“ นายน้อย ตอนนี้ …. ท่านจะไปร่วมงานเลี้ยงกับสกุลได้อย่างไร ? ”

ผู้เฒ่าผังหยิบร่มมาจากองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขา และกางมันเหนือหัวของจวินโม่เซี่ย

“ ไม่มีปัญหา ! ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร ”

จวินโม่เซี่ยตอบกลับไปอย่างกล้าหาญ

“ มันเป็นเปพียงแค่อุบัติเหตุเล็กน้อย ข้าเคยเจอที่แย่กว่านี้มาแล้ว ”

แม้ว่าปากของผู้เฒ่าผังจะอ้าออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกได้ว่าจวินโม่เซี่ยคงจะได้รับความสนใจในเรื่องนี้ 

 นายน้อยได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ได้ประสบกับการลอบสังหารองค์หญิง … หากเทียบกับเรื่องนั้น การที่เขาถูกรอบสังหารในครั้งนี้นั้น เทียบไม่ได้เลยเนื่องจากนายน้อยไม่ได้บาดเจ็บเลยสักนิด

“ หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะต้องกลับบ้านนายน้อย นายท่านและสกุลกวนรอท่านอยู่นานแล้ว ”

ผู้เฒ่าผังกล่าว

“ เดี๋ยวก่อน อย่างแรกข้าต้องกลับไปเพราะข้าอยากไปดูว่าเกี้ยวของข้าเป็นเช่นไร … มันยังมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น ”

จวินโม่เซี่ยคว้าร่มมาและหันกลับไป

เกี้ยวโดนโจมตีครั้งแรกจากอาวุธลับ และโดนเผา และตอนนี้ฝนก้ได้ทำให้มันกลายเป็นกองเถ่าถ่านและดินโคลน มันจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ได้ ?

แม้ว่าผู้เฒ่าผังจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ยังคงเดินตามจวินโม่เซี่ยไปเพื่อดูแลความปลอดภัยของเขา

จวินโม่เซี่ยเดินวนไปมารอบๆเกี้ยวราวกับแมลงวัน และจากนั้นเขาก็ย่อตัวลงและหยิบบางอย่างขึ้นมาจากพื้น และจากนั้นก็มองไปทางทิศตะวันออก ตะวันตก และหันตัวไปหนึ่งรอบ จากนั้นเขาก็คืนร่มกลับไปให้ผู้เฒ่าผังและพูด

“ ไปกันเถอะ ”

“ ข้าไม่คิดว่าอาวุธที่เจ้าหยิบมานั้นเป็นของท่าน นายน้อย ”

ดวงตาระดับปฐพีเชวียของผู้เฒ่าผังนั้นมีความสามารถมากพอที่จะเห็นสิ่งที่จวินโม่เซี่ยหยิบมา 

 เจ้าเดินมาที่นี่แล้วหยิบเอาอาวุธลับที่ศัตรูทิ้งไว้ข้างหลังอย่างนั้นหรือ ? อาวุธนี้ช่างธรรมดามาก … มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะคิดว่าอาวุธนี้จะให้เบาะแสอะไรได้ … นายน้อยนั้นถือว่าตัวเขาเองฉลาด …

แม้เขาจะเห็นว่าจวินโม่เซี่ยหยิบอาวุธขึ้นมา แต่เขาก็ไม่เห็นว่าจวินโม่เซี่ยมองไปทางใหน หรือ เอ่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินโม่เซี่ยในตอนนั้น

แม้ลมและฝนยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะกลบร่องรอยทั้งหมดของมือสังหาร ยังมีร่องรอยเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ คนสกดรอยของสกุลจวินนั้นยังไม่สามารถที่จะเข้าใจหรืออธิบายถึงมันได้

อย่างเช่น สายลมยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ … แม้กลิ่นนั้นจะเบาบางอย่างมากจนคนธรรมดาไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ประสาทสัมผัสของจวินโม่เซี่ยนั้นแหลมคมมากพอที่จะสัมผัสมันได้

และคำสั่ง ถอย ที่คุ้นเคย ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมากพอที่จะบอกได้ว่ามาจากคนๆเดียวกัน ! รอยยิ้มที่ชั่วช้าปรากฏขึ้นในขณะที่เขาเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน

เมื่อมาถึงบ้าน จวินโม่เซี่ยพบปู่ของเขายืนอยู่ที่ประตูใหญ่ ดวงตาของชายแก่มองหลานชายของเขาทั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบรอยขีดข่วนใดๆ เขาขมวดคิ้วในเชิงดุด่า

