ตอนนี้ ต้าโจวกลายเป็นแคว้นเพียงหนึ่งเดียวที่มีจอมเทวา
ถึงแม้ว่าอวี้หลัวช่าก็เป็นจอมเทวาเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้นางก็มิได้แสดงออกชัดเจนว่าตนเองอยู่ข้างแคว้นใด ดังนั้น ตำแหน่งของต้าโจวบนแผ่นดินนี้มิใช่ตำแหน่งที่จะสั่นคลอนได้ง่ายดายอีกต่อไป
ไม่ว่าอย่างไร…อย่าล่วงเกินต้าโจวเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซย่าโหวฉิงเทียน นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจ
อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผู้คนที่ชมอยู่โดยรอบนั้นพากันอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน
ยิ่งทุกคนได้ดูก็ยิ่งรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก!
ขณะเดียวกันก็มีคนมากมายที่กำลังลิงโลดในใจ โชคยังดีที่เจ้าดาวเคราะห์นี่มิใช่จอมเทวา!
อมิตตาพุทธ!
มิเช่นนั้นแผ่นดินนี้คงต้องมีคนล้มตายเป็นเบือ…
ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจ มีเพียงอวี้เชียนเสวี่ยเพียงคนเดียวที่กำลังสับสนและกังวลใจยิ่งนัก
ท่าทีที่ซย่าโหวฉิงเทียนแสดงออกกับหลานสาวของเขานั้น ราวกับว่าจะต้องครอบครองนางให้จงได้ หมอนั่นทั้งโหดเ**้ยมและ’หนังหน้าหนา’ ยิ่งนัก เขาจะต้องทำอย่างไรนะถึงจะทำให้อวี้เฟยเยียนและหมอนั่นแบ่งแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจน!
หากกล่าวตามหลักของเหตุผลละก็ ผู้เป็นบิดามารดาย่อมต้องเป็นห่วงเป็นใยบุตรสาว แต่ต่อให้เป็นใครก็ตามก็คงจะมิยินยอมให้ให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนหลินเจียงอ๋องเป็นแน่
คงมีเพียงแต่พวกที่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศแล้วแม้กระทั่งบุตรสาวก็สามารถขายได้เท่านั้น จึงจะผลักบุตรสาวไปสู่กองเพลิงนี้
อวี้เชียนเสวี่ยรู้ดีว่า ตอนนี้อวี้เฟยเยียนเปลี่ยนแปลงไปมาก อวี้เฟยเยียนในตอนนี้เป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ทำให้เขามิอาจเลือกแทนนางได้ แต่ในฐานะที่เป็นลุง ให้คำปรึกษาชี้แนะคงจะได้
อย่างไรเสียเขาจะมองดูอวี้เฟยเยียนกระโดดลงกองไฟโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้!
จวบจนกระทั่งตะวันจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ มองไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าได้แล้ว ทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป
และในตอนนั้นเอง ที่อวี้เฟยเยียนเหน็ดเหนื่อยจนไร้สิ้นเรี่ยวแรง ปลาย่างที่เพิ่งกินเข้าไปห้าตัวเมื่อครู่ถูกย่อยไปจนหมด ท้องที่ว่างเปล่าเริ่มร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนแรงกายแรงใจยังเต็มเปี่ยม อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกไม่ยินยอม
เหตุใดเสื้อผ้าของเขายังเรียบร้อย หน้าตาก็หล่อเหลาหมดจด มองไม่เห็นร่องรอยเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
น่าเบื่อนัก!
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านสำเร็จขั้นอะไรกันแน่”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามพลางบีบนวดแขนที่เมื่อยล้าของตนไปด้วย
หมอนี่ ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย นี่ใช้พลังจริงเลยนี่นา ไม่รู้จักอ่อนโยนกับสตรีเลยแม้แต่น้อย!
“ต้องการจะก้าวข้ามพี่”
เห็นได้ชัดว่าอวี้เฟยเยียนมิยอมรับ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังอารมณ์ดีบีบนวดคลายกล้ามเนื้อให้กับนาง
“เจ้าจะมิสามารถก้าวข้ามพี่ได้ชั่วชีวิต! ยอมรับเสียเถอะ แล้วเป็นแมวน้อยของพี่เสียดีๆ!”
