บทที่ 237
ออกเดินทาง
มู่หรงเสวี่ยค่อนข้างแปลกใจอยู่เล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นชางกวนหลินแต่งตัวแบบนี้ ก็ดูไม่แย่เท่าไรแต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไรด้วยเหมือนกัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าชางกวนหลินคนนี้แตกต่างจากคนที่เธอเคยเจอที่งานการพนัน มีอะไรหลายอย่างที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามหน้าตาก็ยังเป็นคนเดิม แม้แต่ดวงตาสีม่วงก็ยังคงเปล่งประกายอยู่…
“ป่ะ! ขึ้นมาสิ!” ชางกวนหลินพูดกับมู่หรงเสวี่ย
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามหลังจากที่ขึ้นมาบนรถ
“เมื่อถึงแล้วก็รู้เองแหละ ท่านอาจารย์ของฉันบอกว่าอยากที่จะเจอเธอ ปกติท่านไม่ยอมให้คนเข้าพบได้ง่ายๆ เธอต้องคอยระวังท่าทางไว้ด้วย”
“ท่านอาจารย์เป็นคนเยือกเย็น การบ่มเพาะของเขาแข็งแกร่งมาก เขาอยู่ในระดับสีม่วง เขาไม่ต้องการรับศิษย์อีกต่อไป แต่พอฉันเล่าเรื่องของเธอ เขาก็อยากจะพบเธอขึ้นมาทันที ฉันเองก็รู้สึกงงเล็กน้อยกว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาเคยคิดว่าปกติแล้วท่านอาจารย์แทบจะไม่สนใจเรื่องอะไรเลย แม้กระทั่งเรื่องพี่ชายของเขา ท่านก็แทบจะไม่เคยถามถึงเลย…อย่างไรก็ตามเมื่อวันนั้นที่เขาพูดถึงมู่หรงเสวี่ย เขาก็เห็นได้เลยว่าท่านอาจารย์มีการเคลื่อนไหวและความคิดได้อย่างชัดเจน
“ระดับสีม่วงงั้นเหรอ?! มันคืออะไรกัน?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
ชางกวนหลินหันกลับมามองมู่หรงเสวี่ย น่าเสียดายจริงๆ เขาคิดว่าเด็กสาวน่าจะอยู่ในระดับสีส้ม ตอนที่เขาเจอเธอก่อนหน้านี้ เขาก็รู้ได้เลยว่าเธอยังไม่ได้รับการฝึกฝน เขาไม่เจอเธอแค่ไม่นานแต่เธอขึ้นมาอยู่ในระดับสีส้มได้ยังไงกัน
เสียงล้อรถเบรกดัง “เอี๊ยด” ชางกวนหลินขับตรงเข้าไปจอดในที่จอดรถแล้วหันมาถามด้วยความตกใจ “มู่หรงเสวี่ย เธอ…เธอขึ้นไปอยู่ในระดับสีส้มได้ตั้งแต่เมื่อไร?”
มู่หรงเสวี่ยสะดุ้งและถามออกมาว่า “ระดับสีส้มงั้นเหรอคะ?”
“เธอไม่รู้ระดับชั้นของการฝึกตนงั้นเหรอ?! เธอฝึกมันยังไง? เธอมีอาจารย์มาช่วยฝึกหรือเปล่า มันเป็นเรื่องยากมากเลยนะที่จะเริ่ม”
“ฉันไม่มีอาจารย์และก็ไม่รู้เรื่องระดับชั้นอะไรนั้นด้วย มันแปลกหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม และสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกถูกตัดสินมากขึ้นไปอีกคือการที่ชางกวนหลินสามารถมองเห็นการฝึกของเธอได้
คนอื่นจะเห็นด้วยหรือเปล่า เธอประเมินอำนาจของคนพวกนี้ผิดไปซะแล้ว
“เธอขึ้นมาอยู่ในระดับสีส้มได้ยังไง?! อย่าบอกฉันนะว่าเธอฝึกเอง งั้นเธอมีทักษะอะไรบ้าง?” ชางกวนหลินจ้องมาที่ มู่หรงเสวี่ยเพื่อไม่ให้พลาดสักอาการของเธอเลย
มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นโง่และงงขึ้นมาทันที เธอจะยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองมีทักษะมากมายและมีมิติลับอยู่กับตัว “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรอกนะ? นายบอกว่าฉันอยู่ระดับสีส้ม แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระดับสีส้มคืออะไร ขนาดเรื่องการฝึกฝนฉันเองยังไม่เข้าใจมันอย่างชัดเจนเลย…” มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นสับสนมากขึ้นและถามออกมา…ดวงตากลมโตกะพริบถี่ๆ ทำท่าทางไร้เดียงสาเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ชางกวนหลินมองเธออยู่นานแล้วเอื่อมมือออกมาและจับไปที่เธอโดยตรง มู่หรงเสวี่ยตกใจและอยากที่จะสะบัดมือเขาออกแต่ก็พบว่าตัวเองแทบจะขยับไม่ได้ นี่เป็นความแตกต่างของระดับชั้น ชางกวนหลินขึ้นไปอยู่ในระดับสีเขียวแล้ว ดังนั้น มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในระดับสีส้มจึงขัดขืนไม่ได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต่างกันสองระดับเลย แม้แต่แค่ระดับเดียวก็ต่างกันราวฟ้ากับ เหวแล้ว
มู่หรงเสวี่ยหน้าซีดและเริ่มรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของชายคนนี้ขึ้นมาทันที เธอรู้สึกได้ว่ามีวิญญาณเข้ามาในร่างของเธอ เธออยากที่จะแวบหนีเข้าไปในมิติลับขึ้นมาทันทีแต่ก็หามันไม่เจอ เธอจ้องไปที่ตาของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าไปในมิติลับไม่ได้เพราะชางกวนหลินล็อกเธอไว้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
“อย่าขยับ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก ฉันแค่อยากที่จะเห็นสถานการณ์…” ชางกวนหลินพูดพร้อมใบหน้าที่สง่างาม
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกโกรธมากที่เขาเข้ามาในร่างกายของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็ได้รู้ถึงอำนาจของผู้ฝึกตน ถ้าเธอต้องเจอคู่ต่อสู้แบบนี้ ป่านนี้เธอก็คงตายไปแล้วแน่ๆ ความคิดก่อนหน้านี้ที่เคยคิดว่ามิติลับสามารถเอาชนะได้ทุกอย่างหายไปในพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าการฝึกตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
หลังจากผ่านไปสักพัก ชางกวนหลินก็ปล่อยเธอ แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไร “เธอหลอกฉัน…”
มู่หรงเสวี่ยนวดมือที่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ไม่พูดอะไร สิ่งที่เธอปกปิดไว้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วแต่เธอก็ไม่อยากที่จะอธิบายอะไร ภายในรถเงียบไปสักพัก ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยก็ยังคิดเรื่องที่จะแวบเข้าไปในมิติลับอยู่แต่มันก็อันตรายเกินไปที่จะเข้าไปทั้งๆที่ชางกวนหลินก็ยังอยู่ในรถด้วย
หลังจากนั้นสักพักชางกวนหลินก็สตาร์ทรถ “ช่างมันเถอะ เธอไม่อยากที่จะพูด…” แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ บรรยากาศในรถจึงเต็มไปด้วยความเงียบ
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก ไม่ใช่ว่าเธออยากจะโกหกแต่มิติลับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก อีกอย่างเธอก็ไม่ได้สนิทอะไรกับชางกวนหลินด้วย เธอเพียงแค่เคยไปดูดอกไม้กับเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกอย่างท่าทางและอะไรหลายๆอย่างในตัวเขาก็ดูจะเข้าใจยากด้วย แล้วแบบนี้เธอจะกล้าเอาชีวิตไปฝากไว้กับเขาได้ยังไง เธอมองไปที่ชางกวนหลินที่มีสีหน้าเย็นชาแล้วจึงกระซิบออกมาเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ…”
ชางกวนหลินจับพวงมาลัยแน่นแต่สีหน้าที่เย็นชาดูจะจะผ่อนคลายลงมาก
ตอนที่เขาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณตรวจร่างกายของ มู่หรงเสวี่ย เขาพบว่าในตันเถียนของมู่หรงเสวี่ยมีแสงออร่าอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งคนที่ไม่ได้รับการฝึกไม่มีทางที่จะมาอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ
ดังนั้นมันก็เห็นอยู่ชัดๆว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังหลอกเขาอยู่ เมื่อเขาได้รู้เรื่องนี้ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร
แต่เมื่อเขาลองคิดดู เขาก็รู้สึกเข้าใจ ยิ่งเมื่อได้ยินคำขอโทษจากเธอ ความโกรธที่มีก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆจางหายไป เดิมทีพวกเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
ยิ่งรถขับห่างออกไปจากเมืองมากขึ้นเท่าไร มู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากเท่าไร มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่นิกายแบบนี้จะตั้งอยู่ในเมือง
จนถึงภูเขาสูงซึ่งภูเขาเป็นกำแพงหินที่ไม่มีทางอื่นให้ขับไปอีก ชางกวนหลินก็หยุดรถแล้วหันมาพูดกับมู่หรงเสวี่ยว่า “ลงจากรถ!”