“ เมื่อใหร่ที่เจ้าจะแข็งแกร่งมากพอให้ข้าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้า ! ตอนนี้ไปเปลี่ยนชุด ”

จวินโม่เซี่ยไปที่ห้องของเขาอย่างเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับปู่นัก

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและไปยังห้องทานอาหาร และพบว่าอาหารและเครื่องดื่มนั้นถูกนำมาวางที่โต๊ะแล้ว จวินวูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขาพร้อมกับผ้าที่คลุมขาของเขาไว้ เขามองมาที่จวินโม่เซี่ย ยิ้มนิดๆและกระซิบเบาๆ

“ ข้าไม่รู้ว่าเคล็ดอะไรที่จะต้องใช้เพื่อรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย … โม่เซี่ย น้าของเจ้าอยากรู้จริงๆ เจ้าจะต้องบอกข้าถึงที่มาของเคล็ดนี้ อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของมัน ! ”

“ เอ่อ … ท่านน้า โลกที่ยิ่งใหญ่นี้เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ และ พรสวรรค์ที่แสนวิเศษ นี่ …. ”

จวินโม่เซี่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ หยุด ข้าไม่อยากพูดอีกแล้ว ”

จวินวูอี้เบิกตากว้างเพื่อเพ่งมองไปยังหลานชายของเขา

“ พวกเขานั้นเป็นอย่างไร ? เจ้ามีความคิดอะไรเรื่องพวกเขาไหม ? ”

“ ข้ามีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ข้าอาจจะตามหาพวกเขาบางคนได้ ”

จวินโม่เซี่ยขยิบตา

“ ข้าควรจะส่งใครไปช่วยเจ้าไหม ? ”

ทันใดนนั้นสีหน้าของจวินวูอี้เย็นชาลง 

 เจ้าชั่วนั้นพยายามจะสังหารโม่เซี่ยของข้า ดังนั้นพวกมันจะต้องตาย !

“ ยังไม่ถึงเวลานั้น ”

จวินโม่เซี่ยยิ้มกลับไป

“ พวกเขาทำให้พวกเรามั่นใจในบางอย่าง แต่หากเราส่งคนของเขาตามพวกเขาไป มันจะทำให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ”

“ เจ้าหมายความว่า …. เจ้ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ? ”

ดวงตาของจว้นวูอี้เปล่งประกาย

“ ท่านน้า เห็นได้ชัดว่าการมองการไกลของท่านนั้น สามารถทำให้ท่านวางแผนการรบได้จากในกระโจม และเอาชนะสงครามได้จากระยะที่ห่างออกไปนับพันไมล์ … ”

จวินโม่เซี่ยประจบ

จวินวูอี้ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ สกุลกวน ? ”

จวินโม่เซี่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ เราจัดงานเลี้ยงนี้เพื่อพวกเขา เหตุใดพวกเขาถึงไม่อยู่ที่นี่ ? ”

“ พวกเขาอยู่ที่ลานบ้านของพี่สะใภ้เจ้า เซี้ยวฮั่นกำลังโกรธ ”

จวินวูอี้ยิ้มน้อยๆ

“ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว มันจะดีกว่าหากเรารออยู่ที่นี่ ”

ในขณะที่เขาพูดคำสุดท้าย จวินโม่เซี่ยหันหน้ามองออกไปยังสายฝนด่านนอก และเห็นคนเดินต่อแถวเข้าไปยังพื้นที่จัดเลี้ยงอย่างช้าๆ

พวกเขาคือสกุลกวน !

คนจากสกุลกวนทั้งห้าออกมาเพื่อทานมื้อค่ำด้วยความสวยงาม แต่นำหน้ามาด้วเซี้ยวฮั่น และตามมาด้วยคนที่ต่ำและสูง ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีเขียว แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะกระพือด้วยแรงลม แต่ชุดของเขาก็แห้งสนิท ราวกับว่าชุดของเขาไม่ได้รับผลจากสายฝนที่อยู่ด้านนอก ชายผู้ที่อยู่ด้านหลังเซี้ยวฮั่นคือพ่อของนาง กวนดุงหลิว เขายังเป็นหัวหน้าสกุลกวนอีกด้วย

ด้านหลังกวนดุงหลิวนั้นเป็นชายร่างใหญ่ที่ดูมีอายุ แม้ว่าผมและหนวดของเขานั้นจะเป็นสีเทา แต่ร่างของเขานั้นใหญ่และดูหนักแน่น ดวงตาที่คมกริบของเขานั้นดูราวกับเสือดาว และท่าเดินที่เหมือนเสือของเขาทำให้ตัวตนของเขาชัดเจน กวนหลูซาน นั้นเป็นหนึ่งในนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสกุลกวน

ที่ตามกวนหลูซานมานั้น คือเด็กหนุ่มสองคนที่มีใบหน้ายาว ราวกับหยก สง่างาม ฉลาดและหล่อเหลา ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นพี่ของกวนเซี่ยวฮั่น คนแรกชื่อ กวนเซี่ยวโบ ในขณะที่คนที่สองนั้นคือ กวนเซี่ยวยี่

กวนเซี่ยวฮั่นนั้นสง่างามและงดงามอย่างมาก แต่ความสง่างามและลักษณะของพี่ๆของนางนั้นก็เทียบเท่ากับนาง 

 สกุลนี้มียีนที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ

จวินโม่เซี่ยคิด 

 พวกเขาไม่ดูเหมือนกับปลอกหมอนไปหน่อยหรือ ?

“ พี่กวน ! ”

จวินวูอี้กล่าวทักทายกวนดุงหลิวด้วยการพนมมือ ในขณะที่เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อน

“ พี่จวิน ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรอตอง ”

กวนดุงหลิวยิ้มอย่างแจ่มใสขณะที่เขาพนมมือเพื่อตอบรับคำทักทาย และจากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ ลูกชายทั้งสองของเขาเดินออกมาและทักทายจวินวูอี้

“ ทายาทรุ่นที่สามแห่งสกุลจวินช่างหล่อเหลา สง่างาม และมีพรรสวรรค์ที่วิเศษอย่างมาก พี่จวิน อนาคตของสกุลของท่านคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องกังวล ”

กวนดุงหลิวเหล่ตามองไปยังจวินโม่เซี่ยและยิ้มด้วยความรัก

ท่าทางที่จริงใจและคำยกย่องซึ่งเขาได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่ดูถูกออกมานี้เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก ! จวินโม่เซี่ยบอกได้เลยว่า การรักษาความสัมผันกับผู้ที่มีความสามารถด้านการทูตนี้เป็นงานที่ยากอย่างมาก

แต่ในตอนนี้ ดวงตาของจวินโม่เซี่ยก็หันไปสนใจกับเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง กวนเซี่ยวยี่ ผู้ที่ตั้งใจจะเอาตัวเองหลบอยู่ด้านหลังพ่อของเขา ดวงตาของเขานั้นเผยให้เห็นถึงความโกรธเมื่อได้เห็นจวินโม่เซี่ย ซึ่งได้กลายเป็นสายตาที่ตกตะลึงและประลาดใจอย่างรวดเร็ว ราวกับเขาไม่คาดว่าจวินโม่เซี่ยนั้นอยู่ที่นี่ แม้ว่าแววตาเช่นนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็วซึ่งไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น แต่เขาก็ยังไสามารถที่จะปิดบังจากสายตาที่แหลมคมของมือสังหารได้

จวินโม่เซี่ยอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ 

 อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสายตานั้น ?

เขานึกถึงความทรงจำต่างๆที่เขาหรือจวินโม่เซี่ยคนเก่ามีความเชื่อโยงกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่เขาก็ไม่พบความเกี่ยวข้องใดๆเลย เขาไม่เคยเห็นหน้าของชายผู้นี้มาก่อน 

 แต่เหตุใดเขาถึงดูตกใจหลังจากที่เห็นข้า ? ข้าพลาดอะไรไป ?

แม้จวินโม่เซี่ยจะวุ่นอยู่กับความคิด สีหน้าของเขาก็ยังคงปกติในขณะที่เขาเดินต่อไป และยิ้มอย่างสุภาพเพื่อทักทายกวนเซี่ยวโบและกวนเซี่ยวยี่ เขาเคยได้ยินมาว่า สองพี่น้องของพี่สะใภ้ของเขานั้นมีความสนใจเดียวกันกับจวินโม่เซี่ยคนก่อน

มันเป็นธรรมเนียมของเจ้าบ้านที่จะทำให้แขกรื่นเริง ผู้อาวุโสนั้นมีความรับผิดชอบที่จะทำให้คนในวัยเดียวกันมีความสุข ในขณะที่คนหนุ่มมีความรับผิดชอบในการดูแลคนในวัยเดียวกัน เนื่องจากจวินโม่เซี่ยนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มในสกุลจวิน ภาระในการที่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นมีความบันเทิงจึงตกมาที่เขา