“ข้าไม่เชื่อหรอก!”
อวี้เฟยเยียนมิยอมลงง่ายๆ ในดวงตาทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและไม่ยอมรับ
“ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ข้าเหนือกว่าท่าน!”
“ไม่มีวัน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายนิ้วไปมา
“เจ้ามิอาจอยู่เหนือพี่ได้หรอก! เจ้าถูกกำหนดให้อยู่ใต้อาณัติของพี่! ยอมรับเสียเถอะ!”
คำพูดที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ลอยมาเข้าหูของฮันจื่อ ในขณะที่มันกำลังนอนคว่ำหน้าใช้อุ้งมือของมันยกขึ้นปิดหู
คำพูดเมื่อครู่นี้ ฟังแล้วรู้สึกประหลาดชอบกล
เจ้านาย ท่านยอมอ่อนข้อให้แม่นางน้อยสักนิดไม่ได้เลยหรือ
เพราะจริงๆ แล้วในบางเวลา ท่านก็ชอบที่จะตกเป็นรองแม่นางน้อยนี่นา!
มิเพียงแต่ชอบที่จะตกเป็นรอง ยังมักจะขอร้องให้นางกดท่านเอาไว้ด้วยซ้ำ!
เหอะๆ!
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์พิเศษๆ ที่ผ่านมา ฮันจื่อก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“เจ้ายิ้มอะไร”
จริงดังที่คาด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฮันจื่ออยู่ในสายตาของอวี้เฟยเยียน นางดึงหูของมันขึ้นมากล่าวว่า
“เจ้าก็เหมือนนายของเจ้า ร้ายนัก! ฮันจื่อ เจ้ายิ้มเจ้าเล่ห์อะไร”
ไม่มีขอรับ!
ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!
แม่นางน้อย เบาๆหน่อย ข้าน้อยเจ็บหูแล้ว!
ฮันจื่อรีบทำท่าทางน่าสงสารไร้ซึ่งพิษภัย ซึ่งอวี้เฟยเยียน ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วก้าวข้ามร่างของมันไป
“ข้าจะกลับแล้ว ฮันจื่อ ไป! พวกเราอย่าไปสนใจเขา!”
ต่อหน้าแม่นางน้อยและเจ้านาย แน่นอนว่าฮันจื่อย่อมต้องเลือกแม่นางน้อยอย่างไม่ลังเล
คนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าหอราชาโอสถ
เมื่อเห็นฮันจื่อ ‘หักหลัง’ ตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็พูดอะไรไม่ออก
นี่เขาให้ฮันจื่อติดตามอวี้เฟยเยียนเพียงแค่ไม่กี่วัน นี่ความสามารถในการแล่นเรือตามทิศทางลมของมันรุดหน้าไปขนาดนี้เชียวหรือ
เขามิเคยเห็นเจ้าหมายักษ์ตัวนี้พลีกายถวายหัวให้ใครมาก่อน แม้แต่กระทั่งกับลูกน้องคนสนิทของเขาหลิวเซิ่งหรือคนอื่นๆ ฮันจื่อก็ไม่เคยคล้อยตามใครเลยแม้แต่น้อย เจ้าหมานี่จะกล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้ว!
คนและสุนัขที่นำไปก่อนหน้าเดินทางไปอย่างรวดเร็ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงรีบตามไปทันที
จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนกลับมาถึงเรือนที่พัก เห็นอาหารที่ตนเองชอบกินวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะก็ซาบซึ้งจนน้ำตารื้น
“เด็กน้อยอวี้ สุขสันต์วันเกิด!”
เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายเมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของอวี้เฟยเยียนก็เข้ามาร่วมอวยพร รวมทั้งพวกที่อยู่ด้านนอกด้วย ไม่นานภายในห้องก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เมื่อทุกคนได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดอวี้เฟยเยียนอายุครบสิบห้าปี ก็แทบจะตกเก้าอี้กันเลยทีเดียว
ผู้เฒ่ารองเอาแต่พึมพำว่า
“คนหนุ่มสาวน่าเกรงขาม! คนหนุ่มสาวน่าเกรงขามนัก!”
