แต่กระนั้นก็ยังคงมีปัญหาบางอย่าง คือทั้งสองสกุลนั้นเกี่ยวข้องกันโดยการหมั้น … ความรู้สึกของกวนเซียงฮั่นก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย นอกจากนั้น ข้อผูกมัดทั้งหมดและความใกล้ชินกันของทั้งสองสกุลก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย การทำให้กวนเซียงฮั่นเจ็บปวดนั้นสำคัญมากกว่าโชคชะตาของสกุลทั้งสองอย่างนั้นหือ ?

สถานการณ์โดยรวมจึงเป็นเรื่องสำคัญ !

เดิมทีแล้วกวนเซียงฮั่นนั้นพอใจอย่างมากเนื่องจากสถานการณ์ไม่เพียงแต่ถูกแก้ไข แต่ยังมีข้อสรุปที่ลงเอยด้วยดีด้วย ดังนั้นนางจึงก้มหัวให้พ่อของนางและจวินวูอี้เพื่อร้องขอให้ไตร่ตรองความผิดพลาดของน้องชายของนาง ซึ่งทำให้นางต้องอับอายเนื่องจากการกระทำของน้องชาย อย่างไรก็ตาม การกระทำของจวินโม่เซี่ยก็ทำให้นางประหลาดใจอย่างมาก นางคิดว่า น้องเขยของนางนั้นเป็นคนยั่วยุน้องชายของนาง และประหลาดใจมากขึ้นเมื่อได้ยินถึงการตัดสินใจของจวินโม่เซี่ย ที่เลือกจะปล่อยผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างไม่เห็นแก่ตัว แม้ว่ากวนเซียงยี่นั้นจะขู่ฆ่าเขา !

นางไม่เคยคิดเลยว่า น้องเขยของนางจะน่าคบหา และมีความเป็นผู้ใหญ่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ในสายตาของนาง จวินโม่เซี่ยมีความน่านับถือมากขึ้น !

“ ขอขอบคุณต่อความเมตตาของนายน้อยสาม ”

กวนดุงหลิวพูดด้วยความจริงใจและรู้สึกขอบคุณ ในฐานะหัวหน้าสกุล เขารู้ว่านี่คือเวลาที่ดีที่สุดในการกำจัดความโกรธซึ่งอาจจะยังคงมีอยู่ในหัวใจของพวกเขา !

จากนั้นเขาถึงหันไปและคำราม

“ เจ้าเด็กเลวกลับไปที่ห้องของพวกเจ้าทั้งสองซะ ! และภาวนาว่าข้าจะไม่กลับไปเจอหน้าพวกเจ้า เพราะเมื่อข้าไปที่ห้องของพวกเจ้า ข้าจะถลกหนังของเจ้าออกเสีย ! ”

ดวงตาของจวินวูอี้ส้อนว่าข้าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาเลือกที่จะเงียบไว้ เด็กๆสกุลกวนทั้งสองโค้งคำนับ และเดินออกไป จวินโม่เซี่ยเห็นใบหน้าของกวนเซียงโบอย่างชัดเจนในตอนที่เขาออกไปจากห้อง และเขาพบว่ามันมีรอยยิ้มจางๆเกิดขึ้น …

กวนเซียงฮั่นลังเลชั่วขณะ แต่จากนนั้นก็เรียกคนรับใช้สองคน และสั่งให้เอามื้อค่ำไปส่งให้น้องๆของนางที่ห้อง แม้พวกเขาจะทำผิดพลาด แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นน้องชายของนาง …

“ พี่กวน ! ”

จวินวูอี้มองขึ้นมาและจ้องไปยังกวนดุงหลิวด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาก็ไม่สามารถปกปิดความเจ็บปวดที่เขารู้สึกอยู่ภายในใจได้

“ ข้าไม่ชอบออกความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเด็กๆของสกุลเราในเวลานี้ แต่หากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง โปรดอย่าโทษข้าที่ทำอะไรลงไปโดยไม่คิดถึงความสัมพันธ์ของสกุลทั้งสอง  ! ”

“ พี่จวิน โปรดมั่นใจว่าเหตุการณ์ที่น่าขายหน้านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หากมันเกิดขึ้น ข้าจะตัดหัวคนผิดนั้นด้วยตัวเอง ! ”

