ตอนที่ 454 คุ้นเคยดี

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 454

คุ้นเคยดี

“หัวหน้า นางเป็นใครกันแน่”หนึ่งในชายชุดแดงพูดพลางมองไป๋หลินที่พึ่งลงจากหลังของไป๋ไป่ไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกพวกมันกะจะบอกให้นางพามังกรบินลงไปที่นอกวังเพราะการพาอสูรบินเข้าวังหลวงนั้นถือเป็นข้อห้าม แต่ทันทีที่ไป๋ไป่บินผ่านกำแพงวัง นอกจากจะไม่มีใครโจมตีแล้ว ท่านหัวหน้ายังยกมือห้ามเหมือนจะบอกว่าห้ามโจมตีอีกต่างหาก

“ข้า…ก็ไม่รู้”หัวหน้าหน่วยตอบ พวกมันยังเป็นทหารหน่วยใหม่เลยไม่ทราบว่าไป๋หลินคือใคร ตรงกันข้ามพวกทหารรุ่นเก่าต่างทราบดีว่าไป๋หลินคือใคร ทำให้ไม่มีใครคิดจะโจมตีไป๋ไป่ซึ่งเป็นเหมือนอสูรประจำตัวของไป๋หลินอยู่แล้ว แม้จะมีทหารใหม่บางคนตกใจแต่พวกมันก็ห้ามเอาไว้ก่อนทำให้ไม่เกิดเรื่องอะไร

“มาสิ พวกเจ้าจะพาข้าไปพบองค์จักรพรรดิไม่ใช่หรือยังไง”ไป๋หลินถามพลางมองเหล่าทหารที่ยังไม่ลงมาจากหลังของไป๋ไป่เสียที

“ชะ ใช่”เหล่าทหารชุดแดงกะพริบตาปริบๆพลางกระโดดตามลงมา พวกมันคุมตัวพวกไป๋หลินมาเพราะเรื่องการขโมยยาขององค์รัชทายาท แต่ทำไมเหมือนพวกมันกำลังโดนไป๋หลินพาไปพบองค์จักรพรรดิแทนก็ไม่ทราบ

“ไม่ได้มาวังอาณาจักรอู๋นาน แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนะ”ชิงชิวว่าพลางมองไปรอบๆ แม้จะมีการตกแต่งใหม่เพราะเทคโนโลยีที่สูงขึ้น แต่โครงสร้างส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม ทำให้ไป๋หลินสามารถเดินตามเส้นทางเดิมได้โดยไม่หลงทางอะไรจนกลายเป็นว่าไป๋หลินกลายเป็นคนนำทางให้พวกชายชุดแดงเสียแล้ว

“……”เหล่าทหารชุดแดงที่กำลังเดินตามไป๋หลินไปนั้นเต็มไปด้วยท่าทีประหลาดใจ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ท้องพระโรงเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอคนใหญ่คนโตมากเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเจอใครทุกคนต่างก็หันมาก้มหัวให้ไป๋หลินกันทั้งนั้น แต่เพราะคราวนี้ไป๋หลินมากับทหารคุ้มกัน ทำให้พวกขุนนางไม่ได้เข้ามาทักทายเพราะเข้าใจว่าไป๋หลินกำลังรีบเร่งเข้าไปในท้องพระโรงนั่นเอง

“เปิดประตู”ทันทีที่ไป๋หลินเข้ามาใกล้ประตูท้องพระโรง ชายชราคนหนึ่งก็รีบหันไปสั่งทหารเฝ้าประตูให้เปิดประตูรอต้อนรับไป๋หลินทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเข้าไปข้างในเพื่อบอกองค์จักรพรรดิเรื่องการมาของไป๋หลินอย่างเร่งด่วน

“…….”ยิ่งตามไป๋หลินมาก็ยิ่งแปลกประหลาด การจะเข้าพบองค์จักรพรรดิอู๋ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เป็นแขกจากต่างเมืองก็ต้องแจ้งก่อนล่วงหน้าและต้องรอตรงเวลานัดหมายถึงจะเข้าไปได้ แต่นี่อะไรนางมาโดยไม่บอกแต่กลับสามารถเดินเข้าประตูท้องพระโรงได้โดยไม่มีใครห้ามเลยเนี่ยนะ