จอมเทวาพ่วงด้วยจักรพรรดิโอสถอายุสิบห้าปีเท่านั้น นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่แผ่นใหญ่ของเรามิเคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เป็นเรื่องที่ต้องเผยแพร่ต่อไปยันรุ่นลูกรุ่นหลาน!
“เร็วเข้า รีบกินบะหมี่อายุยืน!”
มู่เหนี่ยนซีตักบะหมี่อายุยืนที่กำลังร้อนๆ มาวางตรงหน้าอวี้เฟยเยียน
“ห้ามกัดเส้นขาดนะ! แต่ละเส้นต้องกินไปจนสุด! บะหมี่นี่เสวี่ยทำให้เจ้าด้วยตัวเองเลยนะ!”
ก่อนหน้านี้อวี้เฟยเยียนไม่อยู่ทำให้บะหมี่เย็นลงหมด อวี้เชียนเสวี่ยถึงกับไปนวดแป้งบะหมี่เพื่อทำบะหมี่อายุยืนขึ้นมาอีกชาม
เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็โผเข้ากอดลุงสามสักหน่อย
“ขอบคุณค่ะ ท่านลุงสาม!”
ด้วยท้องที่กำลังหิว บะหมี่ชามนั้นถูกอวี้เฟยเยียนกินหมดในพริบตา
“อร่อยหรือไม่”
อวี้เชียนเสวี่ยมองดูหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู
“อร่อยเจ้าค่ะ! ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง!”
รอจนเจ้าของวันเกิดเข้านั่งลงประจำที่ คนอื่นจึงเริ่มทยอยนั่งลงบ้าง ทุกคนต่างอวยพรให้นาง นี่เป็นวันเกิดที่คึกคักที่สุดของอวี้เฟยเยียนเลยก็ว่าได้
ซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่หน้าประตู มองดูอวี้เฟยเยียนถูกทุกคนห้อมล้อมอยู่นั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทั้งรู้สึกอิจฉาและดีใจ
อย่างน้อย เห็นใบหน้านางเปื้อนรอยยิ้มที่แสนมีความสุข เขาก็รู้สึกว่าชีวิตช่างสวยงามอะไรเช่นนี้
“ท่านอ๋อง เข้ามานั่งเถอะ!”
เหลียนจิ่นยกจอกสุราขึ้นหันไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
“ด้านข้างข้ามีที่ว่างนะ!”
วันนี้เหลียนจิ่นรู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อมีไข่มุกวารีปีศาจ ร่างกายเขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าปลาต้องอยู่ในน้ำจึงจะมีอิสรเสรีฉันใด เฉกเช่นเขาเมื่อมีน้ำ ก็มีพลังชีวิตขึ้นมาฉันนั้น
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่ประตูโดยลำพัง เหลียนจิ่นก็ออกปากเชื้อเชิญ
“ข้าเห็นทีจะไม่ล่ะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นสีหน้าของทุกคนสลดลงเมื่อเห็นเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงส่ายศีรษะ
คนที่อ่อนแอเกินไปก็มักจะถูกรังแก แต่คนที่แข็งกระด้างเกินไปก็จะทำให้คนหวาดกลัว ไร้ซึ่งมิตรสหาย
เมื่อเห็นสีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอวี้เฟยเยียนก็คิดถึงได้เสี่ยวฉิงฉิงขึ้นมา
เด็กน้อยคนนั้นบางครั้งก็จะแสดงสีหน้าที่เหงาหงอยเศร้าสร้อยเช่นนี้ออกมา ดูคล้ายกับซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
“มาเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนออกมาเชื้อเชิญซย่าโหวฉิงเทียนด้วยตัวเอง นางลากเขาเข้ามานั่งข้างกายของตนเอง แล้วส่งตะเกียบให้เขา
“เมื่อครู่ฝึกซ้อมเป็นเพื่อนข้าตั้งนาน ท่านจะต้องหิวแล้วแน่ๆ! กินเยอะๆนะ!”
เมื่อมีอวี้เฟยเยียนเปิดทางให้ ความขัดเกร็งของคนอื่นก็มลายหายไป ไม่นาน ในทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข