ตอนนี้มายมิ้นท์เองก็เหมือนกัน ชวนชมทำร้ายเธอจนได้รับบาดเจ็บ เธอสามารถใช้วิธีอื่นในการแก้แค้นได้ แต่ทำไมเธอถึงต้องบอกว่าชวนชมไม่ใช่ชวนชมตัวจริง ก็เพราะต้องการให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ต้องเสียหายนะสิ
วิธีการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการแก้แค้นของไตรภูมิในอดีต การแก้แค้นไม่มุ่งแก้แค้นไปที่ตัวของศัตรูโดยตรง แต่มุ่งเป้าไปที่ครอบครัวของศัตรู
ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลแล้วที่มายมิ้นท์เป็นลูกของไตรภูมิ
อีกด้านของโทรศัพท์ มายมิ้นท์ได้ยินเยี่ยมบุญพูดถึงไตรภูมิ อีกทั้งยังดูถูกไตรภูมิเช่นนั้น ในใจเธอก็รู้สึกโมโหขึ้นและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยถึงพ่อฉัน!”
เธอรู้ดีว่าทำไมเยี่ยมบุญถึงรังเกียจและดูถูกพ่อของเธอเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะเมื่อยี่สิบหกปีก่อน พ่อของเธอลักพาตัวชวนชมไปนั่นเอง
“ผมไม่มีคุณสมบัติพออย่างนั้นเหรอ?” เยี่ยมบุญส่งเสียงเหอะๆ ออกมาอย่างเยือกเย็น “ไตรภูมิลักพาตัวลูกสาวของผมไป ทำให้เราและลูกสาวต้องพรากจากพวกเราไปถึงยี่สิบหกปี คุณว่าผมมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่?”
มายมิ้นท์กัดริมฝีปากเบาๆ “ใช่ค่ะ พ่อของฉันลักพาตัวชวนชมไป แต่ว่าคุณเยี่ยมบุญ คุณลืมไปแล้วเหรอถ้าหากว่าคุณไม่หน้าด้าน เข้าไปขโมยเทคโนโลยีของเทนเดอร์กรุ๊ป และบีบบังคับเสียจนช่างเทคนิคคนนั้นต้องถึงแก่ความตาย อีกทั้งเกือบจะทำให้เทนเดอร์กรุ๊ปต้องล้มละลาย พ่อของฉันคงไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”
“เหอะๆ มีประโยชน์อะไรกันมาพูดถึงเรื่องนั้นเอาตอนนี้ ไตรภูมิตายไปแล้ว ความคับข้องใจของผมกับเขาก็จบสิ้น ตอนนี้ความแค้นของผมก็คือความแค้นระหว่างตระกูลภักดีพิศุทธิ์และคุณต่างหาก คุณบอกว่าชวนชมไม่ใช่ลูกสาวผมไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้ผมกำลังจะพาชวนชมไปยังสำนักงานทดสอบดีเอ็นเอเพื่อตรวจดีเอ็นเออีกครั้ง ผมจึงอยากจะขอเชิญคุณมายังสำนักงานเพื่อดูให้เห็นกับตาเองว่าชวนชมเป็นลูกสาวของผมจริงหรือไม่”
เยี่ยมบุญหรี่อันเหี่ยวย่นของเขาคู่นั้นลงแล้วมองอย่างเย็นชา “ถ้าผลการพิสูจน์ออกมาว่าชวนชมเป็นบุตรสาวของผม สิ่งที่คุณมายมิ้นท์ส่งมาให้ผมเหล่านี้ก็นับว่าเป็นการเผยแพร่ข่าวลือและใส่ร้ายครอบครัวของผม ทำให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ต้องเสียชื่อเสียง และแน่นอนว่าผมจะเอาผิดคุณตามกฎหมายทางอาญาให้ถึงที่สุด”
ตอนที่อยู่ในศูนย์กักกัน เขาบอกให้ชวนชมทำการทดสอบดีเอ็นเออีกครั้ง ซึ่งส่วนชมก็ได้ตอบตกลงโดยไม่รู้สึกลังเลแต่อย่างใด อีกทั้งยังดูสงบมาก
