว หลังจากนั้นสักพักเธอก็ไปที่มหาลัย เมื่อเธอนึกถึงศาสตราจารย์ไป๋ เธอก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ครั้งนี้เธอคิดไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาไปอีกนาน
มู่หรงเสวี่ยที่ไม่ได้มาเรียนซะนาน จู่ๆก็รู้สึกว่ามหาลัยค่อนข้างที่จะแปลกๆและดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากับเธอเท่าไร
เรื่องวุ่นวายของมู่หรงเสวี่ยผ่านไปนาน ตอนนี้เธอเดินเข้าไปในมหาลัยโดยไม่มีสายตาสนใจของเพื่อนร่วมชั้นอีกแล้ว มีเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นที่มีพวกหนุ่มๆมองว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นเพียงสาวสวยจึงหันมามอง
ในมหาลัย นักศึกษาจับกลุ่มกันเดินพูดคุยหัวเราะกันอยู่ รอยยิ้มของวัยรุ่นนี่ช่างสดใสเหลือเกิน หัวใจที่อธิบายไม่ถูกของ มู่หรงเสวี่ยแวบประกายความอิจฉาขึ้นมา ครั้งหนึ่งเธออยากที่จะมีชีวิตที่เรียบง่ายและตอนนี้เธอไม่มีเวลาที่จะมาเพลิดเพลินกับความเรียบง่ายที่สวยงามพวกนี้แล้ว
เธอคิดถึงแก๊งทั้งห้าแต่พวกเขาก็ยังไม่กลับมาเลย เธอถามหลงอี้แต่เขาก็บอกเธอไม่ได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เขาเพียงแค่บอกเธอว่าตอนนี้พวกเขาปลอดภัย
ถึงแม้เธอจะติดต่อพวกเขาไม่ได้ แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจที่พวกเขาปลอดภัย
เมื่อเธอไปถึงห้องวิจัยของศาสตราจารย์ไป๋ ท่านยังคงจมอยู่กับการทดลองตามปกติ มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ สิ่งที่เธอชื่นชมมากที่สุดเกี่ยวกับศาสตราจารย์ไป๋คือเรื่องนี้ ไม่ว่าท่านจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนก็ตามแต่ศาสตราจารย์ไป๋ได้อุทิศตัวเองเพื่อการแพทย์
มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่นานแต่ศาสตราจารย์ไป๋ก็ยังไม่รู้การมาถึงของเธอ มู่หรงเสวี่ยคิดว่าต่อให้เธอยืนอยู่แบบนี้ทั้งวัน ท่านก็คงไม่เห็นเธออยู่ดี
“อาจารย์ค่ะ!” ถึงแม้จะไม่อยากที่จะรบกวนการทดลองของศาสตราจารย์ไป๋ เธอยืนรอแล้วแต่ศาสตราจารย์ไป๋ก็ยังไม่เห็นเธอ
ศาสตราจารย์ไป๋เงยหน้าขึ้นมาและรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นมู่หรงเสวี่ย ในสายตาของเขามู่หรงเสวี่ยเทียบเท่ากับสารานุกรมที่เขามั่นใจได้เลยว่าจะเจอเรื่องที่เขาไม่รู้
“หายตัวไปไหนมาแม่หนู?! มา เข้ามาช่วยฉันดูที…” หลายวันที่ผ่านมา มู่หรงเสวี่ยห่างหายไปเลย เขารู้สึกปวดหัวอย่างมาก เขาอยากที่จะมัดมู่หรงเสวี่ยให้อยู่ในห้องแล็บเหมือนเป็นสารานุกรม เวลาที่เขาเจอปัญหา เขาก็จะได้ค้นหาข้อมูลจากสมองของเธอได้เลย
มู่หรงเสวี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้ม พร้อมทั้งมองไปที่กลุ่มข้อมูลงานวิจัยของศาสตราจารย์ไป๋ที่อยู่บนโต๊ะแล้วพูดออกมา “อาจารย์คะ หนูจะต้องหายไปสักระยะนะคะ บางทีอีกหลายปีกว่าที่หนูจะได้กลับมา…”
“อะไรนะ?! เธอจะไปไหน?! ไปเรียนต่างประเทศงั้นเหรอ?! ที่มหาวิทยาลัยไม่ดีงั้นเหรอ?” ทำไมเขาจะต้องมารู้สึกโมโหกับสารานุกรมของเขาด้วย
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่ข้อมูลที่ว่างอยู่ด้วย “เปล่าหรอกค่ะ เพียงแค่ปัญหาเล็กน้อยที่ทำให้หนูจำเป็นต้องไป อีกอย่างนะคะอาจารย์ หนูอยากจะแนะนำอาจารย์กับทางดราก้อนพาวิลเลี่ยน มันเป็นสถานที่ที่น่าจะเหมาะกับอาจารย์ อาจารย์ก็ยังเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ด้วย อาจารย์คิดว่าไงคะ?”
