บทที่ 405 ผมของเจินเจิน

รักหวานอมเปรี้ยว

แต่ความโกรธในใจของเธอไม่ได้จางลงไปด้วย เธอหันศีรษะกลับมาตะโกนกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า “เปปเปอร์ คุณทำตามอำเภอใจเกินไปแล้วนะ!”

เปปเปอร์ที่กำลังจัดแจงกับแขนเสื้อของตนได้ยินประโยคนี้เข้าก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ผมทำอะไรเกินไปอย่างงั้นเหรอ?”

“ใครใช้ให้คุณอุ้มฉันพร้อมกับรถเข็นขึ้นมาแบบนี้ คุณรู้ไหมว่ามันอันตรายมาก!” เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เปปเปอร์ก้มหน้าลง “ไม่อันตรายหรอกครับ ผมคอยปกป้องคุณอยู่ คุณไม่ตกลงมาแน่ๆ”

“ฉันหมายถึงคุณ!” มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว “คุณไม่กลัวว่าคุณจะหมดเรี่ยวหมดแรงก่อนหรือไง? ถ้าฉันกับรถเข็นตกลงไปพร้อมกันแล้วทับขาคุณขึ้นมา หรือบางทีอาจจะโดนแขนคุณล่ะ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของเปปเปอร์ก็เบิกกว้าง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความดีอกดีใจออกมา “มายมิ้นท์ คุณเป็นห่วงผมอยู่เหรอ?”

มือของเขากำแน่นเห็นได้ชัดว่าภายในใจนั้นตื่นเต้นเพียงไร

มายมิ้นท์ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะหันหลังกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คุณคิดมากไปเอง ฉันไม่ได้เป็นห่วงกังวลคุณ ฉันกลัวแค่ว่าถ้าคุณได้รับบาดเจ็บขึ้นมาฉันก็จะต้องรับผิดชอบอีกต่างหาก”

ร่องรอยของความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของเปปเปอร์ แต่ในที่สุดก็จางหายไป เขายิ้มขึ้นอย่างบางเบา “เป็นแบบนี้นี่เอง เอาเถอะครับ ดูเหมือนว่าผมคงจะคิดไปเองจริงๆ แต่ประโยคของคุณเมื่อสักครู่ผมจะถือว่าคุณเป็นห่วงผม”

มายมิ้นท์ขมวดคิ้วทำหน้ามู่ “แล้วแต่คุณจะคิดยังไงก็เรื่องของคุณเถอะค่ะ แต่ฉันขอถามหน่อยว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

“ที่บริษัทของผมพบปัญหาสปายเข้าน่ะครับ มีคนขโมยเอกสารบนโต๊ะทำงานผม และบนโต๊ะทำงานผมมีร่องรอยนิ้วมือของคนคนนั้นอยู่ จึงตั้งใจว่าจะนำมาตรวจสอบเพื่อระบุตัวตนเสียหน่อย” แววตาของเปปเปอร์กะพริบเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ป้าทิพย์ที่อยู่ด้านข้างได้แต่กลอกตามอง

คุณชายใหญ่ช่างเก่งเหลือเกิน โกหกได้หน้าตายไม่แม้แต่จะรู้สึกเคอะเขิน

มายมิ้นท์ได้ยินประโยคนั้นของเปปเปอร์ เธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “อะไรนะคะ มีสายลับอยู่ในบริษัทตระกูลนวบดินทร์ และได้ขโมยเอกสารจากโต๊ะทำงานของคุณไป?”

เปปเปอร์ตอบรับเบาๆ

มายมิ้นท์ยิ้มขึ้น “ไม่น่าใช่นะคะประธานเปปเปอร์ การรักษาความปลอดภัยของบริษัทตระกูลนวบดินทร์คุณแย่ขนาดนี้เลยเหรอคะ? แม้แต่ห้องทำงานของคุณใครจะเข้าจะออกก็ได้ตามอำเภอใจงั้นเหรอ?”

แม้เทนเดอร์กรุ๊ปจะไม่อาจเทียบได้กับบริษัทตระกูลนวบดินทร์ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าออกห้องทำงานของเธอได้ตามอำเภอใจ

ทว่าห้องทำงานของเปปเปอร์กลับเข้าออกได้ง่าย หน้าตลกสิ้นดี

เปปเปอร์จะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่ามายมิ้นท์กำลังหัวเราะเยาะเย้ยเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้โกรธ ดวงตาของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นเสียด้วยซ้ำ “เป็นเพราะผมสะเพร่าเอง และคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเข้ามาขโมยเอกสารถึงในบริษัทตระกูลนวบดินทร์ จึงเปิดโอกาสให้สปายเหล่านั้นเข้ามาได้ ว่าแต่คุณล่ะ มาที่นี่ทำไม?”

“คุณเยี่ยมบุญจะทำการ ตรวจสอบดีเอ็นเอกับเจินเจินอีกครั้ง เลยให้ฉันเดินทางมาดูกับตา ดังนั้นฉันก็เลยเดินทางมาที่นี่ค่ะ” มายมิ้นท์ตอบออกมาเบาๆ

เปปเปอร์เงยหน้าขึ้น “อ๋อ แบบนี้นี่เอง”

“คุณไม่แปลกใจเหรอคะว่าทำไมเขาถึงให้ฉันมาที่นี่?” มายมิ้นท์เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

เปปเปอร์ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”

“อีกเดี๋ยวอย่างนั้นเหรอคะ?” มายมิ้นท์หรี่ตามอง “คุณจะเข้าไปกับฉันอย่างนั้นเหรอ?”

“ผมแค่อยากเข้าไปร่วมสนุกด้วย คุณไม่ต้อนรับเหรอครับ?” เปปเปอร์ก้มหน้ามองเธอ มายมิ้นท์เม้มริมฝีปาก “ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ยินดีต้อนรับคุณ คุณก็จะไม่ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าไม่”

“ถ้าอย่างนั้นก็มีค่าเท่ากัน” มายมิ้นท์ยักไหล่ “อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่เขตของฉัน ฉันจะห้ามไม่ให้คุณไปไหนมาไหนได้ยังไง?”

เปปเปอร์ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะเข็นคุณเข้าไปเอง”

“ไม่ต้องค่ะ ให้ป้าทิพย์เข็นก็พอ” มายมิ้นท์ส่ายหน้าแล้วปฏิเสธเขา

เปปเปอร์มองไปทางป้าทิพย์

ป้าทิพย์จึงได้เอ่ยปากขึ้นอย่างรู้งานว่า “คุณมายมิ้นท์คะ ให้คุณผู้ชายคนนี้เข็นไปเถอะคะ เมื่อสักครู่ตอนที่เห็นคุณผู้ชายยกเก้าอี้ขึ้นบันได ดิฉันก็รู้สึกกังวลและรีบวิ่งตามมาจึงทำให้ข้อเท้าเคล็ดนิดหน่อย”

“อะไรนะ! เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ?” มายมิ้นท์รีบเอ่ยถามขึ้น

ป้าทิพย์ยิ้ม “ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ อันที่จริงก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงกล้ามเนื้อหรือกระดูก เพียงแค่รู้สึกเจ็บบริเวณภายนอกนิดหน่อย แค่ทายาก็คงจะหายค่ะ”

ริมฝีปากของมายมิ้นท์ขยับเขยื้อนเล็กน้อยดูเหมือนเธอต้องการจะพูดอะไรออกมา

แต่เปปเปอร์ก็ได้เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ในเมื่อพี่เลี้ยงของคุณได้รับบาดเจ็บ อย่างงั้นเดี๋ยวผมจะเข็นคุณไปเอง”

เมื่อพูดจบเขาก็ไม่รอให้มายมิ้นท์มีโอกาสพูดอะไรออกมาอีก และเข็นเธอเข้าไปในสำนักงานตรวจสอบดีเอ็นเอทันที

มายมิ้นท์ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วครุ่นคิด ในใจของเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป มันดูแปลกแต่ก็พูดไม่ออก

แต่ว่ามายมิ้นท์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากคิดอย่างไรเธอก็คิดไม่ตก แล้วจะไปยึดถืออะไรกับปัญหานี้ นี่ไม่ใช่นิสัยของเธอ

เมื่อเดินทางมาถึงแผนกตรวจสอบดีเอ็นเอ เปปเปอร์ก็เห็นสองสามีภรรยาและชวนชม อีกทั้งบุคคลที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ช่วยอีกหนึ่งคนอยู่ด้านข้าง

ชวนชมได้ยินเสียงของเก้าอี้วีลแชร์ดังขึ้น เธอจึงหันกลับไปดูและพบว่าทั้งสามคนกำลังเดินตรงเข้ามา

สายตาของเธอจับจ้องไปที่ใบหน้าของมายมิ้นท์ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองเปปเปอร์และพบกับดวงตาอันลึกล้ำคู่นั้นของเปปเปอร์ สายตาของทั้งสองคนประสานกัน

ดูเหมือนทั้งสองกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างอยู่ ชวนชมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะละสายตากลับไปพูดกับสองสามีภรรยาว่า “พ่อคะแม่คะ คุณมายมิ้นท์มาแล้ว”

เยี่ยมบุญที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ได้ยินประโยคนี้ก็รีบเงยหน้าขึ้น

เมื่อเขาเห็นเปปเปอร์ที่เข็นมายมิ้นท์ตรงเข้ามา ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาก็มืดมนลงทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ช่วยพยุงจากเก้าอี้ “เปปเปอร์ ทำไมคุณถึงมาที่นี่ด้วย คุณมาพร้อมกันกับมายมิ้นท์……หรือว่าพวกคุณจะกลับคืนดีกันอีกแล้ว?”

ริมฝีปากเรียวบางของเปปเปอร์ขยับเล็กน้อยแล้วตอบอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณ?”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก ผมเพียงแค่อยากจะบอกว่าคุณนี่มันช่างไร้ความรู้สึกและไร้ยางอายเหลือเกิน ก่อนหน้านี้คุณรักส้มเปรี้ยวเสียจนใจจะขาด แต่ตอนนี้……”

เปปเปอร์หรี่ตาลง เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ผมจำได้ว่าผมเคยบอกกับคุณแล้ว ผมไม่เคยรักส้มเปรี้ยว แล้วตอนนี้ทำไมคุณถึงยังมาบอกว่าผมโหดเหี้ยมและไร้ยางอาย?”

เยี่ยมบุญได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็น “ไม่เคยรักอย่างงั้นเหรอ? แล้วหลังจากที่ส้มเปรี้ยวฟื้นขึ้นมา ความรู้สึกที่คุณมีให้กับส้มเปรี้ยวเหล่านั้นมันเป็นเรื่องโกหกหรือไง!”

เมื่อได้ยินคำถามจากเขา มายมิ้นท์ก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน

ในความคิดของเธอตอนนี้ เธอเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเปปเปอร์เคยรักส้มเปรี้ยวบ้างหรือเปล่า

บอกตามตรง หากเปปเปอร์บอกว่าเขาไม่ได้รักส้มเปรี้ยวเลย เธอก็คงจะไม่เชื่อ

เธอมีความคิดเช่นเดียวกันกับเยี่ยมบุญ หลังจากที่ส้มเปรี้ยวฟื้นขึ้น การกระทำทุกอย่างที่เขามีต่อส้มเปรี้ยวถ้าไม่ได้เรียกว่ารักแล้วเรียกว่าอะไร

ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในความคิดของมายมิ้นท์ ดังนั้นเปปเปอร์จึงตบบ่าของเธอเบาๆ เป็นความหมายให้เธอรู้ว่าเขาไม่เคยรักส้มเปรี้ยวมาก่อน เป็นเพราะการสะกดจิตจึงทำให้เขาคิดว่าตนเองรักส้มเปรี้ยว

แต่จากนั้นดูเหมือนเขาจะคิดได้อะไรบางอย่าง จึงระงับความคิดนั้นเอาไว้ จับจ้องไปทางเยี่ยมบุญแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่ใช่เรื่องโกหก แต่คิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ? ส้มเปรี้ยวปลอมตัวมาเป็นมายมิ้นท์ผมจึงได้ทำดีกับเธอ ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าผมจะชอบเธอจริงๆ หรือไง?”

ความหมายก็คือ ถ้าส้มเปรี้ยวไม่ได้ปลอมตัวเป็นมายมิ้นท์ เขาคงจะไม่แม้แต่ชายตามองดูส้มเปรี้ยว

ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน คนที่เขารักคนเดียวก็คือมายมิ้นท์เท่านั้น

“แก……” เยี่ยมบุญรู้สึกโมโหมาก นิ้วมือของเขาสั่นแล้วชี้ไปทางเปปเปอร์ “แกนี่มัน……”

“เอาล่ะค่ะประธานเยี่ยมบุญ เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ฉันไม่รู้สึกสนใจหรือเกลียดชังเรื่องระหว่างลูกสาวคนเล็กของคุณกับประธานเปปเปอร์หรอกนะคะ” มายมิ้นท์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เคาะนิ้วไปที่รถเข็นแล้วพูดออกมาอย่างไร้ความอดทนว่า “ที่ฉันเดินทางมาในวันนี้ก็เพราะต้องการจะมาเป็นสักขีพยานว่าเจินเจินเป็นลูกของคุณจริงหรือไม่ ดังนั้นหวังว่าคุณจะกลับมาพูดเรื่องของเราดีกว่า ส่วนเรื่องอื่น พวกคุณค่อยกลับไปคุยกันทีหลัง พวกคุณทำการตรวจดีเอ็นเออาร์กันแล้วหรือยัง? แล้วผลจะออกเมื่อไหร่?”

เยี่ยมบุญยิ้มเยาะเย้ย “ที่คุณพูดมาก็ถูก วันนี้เรามาตรวจดีเอ็นเอกัน เรื่องอื่นช่างมันไปก่อน เรายังไม่ได้เริ่มทำการตรวจเพราะรอคุณมาอยู่ ในเมื่อตอนนี้คุณมาแล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ ผมจะทำให้คุณรู้เองว่าชวนชมเป็นลูกสาวของเราจริงหรือเปล่า”

เมื่อสิ้นเสียงลง เขาก็ได้ถอนผมออกมาสองสามเสน “มายมิ้นท์ คุณก็เห็นแล้วนะว่าผมถอนผมออกมาจากศีรษะตัวเอง”

“แล้วก็ฉันด้วย” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ที่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาเลยก่อนหน้านี้ เธอทำเพียงจองไปทางมายมิ้นท์ด้วยสายตาอาฆาตแค้น บัดนี้ก็ได้ดึงผมของตนเองออกมาสองสามเสนเช่นกัน

เยี่ยมบุญหยิบซองกันน้ำในกระเป๋าออกมา จากนั้นนำผมของเขาและภรรยาใส่เข้าไปด้านใน ก่อนจะหันไปทางชวนชม “ชวนชม ดึงผมออกมาสักสองสามเส้นสิ”

ชวนชมพยักหน้า “ค่ะ”

จากนั้นเธอก็มองไปทางมายมิ้นท์แล้วยิ้มขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นไปเหนือศีรษะ ใช้มือข้างหนึ่งกดกิ๊บติดผมเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่ใต้กิ๊บแล้วดึงผมออกมาสองสามเส้นก่อนจะส่งไปให้เยี่ยมบุญ “พ่อคะ นี่ค่ะ”