เพียงแต่ว่าทำไมคนในรูปภาพนั้นจึงได้หน้าตาคล้ายคลึงกับชวนชมเช่นนี้? ดีไม่ดีอาจจะเป็นมายมิ้นท์ที่ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพออกมาก็ได้
“เอาผิดฉันทางกฎหมายอาญาเหรอคะ?” มายมิ้นท์เผยอริมฝีปากขึ้น “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอดู”
เพราะถึงอย่างไรเจินเจินก็เป็นลูกของตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์
ในเมื่อเยี่ยมบุญอยากจะไปทำการพิสูจน์ดีเอ็นเออีกครั้งก็ให้เขาไปเถอะ เมื่อถึงเวลาที่ผลออกมาแล้วเธอจะอยากจะเห็นจริงๆ ว่าปฏิกิริยาของเขาเป็นเช่นไร
เมื่อถึงเวลานั้น หากเรื่องที่เขาเลี้ยงลูกของคนอื่นเผยแพร่ออกไปข้างนอก แน่นอนว่าตระกูลภักดีพิศุทธิ์คงจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในแวดวง
หลังจากนั้น เยี่ยมบุญก็ได้บอกสถานที่ซึ่งใช้ในการพิสูจน์ดีเอ็นเอในครั้งนี้แก่เธอ
มายมิ้นท์จำเอาไว้ในใจ จากนั้นก็วางสายลงทันที
“ป้าทิพย์รบกวนโทรหาทามทอยให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ” มายมิ้นท์ยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้ป้าทิพย์
ป้าทิพย์รับโทรศัพท์ไปก่อนจะเปิดค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของทามทอยแล้วกดโทรออก “ได้แล้วค่ะคุณมายมิ้นท์”
“ขอบคุณมากค่ะป้าทิพย์” มายมิ้นท์รับโทรศัพท์มือถือคืนไป
ป้าทิพย์ยิ้มเบาๆ แล้วตอบว่า “คุณมายมิ้นท์คะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวไปตากผ้าก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกฉันได้เลยนะคะ”
มายมิ้นท์พยักหน้าตอบรับ “ได้ค่ะไปทำงานต่อเถอะค่ะ”
ป้าทิพย์พยักหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเดินไปที่ระเบียง
เมื่อสักครู่ที่คุณมายมิ้นท์โทรศัพท์กับเยี่ยมบุญ แม้ว่าเธอจะได้ยินไม่ชัดมากนัก แต่ก็พอจะจับประเด็นสำคัญได้บ้าง
เธอจะต้องรายงานกับคุณชายใหญ่
ด้านของมายมิ้นท์ เธอไม่รู้ว่าที่ป้าทิพย์บอกจะไปตากผ้านั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก แท้จริงแล้วหล่อนโทรศัพท์ติดต่อกับเปปเปอร์ต่างหาก
ขณะเดียวกัน มายมิ้นท์ก็ได้โทรศัพท์ติดต่อกับทามทอยและบอกเนื้อหาสนทนาระหว่างเธอกับเยี่ยมบุญเมื่อสักครู่แก่เขา
เมื่อทามทอยได้ยินดังนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “ดูท่าทางแล้วเหมือนเขาจะเชื่อและมั่นใจมากว่าเจินเจินเป็นลูกสาวของเขา”
“น่าจะเป็นเพราะการตรวจในครั้งแรกนะคะ เนื่องจากในครั้งนั้นผลการทดสอบความเป็นพ่อลูกระบุว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ดังนั้นในครั้งนี้เยี่ยมบุญจึงเชื่อว่าจะเป็นเหมือนเดิม” มายมิ้นท์พูดเบาๆ
ทามทอยเผยอริมฝีปาก “ในเมื่อเขาคิดแบบนั้นก็เป็นเรื่องดีนี่ครับ เนื่องจากในตอนนี้ยิ่งเขามั่นใจมากเท่าไหร่ เขาก็จะรู้สึกสิ้นหวังมากเท่านั้นเมื่อรู้ผลการทดสอบดีเอ็นเอของจริงไม่ใช่หรือไง?”