“ นายน้อยสาม ”

เด็กหนุ่มทั้งสองพนมมือทักทาย แม้ว่าชื่อนี้จะเป็นชื่อปกติที่คนแปลกหน้าจะเรียกเขา แต่มันก็ค่อนข้างแปลกที่พี่ของพี่สะใภ้ของเขาใช้ เนื่องจากมันควรจะเป็น พี่ชาย หรือน้องชาย สกุลกวนนั้นมีรกรากอยู่ที่จังหวัดเจียงฮู และขอบเขตพื้นที่ของเขาก็เล็กพอสมควร แต่สกุลของเขาก็ยังมั่งคั่ง และมีอิทธิพล เนื่องจากพวกเขาเป็นเจ้านายในพื้นที่นั้น คนหนุ่มจากสกุลนี้จึงจะต้องรู้ถึงการเรียกชื่อที่เหมาสม

การเรียกชื่อนี้มันก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นไม่ถือว่าจวินโม่เซี่ยเป็นน้องของน้องสะใภ้ของเขา และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาถือว่าพวกเขาอยู่ในสกุลที่ทรงอำนาจ

เพียงแค่ใช้คำว่า นายน้อยสาม มันก็เพียงพอที่จะบอกข้อมูลต่างๆให้แก่จวินโม่เซี่ย ทันใดนั้น รอยยิ้มที่อบอุ่นก็เผยขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาผายมือออกไป และนำทางเด็กหนุ่มทั้งสองไปยังมุมที่ว่างเปล่าของห้องทานอาหาร มือของกวนเซี่ยวยี่กระตุกขณะที่จวินโม่เซี่ยดึงเขาไป และแม้ว่าการสั่นนี้จะเบาบางอย่างมาก แต่จวินโม่เซี่ยก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวที่อยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้

แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้สะท้อนอะไรแต่ในใจของเขาก็กำลังคิดถึงสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา 

 จะเป็นไปได้ไหม ?

แม้ว่าในใจของจวินโม่เซี่ยกำลังง่วนอยู่กับการคิดต่างๆ ปากของเขาก็ยังชวนพูด

“ พวกเจ้าเดินทางมานับพันไล์ เพื่อมายังเมืองเทียนเชียง … แต่ข้าไม่ได้มาต้อนรับพวกเจ้าในสองวันก่อนเลย ท่านพี่ …. ”

กวนเซี่ยวโบยิ้มอย่างสง่างามและพูด

“ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี สองวันก่อนในเมืองเทียนเชียงของพวกเรานั้นน่าตื่นเต้นอยู่แล้ว และพวกเราก็ได้ทำให้ตัวเองสนุกสนาน พวกเราพบเจอคนใหม่ๆมากมาย และก็ได้พบว่า ที่นี่เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเชียง พวกเรายุ่งมากน้องชาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขอโทษ จริงๆนะ ฮ่าฮ่า ….. ”

กวนเซี่ยวโบนั้นเป็นเหมือนกันพ่อของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเลือกคำพูดต่างๆที่ตอบกลับมา จวินโม่เซี่ยรู้ว่า กวนเซี่ยวโบนั้นสนใจในกิจกรรมบางอย่างเช่นเดียวกับจวินโม่เซี่ยคนก่อน แต่นั่นก็ยังมองให้ออกได้ยากเนื่องจากท่าทีที่ซับซ้อนเนื่องจากเขาพยายามควบคุมตัวเอง !

“ โอ้ ? ”

จวินโม่เซี่ยเข้าไปใกล้อย่างแนบเนียน และพูดด้วยเสียงเบา

“ ดังนั้น ข้าสามารถแนะนำสถานที่ซึ่งจะทำให้พี่ทั้งสองมีความสุขยิ่งที่กว่าที่ใหนๆ …. ”

“ ที่ใหน ? ”

กวนเซี่ยวโบถามเบาๆ

สีหน้าที่ต่ำทรามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจวินโม่เซี่ย ซุ่งมีเพียงแต่ผู้ชายแบบนั้นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เขารีบชำเลืองมองกวนเซี่ยวฮั่นอย่างรวดเร็วเพื่อความแน่ใจว่าเขายื่นอยู่ห่างจากนางมากพอ

“ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ! ที่นั่นเป็นสวรรค์ของผู้ชาย เจ้าไม่ควรพลาดที่จะไปที่นั่น …. ”

ใบหน้าของกวนเซี่ยวยี่กระตุกอยู่ไม่นานในตอนที่เขาได้ยินชื่อ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