อวี้เฟยเยียนยิ้มตาหยีขณะที่กล่าวพูดคุยกับทุกคน เมื่อครู่นางก็คุยเรื่องในครอบครัวกับเจ้าสำนักหลิน อีกเดี๋ยวก็สวมหมวกทรงสูงให้กับผู้เฒ่าห้า อีกเดี๋ยวก็ถูกผู้เฒ่าสี่ผู้เฒ่าห้าห้อมล้อมเอาไว้ เพื่อถามไถ่วิธีการที่นางถอนพิษในวันนี้…
สรุปก็คือ อวี้เฟยเยียนเป็นดังเช่นมนุษย์ที่เปล่งแสงได้ ไปที่ไหนก็มีแสงสว่างที่นั่น
จวบจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนหาเวลาที่จะกินข้าวได้ แต่เมื่อนางมองไปที่ชามข้าวของซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเห็นว่ามันสะอาดเอี่ยม ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
“ท่านไม่หิวหรืออย่างไร หรือว่าอาหารไม่ถูกปาก”
อวี้เฟยเยียนคีบกับข้าวให้ซย่าโหวฉิงเทียน
“ไม่กินเลยสักนิด จะไปได้อย่างไรกัน!”
เมื่อสำเร็จขั้นเทพจักรพรรดิแล้ว กับข้าวกับปลา อาหารรสเลิศก็ไม่มีผลกับกับซย่าโหวฉิงเทียนสักเท่าไหร่นัก เขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหมือนกับคนทั่วไปที่หนึ่งวันต้องกินอาหารสามมื้ออีกต่อไป
แต่ทว่าเมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนออกอาการเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขายิ้มกว้าง
“กินสิ! ทุกอย่างเจ้าตักให้พี่จะกินให้เกลี้ยง!”
ท่าทางอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนสนิทสนมกัน ทำให้สัญชาตญาณของอวี้เชียนเสวี่ยเริ่มทำงานอย่างหนัก
ในสายตาของลุงสามเช่นเขาแล้ว หลานสาวของเขาเป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น!
อาจจะสับสนจนถูกชักจูงได้ง่ายดาย!
อายุอานามของซย่าโหวฉิงเทียนก็มากกว่าอวี้เฟยเยียนอยู่หลายรอบ!
“ท่านอ๋อง พวกเราดื่ม!”
อวี้เชียนเสวี่ยยกไหสุราเดินไปหาซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่า จะเข้าใกล้อวี้เฟยเยียนก็จะต้องผูกมิตรกับท่านปู่และลุงสามของนาง ดังนั้นจึงยกไหสุราขึ้นดื่มทันที
“ท่านอ๋อง คอแข็งนัก!”
ความเปิดเผยของหลินเจียงอ๋อง ปลุกอวี้เชียนเสวี่ยขึ้นมา
ไม่นาน ทั้งสองก็ยกไหสุราขึ้นผลัดกันดื่ม
พวกเขาต่างก็เป็นทหาร ต่างก็เคยตั้งค่ายดำรงชีวิตอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลานาน เรื่องดื่มสุรายิ่งไม่ต้องพูดถึง สุราดื่มหมดหนึ่งไห เหลียนจิ่นก็ปรบมือสองครั้ง มั่วซางก็หิ้วเข้ามาอีกสองไห
“ลุงสามก็คอแข็งไม่เบา! แต่ว่า ยังห่างไกลกับข้าอีกมาก!”
ไม่นาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มยกไหที่สองขึ้นดื่ม
“ท่านอ๋อง ท่านดูถูกศัตรูเกินไป! ข้าได้ชื่อว่าเป็นไหสุราที่ชื่อเสียงเลื่องลือนักนะ!”
การณ์นี้เกี่ยวข้องกับความสุขในชีวิตของหลานสาวที่เขารักที่สุด อวี้เชียนเสวี่ยจะยอมแพ้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงงัดข้อกับซย่าโหวฉิงเทียนต่อไป
ทั้งสองคนผลัดกันดื่มคนละไหไปเรื่อยๆ ชนิดที่เรียกว่าดื่มสุราแทนน้ำก็ว่าได้
สุดท้าย สุราสิบห้าไหวางอยู่บนพื้น โดยมีอวี้เชียนเสวี่ยนอนราบไปกับโต๊ะ
เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ยเมาจนหลับไป มู่เหนี่ยนซีจึงเข้าไปหิ้วประคองเขาขึ้นมา ที่ไหนได้อวี้เชียนเสวี่ยกอดโต๊ะเอาไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมลงมา ทั้งยังเพ้ออีกว่า
“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าจะบอกอะไรท่านไว้นะ! ลูกชายบ้านตระกูลอวี้จะมิยอมพ่ายแพ้! แก้วตาดวงใจของตระกูลอวี้เรา ท่านอย่าหวังจะแย่งไปได้! ในตารางรายชื่อคนที่ข้าเลือกไม่มีชื่อของท่าน และจะไม่มีวันมีด้วย!”