มายมิ้นท์หัวเราะออกมาเบาๆ “ที่คุณพูดก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ดังนั้นดิฉันว่าจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พวกเขาบอกสักหน่อย เพียงแต่ว่าตอนนี้น่าเสียดายเหลือเกินที่ฉันไม่อาจจะเห็นท่าทางของเขาได้”
มายมิ้นท์คลำไปที่ดวงตาของตนเอง มีร่องรอยของความเสียใจและวิตกกังวลแวบเข้ามา
นี่ก็หลายวันมาแล้ว แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงมองอะไรไม่เห็น ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นฟูการมองเห็นเลย
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเธอกลัวเหลือเกินว่าจะไม่อาจรักษาให้หายได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะอัดวิดีโอเอาไว้ให้รอให้คุณหายดีเมื่อไหร่ค่อยดูก็ไม่สาย” ทามทอยตบไปที่หน้าอกของตนเอง
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้น “คุณจะอัดวิดีโอไว้งั้นเหรอคะ?”
“ใช่ครับ ตอนนี้ผมกลับมาถึงเมืองเดอะซีแล้ว อีกประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง เมื่อถึงเวลานั้นผมจะพาคุณสุเวทย์และภรรยาไปด้วย” ทามทอยยิ้มแล้วพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาดูชั่วร้ายอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้
มายมิ้นท์เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “อ้อ งั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งตารอดู”
“วางใจเถอะครับ ผมจะต้องทำให้คุณพอใจอย่างแน่นอน เอาล่ะ แค่นี้ก่อนนะครับ ไว้ถึงแล้วผมจะบอกคุณ”
“ค่ะ”
หลังจากจบการสนทนา มายมิ้นท์ก็วางโทรศัพท์ลง “ป้าทิพย์คะ”
ตรงระเบียง เมื่อป้าทิพย์ได้ยินน้ำเสียงของหล่อนเรียกตนก็รีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงแล้วตอบกลับไปว่า “มาแล้วค่ะ”
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็จัดแจงเก็บของออกจากบ้าน ป้าทิพย์เป็นคนขับรถ โดยมีมายมิ้นท์หนังอยู่ด้านหลังรถ
ระหว่างทาง มายมิ้นท์ก็เริ่มกำชับกับป้าทิพย์ ว่าตอนที่พบกับพวกเยี่ยมบุญอย่าแสดงท่าทีใดๆ ซึ่งเปิดเผยถึงเรื่องที่เธอมองไม่เห็นเป็นอันขาด
เยี่ยมบุญเป็นศัตรูของเธอ เขาแทบรอไม่ไหวที่ยากจะกำจัดเธอทิ้งไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต ถ้าหากว่าเยี่ยมบุญรู้ว่าเธอมองไม่เห็นละก็ ดีไม่ดีอาจจะหาหนทางจัดการเธอก็ได้
ป้าทิพย์ รับปากเป็นประกันว่าหล่อนจะไม่เปิดโปงเรื่องนี้เด็ดขาด มายมิ้นท์จึงเชื่อเธอ แต่ก็ไม่ได้วางใจนัก
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งสองก็เดินทางมาถึงสำนักงานพิสูจน์ดีเอ็นเอที่เยี่ยมบุญบอกเอาไว้
ป้าทิพย์ทำการจอดรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็อ้อมไปหยิบวีลแชร์ออกมาจากท้ายรถ ก่อนจะไปเปิดประตูรถทางด้านหลังแล้วพยุงมายมิ้นท์ให้ขึ้นรถ