ใบหน้าของกวนดุงหลิวนั้นแสดงถึงความจริงจังที่อยู่ในหัวใจ เนื่องจากเขารู้ว่า วันนี้สกุลจวินนั้นผ่อนปรนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรู้สึกอับอายที่รู้ว่า ลูกชายคนที่สองของเขา ได้กระทำการที่น่าอายโดยมีความสัมพันธ์กับโสเภณี และรู้ว่ามันจะง่ายต่อการเป็นเรื่องอื้อฉาวต่อหน้าชาวโลก

“ ข้าไว้ใจท่าน ท่านพี่ และข้าก็คิดว่าท่านก็ไว้ใจข้าเช่นกัน ”

จวินวูอี้เคาะนิ้วลงไปยังผ้าที่คลุมขาของเขาอยู่ ขณะที่เขาพูดต่ออย่างช้าๆ

“ ข้าคิดว่า เราต้องปล่อยเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ไปก่อน แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของเซียงฮั่น ข้าหวังว่าท่านพี่จะซื่อสัตย์ และ บอกอธิบายความจริงเบื้อหลังการถอนการหมั้นนี่ ! ”

กวนดุงหลิวกำลังจะพูดขึ้นมา แต่ก็พบว่าเขาโดนจวินวูอี้ขัดจังหวะ

จวินวูอี้พยักหน้าเบาๆและพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง

“ ท่านและข้ารู้ว่า ทั้งสองสกุลมีความสุขอย่างมากต่อการแต่งานที่จะเกิดขึ้นนั้น และเชื่อย่างหมดใจว่ามันเป็นการเลือกสรรค์ทั้งคู่โดยสรวงสวรรค์ อย่างไรก็ตาม การตายอย่างกระทันหันของโม่โย่นั้นได้เปลี่ยนทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง และสกุลจวินก็เห็นด้วยที่จะถอนหมั้นหากมันเป็นความต้องการของเซียงฮั่น เพราะพวกเราทั้งสองต้องการที่จะเห็นนางมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียงฮั่นเลือกที่จะไม่ถอนหมั้น สกุลจวินก็เห็นด้วยที่จะดูแลนางชั่วคราวเพื่อปลอบขวัญนาง แต่การดุแลนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเนื่องจากการหมั่นนั้นก็จะถูกถอนออกไปในไม่ช้าไม่นาน ทั้งสองสกุลก็เข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องที่ละเอียดอ่อนนี้ พวกเราจึงรอคอยจังหวะเวลาที่ดีที่จะหาคู่ที่เหมาะสมให้แก่เซียงฮั่น ! ”

“ ดังนั้นการยังเมืองหลวงของท่านเพื่อจะพานางกลับไปมันจึงดูแปลกสำหรับพวกเรา ”

จวินวูอี้เม้มปากในขณะที่รอยย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขา

“ เกิดอะไรขึ้น ? หากท่านยังยอมรับสกุลของข้าเป็นเช่นเพื่อน ได้โปรดบอกพวกเรา หากท่านไม่ต้องการจะบอกเหตุผล ข้าก็ยังอนุญาติให้ท่านพาลูกสาวของท่านกลับไปได้ ! แต่ข้าจะตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งหมดของทั้งสองสกุลตลอดไป ! ”

จากคำพูดของจวินวูอี้นั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงความเมตตาใดๆในเรื่องนี้ !

กวนดุงหลิวจ้องมองไปยังจวินวูอี้อย่างไร้คำพูดอยู่นาน จากนั้นเขาก็ถอนหายใจในขณะที่เขานั่งค่อมตัวลงในตอนที่เขาอธิบายด้วยเสียงที่เบา

“ พี่จวิน เรื่องนี้ … ในความเป็นจริงแล้ว … ข้าไม่สามารถบอกความจริงกับท่านได้ … แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่า ข้าสำนึกในการสนับสนุนและเมตตาของท่านมาก … ”

“ จวินวูอี้อยู่ข้างเจ้า แล้วเจ้ากลัวอะไร ? ”

ใบหน้าของจวินวูอี้ยังคงนิ่ง

“ มีกองกำลังอะไรในโลกนี้ที่สามารถเอาตัวลูกสาวเราไปได้ … ที่สามารถต่อกรกับความต้องการของสกุลกวนและสกุลจวินได้ แม้ในตอนที่พวกเรายืนอยู่ข้างๆกันได้หรือ ?! ”

“ นี่เป็นการกระทำของเด็กสาว ”

กวนดุงหลิวถอนหายใจขณะที่เขาเหลือบตามองกวนเซียงฮั่นอย่างหมดหนทาง

“ เอ๋ ? ท่านพ่อ มันเป็นการกระทำของข้าได้อย่างไร ? ”

สีหน้าของกวนเซียงฮั่นแสดงความโมโหขึ้นมาในทันที ขณะที่นางเพ่งมองไปยังพ่อของนางด้วยความฉุนเฉียว 

 ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร ? ท่านพูดกับลูกสาวของท่านเช่นนั้นได้อย่างไร ? ท่านพยายามจะบอกว่ามีผู้ชายสนใจข้าอย่างนั้นหรือ ?!! หึ ! อย่ามาโทษข้าเรื่องการกระทำของน้องชายของข้าสิ !