เทียบอวี้เชียนเสวี่ยที่เมามายจนสิ้นสติกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงมีสติครบสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่มีอาการเมามายเลยแม้สักนิด
“ท่านแพ้แล้ว”
เขาชี้มือไปที่ไหสุราและหัวเราะอย่างเป็นต่อ
“ข้าเก้าไห ท่านเพิ่งจะหกไห ท่านแพ้อวี้เฟยเยียนให้กับข้าแล้ว!”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้”
อวี้เชียนเสวี่ยขยี้ตาไปมา แล้วเริ่มนับไหสุรา นับแล้วนับอีกนับไปนับมา ก็ยังไม่เข้าใจ จนเขาคอตกหลับไป ตามมาด้วยเสียงกรนสนั่นราวฟ้าฝ่า
“สุราเก้าไห!”
ผู้คนรอบข้างต่างก็มองมาที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันสุราชั้นเลิศหมักแรมปีของหอราชาโอสถเชียวนะ อย่างน้อยก็ยี่สิบปี”
“หลินเจียงอ๋องดื่มสุราลงไปตั้งเก้าไห แต่กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เฮ้อ โลกของผู้วิเศษมันยากที่จะเข้าใจจริงๆ!”
แล้วค่ำคืนที่แสนสำราญก็ผ่านพ้นไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้เฟยเยียนตื่นนอน เจ้าสำนักหลินก็รออยู่ที่หน้าประตูห้องเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากเมื่อวานอารมณ์ของทุกคนค่อนข้างเดือดพล่าน ดังนั้นศิษย์ของสำนักหมื่นพิษจึงเหลือรอดชีวิตอยู่เพียงไม่กี่คน
ก็จะมีทูตซ้ายที่มีค่าตัวมากสักหน่อย แต่เขาก็กัดลิ้นตนเองขณะที่ถูกสอบสวน ไม่ยอมพูดอะไรออกมาทั้งนั้น แล้วตอนนี้ทูตซ้ายก็อาการร่อแร่ แต่ยังถือว่ายังมีชีวิตอยู่
“ลงทัณฑ์เพื่อให้รับสารภาพ เรื่องเช่นนี้ข้าถนัดที่สุดเลย! ให้เป็นหน้าที่ของพี่ก็พอ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่ด้านนอกห้องท่าทางสดชื่นแจ่มใส เขามองเข้ามาในห้องเห็นอวี้เชียนเสวี่ยกำลังนอนหลับอุตุทั้งยังกรนเสียงดังสนั่น
เป็นอีกครั้งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่คนธรรมดา!
“เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านอ๋องและอวี้หลัวช่าไปด้วยกัน!”
เดิมทีแล้วเจ้าสำนักหลินคาดหวังว่าอวี้เฟยเยียนจะมียาดีๆอะไรที่สามารถช่วยให้ทูตซ้ายฟื้นคืนสติอีกครั้งได้ ให้เขาเขียนเรื่องราวที่ตนเองรู้ทั้งหมดออกมา ใครจะรู้ว่าหลังจากซย่าโหวฉิงเทียนเข้าไปพร้อมกับอวี้เฟยเยียนแล้วและประตูถูกปิดลง ไม่นาน ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านใน
“อ๊าก”
ทูตซ้ายที่เพิ่งจะกัดลิ้นไปเลือดนองท่วมปาก ภายในถ้ำมืดสนิท ชนิดที่ทำให้คนขนลุกเกรียวทีเดียว
ภายในช่องเล็กๆ ของถ้ำในหุบเขามีเพียงเสียงร้องโหยหวนของทูตซ้ายดังระงม ซึ่งเสียงร้องที่ดังออกมาจากด้านในนั้น โหยหวนแปลกประหลาด
“เจ้าสำนัก นี่…เอ่อคงจะเป็นวิธีการของหลินเจียงอ๋องนะ!”