“ไม่ได้เจอกันนานนะองค์จักรพรรดิ”ทันทีที่ไป๋หลินเดินเข้าไปในท้องพระโรง นางก็พูดทักทายองค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทันที

“พะ พี่ไป๋หลิน…….”อู๋เทียนหมิงยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางมองไป๋หลินที่อยู่ตรงหน้าตน นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เจอนาง พอเกิดเรื่องนั้นขึ้นนางก็แทบจะไม่กลับมาที่อาณาจักรไป๋เลย แน่นอนว่านางไม่ได้เฉียดมาทางอาณาจักรอู๋ด้วยเช่นกัน ตอนแรกที่ได้ยินว่านางกำลังจะเข้ามานั้นเทียนหมิงก็รู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว

“พี่มาที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”เทียนหมิงถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ สมัยเด็กไป๋หลินนับเป็นจุดอ่อนของมันเลยทีเดียว เพราะนางมีพลังมารติดตัวทำให้เทียนหมิงไม่ชอบนางเสียมากๆ ตอนเด็กเลยทำตัวไม่ดีกับไป๋หลินไปเยอะทีเดียว พอโตมาแล้วกลับพบว่าตนเองกระทำเรื่องน่าอายไปไม่น้อย บอกตามตรงว่ามันเขินมากเลยทีเดียวพอนึกถึงสมัยเด็ก

“ตอนแรกพี่แค่จะมาส่งท่านลุงเวยเท่านั้น แต่เพราะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยก็เลยเผลอใช้ยาขององค์รัชทายาทไป”ไป๋หลินว่าพลางถอนหายใจออกมา

“ยา…”เทียนหมิงมองไปที่ทหารด้านหลังและท่านหมอที่ตัวเทียนหมิงให้ไปตามตัวมา

“เทียนหมิง ระหว่างทางรถไฟที่พวกเราโดยสารมาโดนก้อนหินจากภูเขาไฟระเบิดกระแทกเข้า มีเด็กคนหนึ่งบาดเจ็บหนักจากอุบัติเหตุนั่นพวกเราก็เลยต้องใช้ยาที่หมอท่านนี้นำมา”หยงเวยอธิบายช้าๆให้เทียนหมิงเข้าใจ

“เป็นเช่นนั้นหรือขอรับ”เทียนหมิงมีสีหน้ากังวลทันที ยานั่นเป็นสิ่งที่เทียนหมิงสั่งให้ท่านหมอทำขึ้นมาโดยเฉพาะไม่ทราบว่าจะทำขึ้นมาอีกทีได้เมื่อไหร่ แต่คนที่เอาไปใช้ก็เป็นไป๋หลินที่มีศักดิ์เป็นญาติของมัน อีกคนก็เป็นหยงเวยวีรบุรุษสงครามของอาณาจักรอู๋ แล้วมันจะไปว่าอะไรได้เล่า

“ข้าไมได้อยากจะใช้ยาของเจ้าเฉยๆหรอกนะ ข้าก็เลยมาที่นี่ด้วยตัวเองยังไงล่ะ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มออกมา ยาแบบนั้นไป๋หลินใช่ว่าจะไม่มี แต่ที่ดีกว่านั้นคือการได้ตัวไป๋หลินมาช่วยรักษานั่นเอง

“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมเลยขอรับ พี่หลินช่วยดูอาการของบุตรชายข้าให้ด้วยเถิด”เทียนหมิงว่ะพลางรีบเดินเข้ามาหาไป๋หลินทันที ยามนี้ทั้งไป๋หลินทั้งหยงเวยไม่มีพลังมารเหลืออีกแล้ว ทำให้ความรู้สึกแย่ๆที่เทียนหมิงมักจะสัมผัสได้ตอนเจอกับพลังมารหายไปด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนั้น

“ได้สิ แล้วก็พวกเจ้า ดูเหมือนข้าจะตกลงกับองค์จักรพรรดิได้แล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกลับไปทำงานเถอะ”ไป๋หลินว่าพลางหันมามองพวกทหารชุดแดงที่กำลังยืนเงียบเป็นเป่าสาก

“ขะ ขอรับ”ทหารชุดแดงตอบพลางพากันเดินออกมาด้วยท่าทีงุนงง องค์จักรพรรดิเป็นบุตรชายคนโตของท่านอู๋หมิงจักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเรียกแม่นางคนนั้นว่าพี่สาวกัน?