“ เชียงฮั่น เจ้าจำตอนที่เจ้าไปยังหลุมศพของโม่โย่ได้ไหม … เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ? ”

กวนดุงหลิวถอนหายใจอีกครั้ง

“ ที่นั่น เจ้าได้พบกับเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อคลุมสีเขียวใช่ไหม ? ”

“ มันเกี่ยวกับเขาหรือ ? ”

ทันใดนนั้นนางก็จำเด็กหนุ่มชุดเขียว ที่เดินทางไปกับนางทั้งไปและกลับ ครั้งแรกเด็กหนุ่มผู้นั้นทำตัวแปลกๆและไม่นาเขาก็หายไป อย่างไรก็ตาม นางก็ยังจำคำสุดท้ายที่เห็นหนุ่มผู้นั้นพูดออกมากอ่นที่จะจากไปได้ 

 ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ไม่สนใจว่าเจ้าอยู่ในสถานะใหน แต่วันหนึ่งเจ้าจะมาเป็นผู้หญิงของข้า ! ฮ่าฮ่า ….

เสียงหัวเราะที่หยิ่งทนงเริ่มดังขึ้นในหูของนาง ราวกับว่าเขายังคงหัวเราะอยู่ตรงหน้าของนาง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ขยะแขยงในทันที

“ ชายผู้นั้นมันเลวทราม ! ”

“ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเลวทรามหรือไม่ เขาก็มีชื่อว่า ลี่ ”

กวนดุงหลิวฝืนยิ้มเล็กน้อย

“ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเทพเชวียน ลี่จื้อเทียน ลี่ถังยุ่น ! และเขายังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของเขตเทียนหนานชือฮั่น ! ”

ประโยคนี้ระเบิดออกมาด้วยความรุนแรง ทั่วทั้งโถงเงียบไป ดั่งสุภาษิต แม้แต่เสียงเข็มที่ตกลงพื้นก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน !

ลี่จื้อเทียนนั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในโลกนี้ แม้แต่เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็ไม่อาจเทียนกับเขาได้ หลายคนเชื่อว่า หากไม่ใช่เพราะสัตว์เชวียนขั้นเก้าของยุ่นเบ้ยเฉิน แม้แต่ยุ้นเบ้ยเฉินก็ไม่สามารถจะล้ำหน้าเกินกว่าลี่จื้อเทียนได้ !

“ ลี่ถังยุ่นได้ทำการสืบหาตัวตนของกวนเซียงฮั่น และส่งหนังสือมายังสกุลกวนในทันที  ซึ่งกล่าวไว้ว่าหากพวกเราไม่ส่งนางให้แก่เขา … เขาจะทำลายสกุลกวน และสกุลจวินเสีย ! ”

ท่าทางที่สิ้นหวังของกวนดุงหลิวสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นอ่อนน้อมถ่อมตน และเขาพูดออกมาอย่างหมดสนทาง

เขตเทียนหนานจือฮั่นนั้นมีอำนาจเช่นเดียวกับเมืองบัวหิมะขาว !

กองกำลังลึกลับทั้งสองในปัจจุบันนั้น เทียบได้ว่ามีความแข็งแกร่งที่เท่ากัน … ทั้งเมืองบัวหิมะขาวและเขตเทียนหนานจื้อฮั่น !

การกระทำแบบนี้นั้นเป็นการกระทำที่โดดเด่นของลี่จื้อเทียนและเขตเทียนหนานซือฮั่น ! พวกเขาไม่เคยสนใจว่าฝั่งตรงข้ามนนั้นอ่อนแอกว่า และจะต้องให้อะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ … โดยการบังคับ !

สีหน้าของกวนเซียงฮั่นตอนนี้กลายเป็นสีหน้าที่ซีดเผือกเข้ามาแทนที !