ผู้เฒ่าห้ากล่าวติดๆ ขัดๆ ขึ้นขณะยืนอยู่ข้างกายเจ้าสำนักหลิน แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว ครั้งนี้ได้ยินเสียงร้องที่โหยหวนสุดสะพรึงเช่นนี้ก็ตกอกตกใจจนแทบจะทนไม่ไหวตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
“แค่กๆ คงจะใช่!”
สำหรับเรื่องนี้ เจ้าสำนักหลินเองก็กำลังปวดหัวอยู่
แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมาแล้วได้ยินเสียงร้องนั้น ต่างก็มองมาที่เหล่าผู้เฒ่าด้วยสายตาตื่นกลัว ยังดีที่เหล่าผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านนอกประตู
ภายในห้อง ซย่าโหวฉิงเทียนใช้มือใหญ่ของเขาตรึงศีรษะของทูตซ้ายเอาไว้ แล้วใช้พลังแสงสีม่วงดึงความทรงจำออกมาจากสมองของเขา
ฉากแบบนี้อวี้เฟยเยียนเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงมิได้ตื่นตระหนกสักเท่าไหร่
เพียงแต่ว่าเมื่อเห็นอากัปกิริยาของทูตซ้ายที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าปรุๆ ของเขาบิดเบี้ยวจนรวมเป็นก้อน ร่างเขากำลังดิ้นไปมาไม่หยุด ส่วนล่างก็มีกลิ่นเหม็นรุนแรงโชยออกมา นี่สินะที่เขาเรียกว่าอยู่มิสู้ตาย เห็นเช่นนี้แล้วก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกสงสารทูตซ้ายขึ้นมาเล็กๆ
ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของซย่าโหวฉิงเทียน เจ้านี่มันดวงตกสุดๆ เลยจริงๆ
สีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนดุดันยิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อรับรู้ความทรงจำที่ดูดออกมา จนในที่สุดสีหน้าก็ถมึงทึง
“เป็นอะไรไป”
อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้น ก็จะเดินเข้าไปหาแต่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนขวางเอาไว้
“สกปรก อย่าเข้ามา!”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน จนในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดมือ เขาบีบกะโหลกศีรษะของทูตซ้ายจนละเอียดเมื่อเห็นมันสมองของทูตซ้ายสาดกระเซ็นไปบนกำแพง จนกำแพงฉาบไปด้วยแดงฉาน อวี้เฟยเยียนก็แทบจะอาเจียนออกมา
จะใช้วิธีที่อ่อนโยนสักหน่อยฆ่าคนมิได้หรืออย่างไรกัน
ต้องโหดเ**้ยมทารุณถึงเพียงนี้เลยหรือ
เลือกวิธีที่สวยงามมีศิลปะไม่ได้หรืออย่างไรจะต้องใช้วิธีที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ด้วย…
อวี้เฟยเยียนหารู้ไม่ นี่เป็นวิธีที่อ่อนโยนที่สุดของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว
ยิ่งเมื่อรู้ว่าทูตซ้ายคิดอกุศลกับอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็โกรธจนแทบระเบิด
ไอ้คนระยำรกโลก!
ถึงกับกล้าเพ้อฝันถึงแมวน้อยของข้า
น้ำหน้าเช่นเจ้ายังบังอาจ!
สมควรตายสักหมื่นครั้ง!
แต่ ความตายมิใช่การลงโทษครั้งสุดท้ายที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะมอบให้กับทูตซ้าย
เมื่ออวี้เฟยเยียนเห็นเปลวไฟสีม่วง ที่ลอยจากปลายนิ้วของซย่าโหวฉิงเทียนไปแผดเผาโครงกระดูกของทูตซ้ายจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน นางจึงได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของซย่าโหวฉิงเทียน
วิญญาณแตกสลาย มิอาจกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เป็นวิธีที่ดี!
ก่อนหน้านี้ในหัวของอวี้เฟยเยียนเคยได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นสองครั้ง ครั้งนี้เป็นอีกครั้ง
วิญญาณแตกสลาย…
เมื่อได้ยินคำคำนี้ ทันใดนั้นในอกของอวี้เฟยเยียนถูกบีบรัดอย่างแรง มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ราวกับว่าหัวใจนางกำลังพยายามตะเกียกตะกายออกมาเพื่อหาทางออก แต่ก็หาไม่เจอ แล้วชนเข้าอย่างจังกับอกของนาง และมันเจ็บปวดแสนสาหัส