“หัวหน้า จะว่าไปนางก็หน้าคุ้นๆนะขอรับ”ชายคนหนึ่งพูดพลางมองมาทางหัวหน้าของตน

“เหมือนข้าจะเคยเห็นรูปของนางในวังหลวงนะ”ชายอีกคนพูดพลางเพ่งสมาธิคิดหาคำตอบ สาวงามเช่นนั้นมันไม่มีทางลืมง่ายๆแน่ๆ

“…..นั่น”ชายคนหนึ่งในกลุ่มว่าพลางมองไปที่รูปวาดรูปหนึ่งที่ประดับอยู่บนกำแพงวัง มันเป็นรูปวาดงานฉลองงานหนึ่งที่มีทั้งจักรพรรดิอู่พระองค์ก่อน จักรพรรดิไป๋ และจักรพรรดิชินและเหล่าครอบครัวยืนร่วมกัน เพราะทั้ง 3 อาณาจักรต่างผูกพันกันเป็นเครือญาติ ทำให้ทั้ง 3 อาณาจักรเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่ในรูปนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เหมือนกับคนที่พวกตนพึ่งจับมาไม่มีผิด

“…………”ไม่ต้องหาคนมาอธิบายอีกแล้ว ในที่สุดพวกมันก็จำได้เสียที นางคือบุตรสาวของจักรพรรดิไป๋ องค์หญิงเพียงพระองค์เดียวของราชวงศ์ไป๋ ไป๋หลิน นั่นเอง

.

.

“มิน่าเล่าพวกทหารถึงได้กังวลกันนัก”ไป๋หลินว่าพลางมองร่างขององค์รัชทายาทที่อยู่บนเตียง แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่เทียนหมิงก็พึ่งจะมีบุตรชายเป็นคนแรก แต่ด้วยช่วงอายุยังไม่ถึง 1 ปีเสียด้วยซ้ำเด็กคนนี้กลับกำลังทุกทรมานกับโรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิดและคาดว่าชีวิตของพระองค์น่าจะเหลือไม่ถึงวันเกิดปีแรกเสียด้วยซ้ำ เรื่องนั้นทำให้เทียนหมิงทุกทรมานอย่างมากเลยทีเดียว

“ทำไมเจ้าไม่ส่งจดหมายมาหาข้าล่ะ”ไป๋หลินถามพลางมองไปทางเทียนหมิงนิ่ง แม้จะไม่ได้กลับมาที่อาณาจักรเลย แต่การติดต่อไป๋หลินไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเทียนหมิงเลย

“ถ้าจำเป็นจริงๆข้าก็จะติดต่อขอรับ แต่เพราะได้ท่านหมอมาช่วยข้าก็เลยวางใจ”เทียนหมิงตอบ เพราะตอนนั้นตนเองไม่ได้ไร้หนทางขนาดต้องติดต่อให้ไป๋หลินต้องกลับมา แต่หากยาที่ท่านหมออุตส่าห์เดินทางไปรวบรวมวัตถุดิบหายไปเช่นนี้มันก็คงต้องติดต่อไป๋หลินจริงๆนั่นล่ะ

“นั่นสิ ข้าไม่ได้เห็นหมอคนไหนฝีมือดีแบบนี้มานานมากแล้ว”ไป๋หลินพยักหน้าช้าๆ หญิงสาวที่รับหน้าที่ดูแลองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้นั้นฝีมือดีมากทีเดียว หากไม่เพราะเรื่องบนรถไฟนางคงสามารถรักษาองค์รัชทายาทได้โดยไม่ต้องพึ่งพากำลังของไป๋หลินหรือไป๋จูเหวินเลยจริงๆ

“เอาล่ะ ในเมื่อจูล่งใช้ยาของเจ้าไปแล้ว ข้าก็จะรักษาลูกของเจ้าให้แทนก็แล้วกัน”ไป๋หลินว่าพลางนำมีดออกมาจากมิติของตนอย่างรวดเร็ว น่ายินดีจริงๆที่ห้องขององค์รัชทายาทเป็นห้องปลอดเชื้ออยู่แล้ว ไป๋หลินเลยไม่ต้องมาคุมสภาพรอบๆให้เป็นห้องปลอดเชื้ออีกที