การที่เธอเลือกที่จะนั่งวีลแชร์นั้นก็เพราะไม่ต้องการให้เยี่ยมบุญรู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา หากว่าเธอนั่งอยู่บนวีลแชร์ เยี่ยมบุญก็อาจจะคิดว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ขา ไม่ใช่ดวงตา
ไม่อย่างนั้น ถ้าเธอไม่เลือกจะนั่งรถเข็น ก็คงจะต้องให้ ป้าทิพย์คอยพยุงตลอดเวลา ซึ่งอาจจะถูกเปิดเผยขึ้นโดยง่าย
“คุณมายมิ้นท์คะ ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วดิฉันจะเริ่มเข็นแล้วนะคะ” ป้าทิพย์ ปิดประตูรถแล้วเอ่ยขึ้น
มายมิ้นท์พยักหน้า “ค่ะ เราไปกันเถอะ”
ป้าทิพย์เข็นเธอเข้าไปทางประตูสำนักงานพิสูจน์ดีเอ็นเอ
แต่เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ ป้าทิพย์มองเห็นขั้นบันไดหลายขั้น เธอก็เริ่มเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย
เนื่องจากว่ามายมิ้นท์มองไม่เห็น เธอเพียงสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ป้าทิพย์หยุดลงกะทันหัน จึงเอ่ยปากถามว่า “มีอะไรเหรอคะ?”
“มีขั้นบันไดค่ะ ดูเหมือนว่าดิฉันจะเข็นมันรถขึ้นไปไม่ได้” ป้าทิพย์ถอนหายใจออกมา
มายมิ้นท์ยิ้มขึ้น “ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ค่ะ เดี๋ยวฉันจะลงจากเก้าอี้ก่อน คุณก็เอารถเข็นขึ้นไปไว้แล้วค่อยพยุงฉันขึ้นไปก็ได้”
“ที่คุณมายมิ้นท์พูดมาก็ถูกค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉัน……”
“ผมเองครับ” ป้าทิพย์ยังไม่ทันพูดจบ น้ำเสียงเยือกเย็นของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นขัดจังหวะเธอ มายมิ้นท์ขมวดคิ้วของเธอที่ได้รูปเข้าหากัน “เปปเปอร์เหรอคะ?”
เปปเปอร์พยักหน้าเล็กน้อย “ผมเอง”
เมื่อพูดจบเขาก็ขยิบตาไปให้ป้าทิพย์
ป้าทิพย์จึงปล่อยมือออกจากรถเข็นแล้วก้าวถอยหลังไป
มือของเปปเปอร์เข้าไปแทนที่ตำแหน่งของป้าทิพย์พอดิบพอดี เขาจับไปที่มือจับของรถเข็น “นั่งดีๆ นะครับ ผมจะเห็นคุณขึ้นไปเอง”
“นี่คุณ เดี๋ยวก่อนสิ ฉัน……”
มายมิ้นท์เพิ่งจะพูดออกมาได้สองสามคำ เธอก็รู้สึกว่ารถเข็นของเธอเกิดการสั่นสะเทือน หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนว่าเก้าอี้ลอยขึ้นสู่อากาศ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเปปเปอร์อุ้มเธอและรถเข็นขึ้นบันไดไป เสียงฝีเท้าหนักอึ้งที่ดังเข้ามาในหูของเธอเป็นเครื่องพิสูจน์
มายมิ้นท์รีบคว้าไปยังที่มือจับของวีลแชร์ พยายามยึดร่างให้มั่นคงเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกลงมาจากวีลแชร์
ผ่านไปไม่กี่วินาที คาดว่าคงจะขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว มายมิ้นท์รู้สึกได้ว่าวีลแชร์สัมผัสกับพื้น ร่างของเธอที่เกร็งไว้จึงได้ผ่อนคลายลง