ตอนที่ 1217 สืบข่าวของฮ่องเต้ / ตอนที่ 1218 หยิบพระราชเสาวนีย์ออกมาสำแดง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1217 สืบข่าวของฮ่องเต้

 

 

“เช่นนั้นก็คือ…”

 

 

“แม่นางอู๋ช่างเป็นคนที่ใช้อำนาจปิดบังฟ้า แม้แต่ในพระราชวังแห่งนี้ก็ยังมีผู้สอดแนมของตนเองอยู่  เกรงว่าคงจะผู้สอดแนมสอดส่องหอเก็บตำราตลอดเวลา หากทางฮ่องเต้นี้มีการเคลื่อนอะไรแม้แต่นิดเดียว คนผู้นั้นก็จะรายงานกับแม่นางอู๋ทันที”

 

 

“แม่นางอู๋จึงสามารถเดินทางมาที่นี่อย่างรวดเร็วได้ถึงขนาดนี้ แม้กระทั่งเหล่าขุนนางใหญ่ก็ยังไม่ทราบเรื่องที่ฝ่าบาทถูกลอบสังหาร แม่นางอู๋ก็ถลามาที่หอเก็บตำราแห่งนี้เสียแล้ว!”

 

 

ขณะที่ซูหลีพลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้แววตาที่ลุ่มลึกมองไปที่อู๋โยวหรานและเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางอู๋ว่าข้าพูดถูกต้องหรือไม่”

 

 

อู๋โยวหรานตะลึงงันเป็นอันดับแรก จากนั้นทั้งร่างจึงสั่นเทิ้มอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ได้

 

 

นี่เป็นครั้งแรก!

 

 

นางได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับซูหลีอยู่บ้าง ยิ่งรับรู้ว่าซูหลีไม่ใช่คนที่จะสื่อสารกับใครได้ง่าย ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทีอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก

 

 

ซูหลีไม่เคยมีความขัดแย้งมาก่อน นางจึงคิดว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น

 

 

ทว่าในวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้นางสัมผัสได้ว่าซูหลีไม่ใช่คนโง่

 

 

อีกทั้งนางยังปรากฏตัวได้ไม่นาน ก็ถูกซูหลีจับผิดได้แล้ว!

 

 

คำพูดนี้ทันทีที่ได้ยิน ก็แค่รู้สึกว่าไม่รื่นหูนัก ดูเหมือนไม่ได้จุดที่พูดเกินเหตุจนเกินไป ทว่าหากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับเป็นทำให้จิตใจของคนที่ฟังรู้สึกหนาวสะท้าน

 

 

แม้จะเป็นบุคคลทั่วไปก็คงไม่ชอบให้ใครมาตรวจสอบและเฝ้าติดตามเรื่องของตน

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินเย่หานที่เป็นฮ่องเต้

 

 

เรื่องที่เป็นข้อห้ามของฮ่องเต้ที่สุด นั่นก็ถือการถูกผู้อื่นสอดแนมเรื่องของตนเอง

 

 

โดยเฉพาะการถูกคนลอบติดตาม ในเวลานี้เพิ่งจะเกิดการลอบสังหารขึ้น แน่นอนว่าในพระทัยของฮ่องเต้จักต้องไม่สงบขนาดนี้

 

 

คำพูดเหล่านี้ออกจากปากซูหลี ทำให้อู๋โยวหรานรู้สึกว่าฉินเย่หานที่อยู่ด้านข้างใช้สายตาเย็นยะเยือกมองมาที่ตน ในชั่วขณะนี้นางจึงสะดุ้งโหยง ทั้งร่างประหนึ่งตกลงในตรอกลึกที่หนาวยะเยือกมิปาน

 

 

“ตุบ!” ทันใดนั้นอู๋โยวหรานคุกเข่าลง ใบหน้าจิ้มลิ้มที่งามเพริศ ดูซีดเผือดไปไม่น้อย ทั้งดูตื่นตระหนกและเคร่งเครียด

 

 

“มะ ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านพูด!” อู๋โยวหรานเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างตื่นตระหนก นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“เป็นเสด็จป้า!” นางพูดจบดวงตาของนางก็เป็นประกาย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เสด็จป้าทรงทราบข่าวที่ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะพระวรกายไม่แข็งแรง จึงไม่สามารถเสด็จมาด้วยตนเอง ถึงทรงรับสั่งให้โยวหรานมาที่นี่!”

