บทที่ 406 ผมของมายมิ้นท

รักหวานอมเปรี้ยว

การที่เธอยอมดึงผมของตนเองออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลภักดีพิศุทธิ์รู้สึกโล่งใจ ยังทำให้เปปเปอร์และมายมิ้นท์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างน่าสงสัย

สำหรับสองสามีภรรยาตระกูลภักดีพิศุทธิ์แล้ว การที่ชวนชมดึงเส้นผมของเธอให้พวกเขาไปทำการตรวจโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด นั่นหมายความถึงชวนชมมั่นใจว่าตนเป็นลูกสาวของพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่โล่งใจได้อย่างไร

ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เนื่องจากสามารถส่งตัวมายมิ้นท์ไปสถานีตำรวจได้สักที

แม้ว่าหลังจากจับตัวเธอไปสถานีตำรวจแล้ว มายมิ้นท์คงไม่ถูกส่งตัวเข้าคุก แต่ก็จะถูกส่งไปรับการอบรมและเสียค่าปรับ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะให้สื่อมีเดียปล่อยข่าวออกไป เพียงเท่านี้ก็คงจะทำให้มายมิ้นท์สูญเสียทั้งหน้าตาและศักดิ์ศรี

นับว่าเป็นการกู้หน้ากลับคืนมา เนื่องจากช่วงนี้พวกเขาถูกมายมิ้นท์ดูถูกเหยียดหยามเสียจนอัปยศอดสู

บริเวณด้านข้าง มือทั้งสองข้างซึ่งจับรถเข็นเอาไว้ของมายมิ้นท์ก็กำแน่น

เกิดอะไรขึ้น?

ทำไมเจินเจินจึงได้เอาผมของเธอไปให้กับเยี่ยมบุญง่ายๆ แบบนั้น

เธอไม่ใช่ลูกสาวของเยี่ยมบุญ แต่การที่เธอเอาผมไปให้เขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น เธอไม่กลัวว่าผลพิสูจน์ออกมาจะเป็นอย่างไรหรือ?

“ประธานเปปเปอร์คะ” มายมิ้นท์เอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มผู้อยู่ด้านหลัง

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมา “มีอะไรเหรอครับ?”

“เจินเจินถอนผมจากศีรษะของเธอออกมาจริงเหรอคะ?” มายมิ้นท์กัดฟันแล้วกระซิบถาม

เปปเปอร์หรี่ตาลงแล้วตอบขึ้นว่า “ใช่ เจินเจินดึงผมของเธอออกจากศีรษะ”

เขาเห็นเองกับตา

ตัวเขาเองก็ตกตะลึงมากไม่น้อย เจินเจินกล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?

“อะไรนะคะ?” กำปั้นของมายมิ้นท์กำแน่นขึ้นกว่าเดิม

หล่อนกล้าถอนผมจริงๆ

หรือว่าเจินเจินจะให้เงินใต้โต๊ะสถาบันทดสอบนี้ ดังนั้นจึงไม่กลัว

ดูเหมือนเขาจะรู้ถึงความคิดในใจเธอ เปปเปอร์จึงส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ เจินเจินไม่อาจจะซื้อคนในสถาบันนี้ได้ สถาบันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลธาราบวร อีกทั้งมีความร่วมมือกับทางประเทศ อย่าว่าแต่เจินเจินเลย แม้แต่เยี่ยมบุญเองก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้”

“แล้วทำไมเจินเจินถึง……”

“ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เราได้แต่รอดูไปก่อน” เปปเปอร์จ้องไปทางชวนชมแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ชวนชมดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาจับจ้องมา เธอจึงยิ้มให้เขาโดยปริยายแล้วชี้ไปที่เส้นผมของเธอเองก่อนจะชี้ไปที่เส้นผมของมายมิ้นท์

เปปเปอร์จึงได้เข้าใจถึงทุกสิ่งอย่าง

ไม่น่าล่ะ ทำไมเจินเจินกล้าที่จะทำการตรวจดีเอ็นเอด้วยการดึงผมออกมา เพราะว่าผมที่เจินเจินดึงออกมานั้นไม่ใช่ผมของหล่อนเองแต่เป็นผมของมายมิ้นท์ต่างหาก

ไม่รู้ว่าเจินเจินไปได้ผมของมายมิ้นท์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และหล่อนนำมันไปติดไว้บนศีรษะของหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนที่ต้องการจะทำการตรวจดีเอ็นเอ หล่อนก็ได้ดึงผมของมายมิ้นท์ออกมา หากทำเช่นนี้ไม่ว่าจะทำการตรวจดีเอ็นเอสักกี่ครั้งหรือที่ไหนก็ตาม ผลตรวจออกมาแล้วชวนชมก็จะเป็นลูกสาวของพวกเขาเสมอ

นี่ก็คืออาวุธลับของเจินเจิน ด้วยเหตุนี้เมื่อวานที่เขาบอกว่าจะช่วยเจินเจินปิดบังตัวตนของหล่อนเอาไว้ แต่เจินเจินกลับกล่าวว่าไม่จำเป็น

เพราะว่าเจินเจินมีเส้นผมของมายมิ้นท์ จึงไม่จำเป็นต้องให้เขาคอยจัดการเรื่องนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเปปเปอร์ก็ดูลึกล้ำลงไป

เขามองเจินเจินคนนี้ต่ำไปจริงๆ

เจินเจิน เด็กคนนี้ฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว

ไอคิวแบบนี้เทียบไม่ได้กับส้มเปรี้ยวเลย หากว่าคนเช่นนี้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและได้รับการศึกษาอย่างดีตั้งแต่วัยเด็ก เขารับประกันได้ว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน

เยี่ยมบุญไม่รู้ว่าเปปเปอร์และมายมิ้นท์คุยอะไรกัน เขารับผมของชวนชมไปแล้วแยกบรรจุใส่ซอง หนึ่งในนั้นยืนส่งไปให้แก่ผู้ช่วย “คุณเอาเข้าไปข้างในส่งให้พวกเขาทำการตรวจสอบ บอกว่าผมต้องการอย่างเร่งด่วน ต้องรู้ผลภายในครึ่งชั่วโมง”

“ครับ” ผู้ช่วยตอบรับแล้วเอื้อมมือมาหยิบผมไป

มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากสั่งให้เขาหยุด “เดี๋ยวก่อนค่ะ”

“คุณจะทำอะไรอีก?” เยี่ยมบุญขมวดคิ้วขึ้นท่าทางดูไม่พอพอใจ

มายมิ้นท์พูดขึ้นเบาๆ “คุณให้ผู้ช่วยของคุณนำเส้นผมไปที่ห้องตรวจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าผู้ช่วยของคุณจะทำการตุกติกอะไรหรือเปล่า? ป้าทิพย์ รบกวนช่วยไปกับพวกเขาด้วยนะคะ จับตามองเส้นผมให้ดี”

“มายมิ้นท์อย่าได้ทำเกินเหตุไป!” สีหน้าของเยี่ยมบุญมืดมนไม่น่ามองและชี้ไปทางมายมิ้นท์

คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็เช่นกัน สายตาที่มองไปทางมายมิ้นท์เต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธแค้น ดูเหมือนว่ามายมิ้นท์ได้ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น

ทันใดนั้นเอง ชวนชมก็ได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “พ่อคะแม่คะ ในเมื่อคุณมายมิ้นท์ไม่เชื่อพวกเรา ก็ให้คนของเขาติดตามไปเถอะค่ะ ให้คุณมายมิ้นท์ได้เห็นว่าคนของพวกเราจะไม่ทำการตุกติกแต่อย่างใด เช่นนั้นคุณมายมิ้นท์จะได้พ่ายแพ้อย่างสบายใจ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สองสามีภรรยาตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็คลายความโมโหลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยมบุญ จู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา “ชวนชมลูกพูดไม่ผิดไปเลย ในเมื่อหล่อนต้องการจะให้คนของหล่อนติดตามไปก็ให้ไปเถอะ เจินเจินยังไม่เข้าไปอีกเหรอ?”

เยี่ยมบุญหันไปกำชับกับผู้ช่วย

ผู้ช่วยพยักหน้า จากนั้นรับเส้นผมเดินตรงเข้าไปในห้องแล็บ

ด้านของป้าทิพย์ก็ได้เดินตามเขาไปตามความต้องการของมายมิ้นท์ เธอพยายามจับจ้องไปที่เส้นผมซึ่งอยู่ในมือของผู้ช่วยไม่ลดละ

ต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็เป็นช่วงแห่งการรอคอย

ทั้งมายมิ้นท์และเยี่ยมบุญรวมถึงคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ทุกคนกำลังเฝ้ารอดูผลด้วยความเงียบงัน

แต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปในใจของมายมิ้นท์ก็เป็นกังวลขึ้นมา

“ประธานเปปเปอร์คะ” เธอกระซิบเรียกเปปเปอร์ขึ้นอีกครั้ง

จะทำยังไงได้ล่ะ ตอนนี้ป้าทิพย์อยู่ในห้องแล็บและรอจับจ้องผลการตรวจอยู่

คนในที่นี้ที่เธอจะคุยได้มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือเปปเปอร์

เปปเปอร์ได้ยินน้ำเสียงของเธอ คนในตระกูลภักดีพิศุทธิ์ทั้งสามก็ทำดวงตาตกตะลึง เนื่องจากเปปเปอร์นั่งยองๆ ไปที่ข้างรถเข็นของมายมิ้นท์ ราวกับอัศวินที่กำลังรอรับคำสั่งจากเจ้าหญิง

สีหน้าของเยี่ยมบุญดูไม่น่ามองขึ้นทันใด

ทุกการกระทำเคลื่อนไหวของเปปเปอร์ ทำให้เขาไม่อาจจะหักล้างได้อีกต่อไปว่าเปปเปอร์เคยรักส้มเปรี้ยว

เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยเห็นเปปเปอร์ให้ความเคารพและวางตัวแบบนี้กับส้มเปรี้ยวมาก่อนเลย

“มีอะไรเหรอครับ?” ริมฝีปากเรียวบางของเปปเปอร์เอ่ยขึ้นแล้วก้มหน้ากระซิบถามมายมิ้นท์

มายมิ้นท์กัดริมฝีปากของตนเองเบาๆ “ตอนนี้ท่าทางของเจินเจินเป็นยังไงคะ เธอดูตื่นเต้นไหม?”

เปปเปอร์ไม่ได้เงยหน้าไปมองดูชวนชม ดวงตาของเขาเป็นประกายและกล่าวขึ้นว่า “ไม่ตื่นเต้น”

เจินเจินนำเส้นผมของมายมิ้นท์ไปตรวจสอบดีเอ็นเอ เธอจะไปตื่นเต้นทำไม?

เมื่อมายมิ้นท์ได้ยินคำตอบจากเปปเปอร์ดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือทุบไปยังมือจับของวีลแชร์ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!”

ทำไมเจินเจินถึงไม่ดูตื่นเต้นกังวลเลย?

ในขณะที่มายมิ้นท์กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง

ทามทอยพาคนอีกสองคนมาด้วย เป็นชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนเดินตรงเข้ามา

เมื่อทามทอยมองไปเห็นมายมิ้นท์นั่งอยู่บนวีลแชร์ เขาก็ยิ้มกว้างและโบกมือให้กับมายมิ้นท์ “มายมิ้นท์ครับ”

นั่นเสียงทามทอย!

หลังของมายมิ้นท์ยืดตรงทันที เธอหันหน้าไปทางเสียงแล้วทำเป็นมองเห็นทามทอย ก่อนจะตอบขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ในที่สุดคุณก็มาถึงสักที”

ปฏิกิริยาตอบสนองของมายมิ้นท์ ทำให้เปปเปอร์สีหน้ามืดมนลงทันที

เธอดีใจที่ได้เห็นทามทอยขนาดนั้นเลยเหรอ?

ความอิจฉาริษยาเผยออกมาเป็นรังสีแผ่ซ่านไปทั่วจนทำให้ทามทอยสัมผัสได้ เมื่อเขาก้มหน้าลงมองจึงสังเกตเห็นว่าเปปเปอร์กำลังนั่งยองอยู่ข้างวีลแชร์ เขารู้สึกตกใจมาก “เปปเปอร์ ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้?”

เปปเปอร์ลุกขึ้นยืนและไม่ได้ตอบคำถามใด เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนใจเขา

ทามทอยยักไหล่ทำท่าทางไม่สนใจเช่นกัน เขาละสายตากลับไปมองมายมิ้นท์แล้วพูดว่า “มายมิ้นท์ครับ ผมพาพวกเขามาด้วยแล้ว”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ด้านหลัง

มายมิ้นท์มองไม่เห็น แต่เปปเปอร์เห็นคนที่อยู่ด้านหลังเขา

เป็นสองสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ใบหน้าของพวกเขาเหลืองซีดสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ทั้งสองกุมมือของกันและกันเอาไว้ทำท่าทางโค้งกายดูสุภาพ

แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของพวกเขาก็ได้มองไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบ เผยให้เห็นถึงความละโมบออกมา แสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาว่าไม่ได้ดูซื่อสัตย์และสุภาพดังนั้น

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเปปเปอร์มองไปเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่ดูคล้ายคลึงกับเจินเจิน เขาก็เข้าใจถึงตัวตนของชายคนนั้นทันที

คาดว่าสองคนนี้คงจะเป็นพ่อแม่โดยสายเลือดของเจินเจินนะสิ