ระดับศาสตราจารย์ไป๋จะต้องผ่านได้อย่างแน่นอน เขาเก่งกว่าเธอซะอีก เธอเก่งก็เพราะตำราแพทย์ในมิติลับที่เธอได้อ่านแต่ศาสตราจารย์ไป๋เป็นคนที่มีความสามารถของจริงๆ
“ดราก้อนพาวิลเลี่ยนงั้นเหรอ?” ศาสตราจารย์ไป๋เงียบไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะทุ่มเทให้กับการวิจัยทางการแพทย์ แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับดราก้อนพาวิลเลี่ยนมาบ้าง ก่อนหน้านี้เคยมีสมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนแวะมาเยี่ยมเขาแต่เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เหมือนกับว่าเขากำลังทำงานวิจัยอยู่ อีกฝ่ายก็ยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆจนเขาเริ่มโมโหและตะโกนไล่ออกไป
ต่อมาเขาก็มารู้ว่าตัวเองเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไป แต่เขาหาคนที่จะติดต่อดราก้อนพาวิลเลี่ยนไม่ได้ เรื่องนี้ยังเป็นปมอยู่ในใจเขามาตลอด
เพราะพูดกันว่าดราก้อนพาวิลเลี่ยนเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำของโลก เขาอยากที่จะเข้าไปข้างในมาตลอด
“อาจารย์อยากที่จะเข้าไปไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเข้าไปในดราก้อนพาวิลเลี่ยน ดังนั้นเธอจึงต้องถามก่อน
“ฉันอยากที่จะเข้าไปแต่เธอรู้จักเรื่องของดราก้อนพาวิลเลี่ยนได้ยังไง?” ศาสตราจารย์ไป๋มองมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยความสงสัย
มู่หรงเสวี่ยพูดโดยไม่สนใจอะไร “เพราะก่อนหน้านี้หนูเป็นหมอมังกรในดราก้อนพาวิลเลี่ยน ถึงแม่ตอนนี้หนูจะไม่ได้เป็นแล้ว แต่หนูก็ช่วยแนะนำอาจารย์เข้าไปได้…”
ศาสตราจารย์ไป๋เบิกตากว้างทันที นิ้วที่สั่นของเขาชี้ไปที่มู่หรงเสวี่ย “เธอ…เธอ…เธอเป็นหมอมังกรจริงๆงั้นเหรอ แล้วจะยังมาอยู่ในมหาวิทยาลัยแบบนี้อีกทำไม?!!” อย่างไรก็ตามหลังจากที่รู้สึกตกใจ เขาก็เริ่มที่จะเข้าใจว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงมีทักษะทางการแพทย์ที่สูงแบบนี้ เธอไม่ใช่นักศึกษาเลยสักนิด อันที่จริงเขามองเธอเหมือนเป็นระดับเดียวกับเขามาตลอด ถึงแม้เธอจะเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่เขากลับไม่ได้สอนอะไรเธอเลยแต่เป็นมู่หรงเสวี่ยต่างหากที่ให้คำแนะนำเขามากมาย
“อาจารย์คะ ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ? หนูก็แค่เด็กอายุ 16 ทำไมหนูจะไม่ต้องเรียนล่ะคะ?” มู่หรงเสวี่ยกลอกตา ถึงแม้เธอจะไม่ใช่นักศึกษาแต่อย่างน้อยเธอก็ดูเหมือนเด็กสาว อาจารย์ชี้นิ้วมาที่เธอและมองมาที่เธอราวกับว่ากำลังอ่านหนังสืออยู่
16งั้นเหรอ?! งั้นช่วยทำตัวให้เหมือนเด็กอายุ 16 ทีได้ไหม?! เด็กสาวอายุ 16 แต่เป็นหมอมังกรได้เนี่ยนะ
ศาสตราจารย์ไป๋อยากที่จะกลอกตามากกว่ามู่หรงเสวี่ยอีกแต่เขาก็ยังห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองไว้
“ฉันจะไปที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยน!” หลังจากที่เงียบไปสักพัก ศาสตราจารย์ไป๋ก็พูดขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าคำตอบของศาสตราจารย์ทำให้เธอพอใจอย่างมาก ในตอนแรกเขาโกรธเรื่องที่เธอจะไปอย่างมาก ตอนนี้ในเมื่อเธอกำลังที่จะไปแล้วและยังไม่มีแผนที่จะกลับมาในเร็วๆนี้ด้วย