 

 

“ล้วนเป็นเพราะโยวหรานที่ไม่ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ถึงได้ทำให้ท่านซูเข้าใจผิด ล้วนเป็นความผิดของโยวหรานเอง!” กิริยาท่าทางของนางดูต่ำต้อยจนไม่สามารถต่ำต้อยได้กว่านี้แล้ว

 

 

หากเป็นสตรีทั่วไปเมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารของนางเช่นนี้ คงจะไม่สามารถใจแข็งหรือสามารถพูดคำพูดไม่ดีอะไรออกมาได้แล้ว

 

 

ถึงอย่างไรนางก็ปฏิบัติต่อซูหลีอย่างเคารพนับถือมาตั้งแต่แรก เรียกซูหลีว่าพี่สาวตลอด ยากที่นางมองซูหลีใบหน้านางจะเต็มไปด้วยความชื่นชม การแสดงออกของนางนั้นล้วนเป็นการปฏิบัติต่อซูหลีผู้นี้ด้วยความเคารพ

 

 

ดูแล้วเหมือนไร้พิษสงอะไร

 

 

ทว่านั้นเป็นความคิดของคนโดยทั่วไป ทว่าซูหลี…

 

 

นางนั้นไม่นับว่าเป็นคนปกติ นับประสาอะไรกับการมีความคิดเหมือนคนทั่วไป

 

 

หลังจากได้นางได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความตกใจและเอ่ยถามอย่างรีบร้อนว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรือ เช่นนั้นหากไทเฮาทรงกระทำทุกอย่างด้วยความจริงใจจริง ในเมื่อฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าไทเฮาควรจะพระราชทานข้าราชบริพารของพระวรกายให้แด่ฮ่องเต้ถึงจะถูก”

 

 

“เรื่องสำคัญขนาดนี้กลับทรงตรัสกับแม่นางอู๋ในเวลาแรก! การกระทำเช่นนี้ควรจะตกรางวัลให้อย่างงามใชหรือไม่”

 

 

ครืด!

 

 

อู๋โยวหรานรู้สึกว่าบนหน้าผากของตนผุดเหงื่อเย็นขึ้นเต็มไปหมด

 

 

คำพูดที่ซูหลีพูดออกมาล้วนเป็นสิ่งตรงกันข้าม!

 

 

ไม่มีข้ารับใช้ที่ไหนที่กล้าเปิดเผยเส้นทางของนายท่านของตนและวิพากษ์วิจารณ์นายท่านของตนลับหลัง การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การไม่ต้องการชีวิตของตนแล้วหรือ มิหนำซ้ำจะได้รับการตกรางวัลได้อย่างไรกัน!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1218 หยิบพระราชเสาวนีย์ออกมาสำแดง

 

 

อู๋โยวหรานเริ่มรู้สึกลนลาน แม้แต่ร่างทั้งร่างก็ยังยืนไม่ค่อยมั่นคง จนเกือบจะล้มลงที่พื้น

 

 

นางแอบหยิกตนเองครั้งหนึ่ง เพื่อบังคับให้ตนเองตื่นตัว ควบคุมอารมณ์ให้มั่นคง จากนั้นจึงพยายามยิ้มออกมาและเอ่ยว่า

 

 

“ท่านพี่ซูคงยังไม่ทราบ เรื่องนี้เป็นไทเฮาที่ทรงตรัสกับโยวหรานด้วยตรงพระองค์เอง พระวรกายของเสด็จป้าไม่ค่อยสู้ดีนัก แน่นอนว่าโยวหรานสามารถแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลยแม้แต่น้อย…”

 

 

หลังจากนางพูดถึงตรงนี้ เสียงพูดก็เล็กลงเรื่อยๆ นางเหลือบตามองซูหลีครู่หนึ่ง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความขี้ขลาด พร้อมทั้งยังมีความหวาดกลัวอยู่ด้วย จนคล้ายดังกระต่ายที่น่าสงสารตัวหนึ่งมิปาน

 

 

ที่กำลังจ้องมองนายพรานผู้ทรงพลัง คิดที่จะใช้แววตาของตนเอง ทำให้นายพรานผู้นี้โอนอ่อน!

 

 

“หากท่านพี่ซูไม่ชอบให้โยวหรานมาที่นี่ เช่นนั้นโยวหรานก็จะกลับไปทันที อย่างไรก็อย่าให้เป็นเพราะโยวหราน ผู้ซึ่งไม่มีค่าอะไรต้องทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮาเด็ดขาด!”

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย โอ้โห นี่ยังถือว่าเป็นคนที่เก่งกาจยิ่งนัก

 

 

ที่ยังสามารถโต้ตอบกลับได้!