“แต่…ยามัน….”หญิงสาวผู้เป็นหมอทักท้วงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นไป๋หลินทำท่าจะลงมือรักษา ตัวนางนั้นเป็นหมอขององค์รัชทายาทมาสักพักแล้ว ทราบอาการขององค์รัชทายาทดี อาการของพระองค์นั้นคือหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด ปกติเด็กที่มีอาการแบบนี้ก็คงมีแต่ต้องตายเท่านั้น แต่เพราะเป็นองค์รัชทายาทก็เลยปล่อยไปไม่ได้ เพียงแต่การรักษานั้นก็ไม่ต่างจากเด็กชายบนรถไฟนัด หลังจากผ่าตัดหัวใจที่พิการให้มีสภาพเหมือนปกติแล้วก็ต้องใช้ยาช่วยให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ หากไม่มียาร่างกายขององค์รัชทายาทเกรงว่าจะทนไม่ไหว

“นั่นสิ เจ้าเอายานี่ไปละลายน้ำซะ”ไป๋หลินพูดพลางยื่นเม็ดยาของตนให้กับท่านหมอช้าๆ พริบตาที่เห็นเม็ดยาท่านหมอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะนำยามาสูดดมช้าๆเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นถูกต้องหรือไม่

“เจ้าค่ะ”เมื่อทราบว่ายาเป็นของจริง ท่านหมอก็รีบออกไปนำน้ำสะอาดมาละลายยาทันที องค์รัชทายาทยังเป็นทารก จึงต้องละลายยาเพื่อให้พระองค์ดื่มได้นั่นเอง

“จูล่ง เจ้าอยู่ช่วยพี่ก่อน ส่วนคนอื่นๆช่วยออกไปทีนะ”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มให้เทียนหมิงที่ต้องเดินออกไปแต่โดยดี ตอนนี้ไม่เหมือนสถานการณ์ฉุกเฉินบนรถไฟ หากลดความเสี่ยงได้ก็ต้องทำ

“มาแล้วเจ้าค่ะ”ท่านหมอว่าพลางนำยาที่ละลายน้ำเรียบร้อยแล้วกลับเข้ามา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีคนปรุงยาแบบนี้ได้อีก แล้วพี่สาวคนนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงทำท่าจะผ่าตัดเหมือนที่ตนทำลงไปเลย ไม่ใช่ว่าวิชาผ่าตัดเป็นวิชาชั้นสูงที่มีหมอจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ทำได้งั้นหรือ

“น้องสาว เจ้าชื่ออะไร”ไป๋หลินถามพลางยิ้มออกมาบางๆ

“ข้า…ข้าชื่อหลี่เย่เจ้าค่ะ”หลี่เย่ตอบพลางกะพริบตาปริบๆ ทำไมนางถึงมาถามเอาตอนนี้กัน

“งั้นหรือ หลี่เย่ เจ้าดูเอาไว้ดีๆนะ”ไป๋หลินยิ้มพลางจรดมีดไปบนอกขององค์รัชทายาท ยามนี้จูล่งกำลังคุมเรื่องยาสลบอยู่ แม้การควบคุมปริมาณยาในเด็กจะยาก แต่ไป๋หลินก็วางใจให้จูล่งทำได้สบาย

ฟุบ….ความเร็วของไป๋หลินนั้นย่อมเร็วกว่าหลี่เย่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งความแม่นยำเองก็สูงกว่ามาก ทำเอาหลี่เย่ที่ได้รับชื่อว่าเป็นหมออัจฉริยะได้แต่มองตาค้าง แม้จะมีวิธีการผ่าตัดแล้ว แต่หมอทั่วๆไปไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างมั่นใจเพราะไม่มีดวงตาสีเขียวเหมือนของหลี่เย่ ทำให้หลี่เย่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีผู้ที่สามารถลงมือผ่าตัดได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่อีก

“….”หลี่เย่ที่ถือถ้วยยาเอาไว้มองไปที่ดวงตาของไป๋หลินและไป๋จูล่งช้าๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางได้พบคนที่ใช้ดวงตาสีเขียวเหมือนกับนางได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีคนอื่นอยู่อีก เรื่องนี้ทำให้หลี่เย่ตกใจยิ่งกว่าฝีมือการผ่าตัดของไป๋หลินเสียอีก