ก่อนที่จะไป เธออยากที่จะเจอฮวงฟูอี้ ทำไมล่ะ เขาไม่อยากที่จะเจอเธอนะ
ไม่นานหลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็พาศาสตราจารย์ไป๋ไปหาหลงอี้โดยตรงและเธอก็แนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกัน
“ศาสตราจารย์ไป่ ผมจำได้ว่าคุณเคยปฏิเสธที่จะเข้าดราก้อนพาวิลเลี่ยน ตอนนี้ผมขอทราบได้ไหมว่าทำไมคุณถึงอยากที่จะเข้ามา?” หลงอี้ถามอย่างสงสัย เขารู้สึกประทับใจศาสตราจารย์ไป๋เป็นพิเศษเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่รับคำเชิญจากดราก้อนพาวิลเลี่ยน ในตอนแรกเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก ทักษะทางการแพทย์ของศาสตราจารย์ไป๋มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศและเขาเป็นแพทย์ที่เก่งกาจด้านการแพทย์
ศาสตราจารย์ไป๋ไออย่างรู้สึกอายเล็กน้อยแต่เขาจะบอกเรื่องความผิดพลาดของตัวเองออกไปได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากด้วยเช่นกัน เธอไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งอาจารย์จะเคยปฏิเสธคำเชิญของ ดราก้อนพาวิลเลี่ยนด้วย
หลังจากที่รออยู่นาน หลงอี้ก็มองไปที่ศาสตราจารย์ไป๋อีกครั้งแล้วก็เห็นท่าทางที่น่าสนใจ แล้วรอยยิ้มที่มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ศาสตราจารย์ไป๋ไม่อยากที่จะบอก ไม่เป็นไรครับ แต่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนมีกฎของดราก้อนพาวิลเลี่ยนอยู่ ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดทักษะทั้งหมดของดราก้อนพาวิลเลี่ยนสู่โลกภายนอก ถ้าคุณฝ่าฝืนจะต้องมีบทลงโทษและส่วนที่เหลือจะขึ้นอยู่กับกัปตันของหมอมังกร…” หลงอี้พูดอย่างช้าๆกับศาสตราจารย์ไป๋ ตอนนี้ไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นมาอีก
มู่หรงเสวี่ยรอฟังคำตอบของศาสตราจารย์ไป๋อย่างอยากรู้อยากเห็นแต่เธอก็ไม่คิดว่าหลงอี้จะไม่ต้องรอฟังคำตอบอะไรเลย เธอมองไปที่หลงอี้ด้วยสายตาสงสัย
หลงอี้วางกำมือไว้ที่ปากเพื่อปิดบังรอยยิ้มของตัวเองไว้ คุณมู่หรงเสวี่ยเองก็หลอกง่ายจริงๆ เขาคิดอยู่ในหัวใจแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกมา
ถ้าเธอได้รู้ก็คงจะรู้สึกขำไม่ต่างกัน
เมื่อหลงอี้พาศาสตราจารย์ไป๋ไปส่งที่ห้องวิจัยการแพทย์เรียบร้อย เขาก็เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยยังรอเขาอยู่
เขาถามออกมาอย่างประหลาดใจ “คุณมู่หรง มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”
“หลงอี้ ช่วยพาฉันไปหาฮวงฟูอี้ทีได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปตรงๆ
สีหน้าของหลงอี้เปลี่ยนไปในทันที สถานการณ์ของ ดราก้อนมาสเตอร์ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะพบเจอใคร อีกอย่าง ดราก้อนมาสเตอร์ไม่อยากที่จะเจอคุณมู่หรงเพราะเขาไม่อยากให้คุณมู่หรงเห็นเขา แม้ว่าเขาจะทนไม่ได้เมื่อมองไปที่ดวงตาที่คาดหวังของคุณมู่หรงเสวี่ยแต่เขาก็ยังคงส่ายหัว
สายตาของมู่หรงเสวี่ยเริ่มหรี่ลง ถึงขนาดเริ่มที่จะแดงระเรื่อด้วยซ้ำ เธอกัดริมฝีปากและถามออกมา “บอกฉันทีว่าเขาปลอดภัยหรือเปล่า?”
หลงอี้นึกถึงสถานะตอนนี้ของดราก้อนมาสเตอร์ ถึงแม้เขาจะไม่เจอผู้คนแต่ก็น่าจะบอกได้ว่าปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ครับ ตอนนี้ดราก้อนมาสเตอร์ปลอดภัยอย่างมาก…”
“ตราบใดที่เขาปลอดภัย งั้นฉันไปล่ะ…” เพียงแค่ไม่อยากที่จะเจอเธอ
มุ่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากดราก้อนพาวิลเลี่ยนอย่างรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย หลงอี้อยากที่จะหยุดคุณมู่หรงไว้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าคุณมู่หรงกำลังจะกล่าวลา แล้วเขาก็ส่ายหัวเพื่อสลัดความกังวล
มู่หรงเสวี่ยกลับไปที่วิลล่าและทิ้งตัวเองลงบนเตียงใหญ่ สีหน้าของฮวงฟูอี้และรายละเอียดทั้งหมดแวบขึ้นมาในความคิดของเธอ แต่เธอก็ไม่เจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับฮวงฟูอี้เลย งั้นมันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นตอนที่เธอกลับไปที่จังหวัดA แน่ๆ
แต่อำนาจของดราก้อนพาวิลเลี่ยนก็แข็งแกร่งอย่างมาก ตราบใดที่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็ไม่อยากให้เธอรู้ ไม่ว่าเธอจะตามสืบมากแค่ไหน เธอก็ไม่เจอคำตอบหรอก
วันต่อมา เริ่มที่จะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตื่น เธอก็ได้รับสายจาก ชางกวนหลิน
พวกเธอนัดกันวันนี้ในตอนบ่ายและชางกวนหลินถึงขนาดบอกให้เธอเตรียมเสื้อผ้าเพื่อมาเปลี่ยนด้วยเพราะมันต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณหนึ่งอาทิตย์ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตะลึง เธอไม่คิดว่ามันจะใช้เวลานานขนาดนี้ เพราะการพัฒนาที่ดีแบบนั้นตอนนี้ เธอจึงคิดว่ามันน่าจะใช้เวลาอย่างมากก็แค่สามวัน
ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะสามารถเอาของต่างๆเขาไปเก็บในมิติลับได้ แต่เธอก็ยังเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเผื่อไปได้สองสามชุด ตอนนี้มีหลายคนที่รู้เรื่องมิติลับแต่พวกเขาต่างก็เป็นคนที่เชื่อใจได้ทั้งนั้น มีเพียงเสี่ยวเข่อลี่เท่านั้นที่เธอต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้เธอก็ไม่อยากให้คนรู้มากไปกว่านี้ด้วย
ก่อนที่จะออกไป มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในมิติลับและถามว่าพี่โม่อยากที่จะออกมาจากมิติลับหรือยังเพราะเธอกำลังจะไปในที่ที่ไม่รู้จัก
พี่โม่ปฏิเสธ ในระหว่างนี้เขาอยากที่จะฝึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตายของเพื่อนในทีมยังสะท้อนอยู่ในหัวใจเขาตลอดเวลา เขาไม่ยอมให้ตัวเองผ่อนคลายลงเลยแม้เสี่ยววินาที
หลังจากวันนั้น เธอได้ยินคุณปู่โม่พูดถึงเหตุการณ์ที่พี่โม่ได้เจอมา เธอเข้าใจได้ในทันทีดังนั้นเธอจึงไม่บังคับเขา ยังไงซะในมิติลับก็เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย
ในตอนบ่ายมุ่หรงเสวี่ยก็ได้เจอกับชางกวนหลินที่อยู่ในชุดจีนโบราณ