 

 

ความหมายในคำพูดของนาง ก็ไม่ใช่สื่อว่าซูหลีกลั่นแกล้งนาง ทั้งยังต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับฮ่องเต้หรอกหรือ!?

 

 

ข้อกล่าวหานี้ดูเหมือนจะมากเกินไปแล้ว ซูหลีมองนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พร้อททั้งฉายแววถากถางออกมา

 

 

ช่างเก่งกาจอา อู๋โยวหรานผู้นี้มีเพียงแต่มีภูมิหลังที่ไม่ด้อย และแผนการของนางนั้นถือว่าพอใช้ได้

 

 

อย่างน้อยก็มีจริตมากกว่าสตรีในอดีตเหล่านั้นอยู่หลายส่วน

 

 

การเสแสร้งทำกิริยาท่าทางให้ดูอ่อนแอเช่นนี้ ถึงทำให้ผู้คนมองไปทางนางมากหลายส่วน อีกทั้งยังสามารถเรียกความสงสารจากบุรุษได้อย่างง่ายดาย

 

 

ซูหลีเหลือบตามองไปทางฉินเย่หานครู่หนึ่ง ทว่ากลับเห็นบุรุษผู้นี้ยังคงมีท่าทีไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเช่นเดิม

 

 

น่าเสียดายนัก

 

 

อุตส่าห์แสร้งทำเป็นดอกปทุมสีขาว ทำเรื่องตั้งมากมาย ทั้งหมดนี้กลับทำให้คนตาบอดดู!

 

 

เกรงว่าตั้งแต่ต้นฉินเย่หานจะมองไปทางนางเพียงกี่ปราดเท่านั้น นับประสาอะไรกับจะเก็บท่าทีของนางมาใส่ใจ!

 

 

ฝ่าบาททรงไม่สนพระทัย แม้นางจะใช้ไทเฮาเป็นร้อยพระองค์มาข่มขู่ซูหลี ซูหลีก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่ก่อนนางยังกล้าไม่ไว้หน้าไทเฮาซึ่งๆหน้า นับประสาอะไรกับบัดนี้ที่ไทเฮาไม่อยู่ ทว่าอู๋โยวหรานใช้พระนามของพระองค์มาข่มขู่ซูหลี

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม่นางอู๋สู้หยิบพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาออกมาสำแดงเสียดีกว่า” ซูหลีมองทางนางและเอ่ยขึ้นอย่าวแน่วแน่

 

 

ใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ ทว่าคำพูดที่นางเอ่ยออกมานั้นกลับไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย!

 

 

อู๋โยวหรานได้ยินดังนั้น สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที

 

 

ซูหลีมองภาพตรงหน้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงไม่พอใจออกมา ที่เรียกว่ายกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเองเป็นเช่นนี้เอง

 

 

อู๋โยวหรานผู้นี้ตั้งแต่ถลาเข้ามา ล้วนเอ่ยว่านำพระราชเสาวนีย์ของไทเฮามาถวาย

 

 

อีกทั้งเมื่อครู่ยังใช้พระนามของไทเฮามาข่มขู่นางอย่างต่อเนื่อง

 

 

ทว่าซูหลีไม่เชื่อว่าในมือนางจะมีพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาอะไรจริงๆ

 

 

ถึงอย่างไรช่วงเวลาก็สั้นเกินไป เรื่องที่ฉินเย่หานถูกลอบสังหาร แค่ผ่านไปสองเค่อเท่านั้น หากไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ ทั้งยังเรียกอู๋โยวหรานผู้นี้ให้มาที่นี่ อีกทั้งเพื่อเป็นการป้องกันให้แก้ปัญหา จึงทรงเขียนพระราชเสาวนีย์เป็นเครื่องช่วยยืนยัน

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้!

 

 

ไทเฮาอาจจะตรัสอะไรกับอู๋โยวหรานจริง ทว่าซูหลีมั่นใจว่าพระราชเสาวนีย์อะไร ไม่มีอยู่ในมือของนางอย่างแน่นอน

 

 

รู้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว!

 

 

“ทะ ไทเฮา…” เป็นอย่างที่คิดมิผิด อู๋โยวหรานที่พูดด้วยเหตุผลฉอดๆเมื่อครู่ ในเวลานี้กลับพูดไม่ออก นางคุกเข่าอย่างสั่นเทิ้ม ไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์ออกมาสักประโยค

 

 

“ทำไมรึ หรือแม่นางอู๋ไม่มีพระราชเสาวนีย์ฉบับนั้น” ซูหลีถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