มู่หรงรู้สึกงงแล้วก็ลงมาจากรถ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นี่ถึง…เราจะ?” แต่ที่นี่ไม่มีอะไรที่เหมือนกับนิกายเลย
“เราจะเข้าไปยังไงงั้นเหรอ? ตามฉันมา ที่นี่มีการตั้งค่ายกลของนิกายผู้ฝึกตน เราต้องเข้าไปหาท่านอาจารย์โดยผ่านทางนั้น…” ชางกวนหลินพูดในระหว่างที่เขาเดินไปที่หน้าผา
มู่หรงเสวี่ยแบกกระเป๋าอยู่แต่ก็เดินตามเขาไปด้วย
“ส่งกระเป๋ามาให้ฉัน!” ชางกวนหลินยื่นมือออกมาแล้วพูดกับมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงส่งกระเป๋าให้เขา หลังจากที่ชางกวนหลินรับกระเป๋าไป แล้วก็ใส่กระเป๋าลงไปในกระเป๋าขนาดประมาณฝ่ามือเขา
ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่มัน…”
ชางกวนหลินไม่แปลกใจกับท่าทางตกใจของมู่หรงเสวี่ยเลย อันที่จริงตอนที่เขาเห็นมันครั้งแรกเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน “นี่คือกระเป๋ามิติลับซึ่งจะมีพื้นที่เป็นของตัวเอง มีขนาดประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ถูกสร้างโดยผู้หลอมอาวุธ ช่างที่ทำก็เป็นผู้ที่ฝึกตนด้วยเหมือนกัน…” เขาเขย่ากระเป๋ามิติลับที่อยู่ในมือพร้อมทั้งอธิบาย
“นายหมายความว่าทุกคนที่อยู่ในโลกของการฝึกจะมีมิติลับงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม เธอเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีมิติลับซะอีก แต่ไม่คิดว่าจะเห็นของที่คล้ายกันอยู่ที่ชางกวนหลินด้วย ก่อนหน้านี้เธอช่วยไร้เดียงสาจริงๆ เธอไม่เคยคิดเลยว่าของที่มหัศจรรย์อย่างมิติลับจะถูกสร้างได้ในโลกแห่งการฝึก
เธอเริ่มที่จะสงสัยว่าในโลกของผู้ฝึกตนมีเวทมนตร์ประเภทไหนกัน มากขึ้นเรื่อยๆ
“จะมีกันทุกคนได้ยังไงล่ะ? นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการหาอุปกรณ์ในการสร้างที่หายากมากอีกนะ แต่ก็ยังมีโรงงานผลิตอาวุธอีกมากมายอยู่ คาดว่าน่าจะเหลือโรงถลุงแร่อยู่เพียงไม่กี่แห่งแล้วล่ะ อีกอย่างสายตาของผู้สร้างก็จะมองแต่ผู้ฝึกในระดับสูงๆเท่านั้นด้วย! ถ้าเธอไม่ใช่ตัวท็อป เธอก็ไม่มีวันได้ของพวกนี้หรอก ถึงแม้เธอจะสัญญาว่าจะพยายามแต่ก็ไม่มีอะไรมารับรองว่าเธอจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงมีคนไม่มากที่ได้มิติลับนี้…”
“แบบนี้นี่เอง…” แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่มีมิติลับ เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี
แต่เรื่องที่มู่หรงเสวี่ยไม่รู้คือกระเป๋ามิติลับของ ชางกวนหลินแตกต่างจากของเธอ กระเป๋ามิติลับไม่สามารถเอาสิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ในนั้นได้ เมื่อนำสิ่งมีชีวิตใส่เข้าไปในกระเป๋ามิติลับ พวกมันก็จะต้องตายในทันที อย่างไรก็ตามกำไลมิติลับของมู่หรงเสวี่ยสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
“ส่งมือเธอมา…” ชางกวนหลินพูด
มู่หรงเสวี่ยถาม “ทำไมเหรอ?”
“เรากำลังจะลงไปข้างล่าง…” ชางกวนหลินชี้นิ้วลงไปที่เบื้องล่างของหน้าผา
มู่หรงเสวี่ยตกใจ “ลงไปเหรอ?! แล้วเราจะรอดเหรอ?” หน้าผาลึกจนแทบมองไม่เห็นข้างล่าง ถ้ามีคนกระโดดลงไปจากตรงนี้ก็เดาได้ว่ากระดูกน่าจะแตกละเอียดหมดแน่ๆ
ชางกวนหลินพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เธอไม่ตายหรอก! ฉันจะสนุกกับชีวิตหน่อยไม่ได้หรือไง?”
มู่หรงเสวี่ยเหลือบมองไปที่เขาและมั่นใจว่าเขาไม่ได้จะฆ่าตัวตาย เธอค่อยๆวางมือเล็กๆของเธอลงไปที่มือเขา
ชางกวนหลินจับมือเธอแน่นแล้วกระซิบเสียงเบา “โดด…”
ทั้งสองกระโดดลงไปที่หน้าผาทันที มู่หรงเสวี่ยที่รู้สึกตกใจอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “อ่า!”
หลังจากนั้นมานาน “อย่าร้อง ลืมตาดูก่อน เราปลอดภัยดี…” เสียงของชางกวนหลินดังขึ้นมาข้างหูเธอ
มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกถึงสภาพไร้น้ำหนักเลยตั้งแต่แรก เธอค่อยๆลืมตาขึ้นแต่ก็พบว่าพวกเขากำลังลอยอยู่ในอากาศ รอบๆตัวดูเหมือนจะมีบาร์เรียโปร่งแสงที่กั้นการตกเอาไว้