กลายเป็นว่าเจ้าชั่วนั่นคือลี่ถังยุ่น ! ทายาทเพียงคนเดียว และเป็นเจ้าของเขตจื้อฮั่น ! ลืมเรื่องสกุลกวนและสกุลจวินไปได้เลย แม้แต่ทั้งเมืองเทียนเชียงก็ไม่อาจจะยั่วยุผู้ที่มีอำนาจเช่นนั้นได้ …

ดังนั้น …

“ ฮ่าฮ่า ตอนนี้ลี่จื้อเทียนอายุเท่าใหร่แล้ว ? หากข้าไม่ผิด เขาจะต้องมีอายุราวๆร้อยปีแล้วใช่ไหม ? แต่กระนั้นเขาก็ยังมีน้ำยาพอที่จะมีลูกอายุยี่สิบหรือ ? ”

จวินโม่เซี่ยแสดงรอยยิ้มที่ไร้สาระ

“ ดังนั้น เขาจะต้องมีลูกตอนอายุแปดสิบ ? ข้าละนับถือตาเฒ่าผู้นั้นจริงๆ อ่าห์ ข้าละ นับถือเขาจริงๆ ! ข้าตัดสินใจแล้ว ลี่จื้อเทียนคือไอดอลของข้า ! … ”

จวินโม่เซี่ยมาถึงโลกนี้ยังไม่ถึงครึ่งปี …

“ จวินโม่เซี่ยเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกหรือ ? ”

จวินวูอี้เลิกคิ้ว รู้สึกผิดหวังในตัวหลานชาย เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงความอยู่รอดของสกุลทั้งสอง และจวินโม่เซี่ยยังหัวเราะอย่างกับคนโง่ที่เย่อหยิ่ง !

“ ตลก ตลกมากๆ ! ”

จวินโม่เซี่ยหันไปมองกวนดุงหลิวและคำรามทางจมูก

“ ข้ารู้สึว่าการเสนอการแต่งงานของลี่จื้อเทียนและเขตซื่อฮั่นนั้นไร้สาร แต่ข้าก็พบว่าเจ้านั้นไร้สาระยิ่งกว่า ลืมเรื่องชื่อเสียงและความมั่นคงของลูกสาวของเจ้าไป จริงๆแล้วเจ้าถือเอาลูกสาวของเจ้าเป็นสิ่งของที่เอาไว้ซื้อขายใช่ไหม ? หรือเอาไว้แลกเปลี่ยน ? ”

“ ล้อเล่นกับความไร้เดียงสาและความสุขชั่วชีวิตของหญิงสาว โดยเอามันมาแลกเปลี่ยนกับความอยู่รอดและความรุ่งเรื่องของคนที่ติดตามสกุลนับพัน … มันเป็นราคาที่ดีใช่ไหม ? ”

จวินโม่เวี่ยหัวเราะอย่างล้อเลียน

“ ข้าไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น ! เชียงฮั่นนั้นเป็นลูกสาวของข้า และข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว ! ข้าไม่แม้แต่ต้องการจะทำเช่นนี้ ! ”

กวนดุงหลิวเพ่งมองจวินโม่เซี่ยด้วยความโกรธ

“ แต่เรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับคนที่ติดตามมากกว่าพันคน ! เจ้าคิดว่าข้าบูชายันต์ชีวิตคนนับพันหรือ … ทำเพียงแค่ต้องการให้ลูกสาวของข้าปลอดภัยหรือ ? เจ้าไม่รู้ถึงอำนาจและพลังของเขตซือฮั่น ! ”

“ หากเจ้าตัดสินนางว่าจริงๆแล้วนางเป็นเพียงของที่เอาไว้ขายและคำดูหมิ่น แล้วเจ้าจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขในใจได้หรือ ? เจ้าสามารถทนอยู่กับความอับอายนี้ได้หรือ ? เจ้าสามารถไปเจอหน้าใครได้เมื่อรู้ว่า ความร่ำรวยของเจ้านั้นถูกจ่ายไปด้วยลูกสาวของเจ้า … ในทุกๆวันที่นางมีชีวิตอยู่ .. และตราบจนวันที่นางยังไม่ตาย ? ”

สุดท้ายจวินโม่เซี่ยก็ทนมันไม่ไหว เขารู้สึกว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระ

“ มีบ้างไหมในความคิดของเจ้า ที่ราคาของความอยู่รอดของสกุลของเจ้าจะไม่ต้องจ่ายด้วยตัวนาง ? เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะขายความสุขและชีวิตของนางเพื่อความร่ำรวยและความปลอดภัยของเจ้า ? ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีความอับอายหลงเหลืออยู่ในใจเจ้าบ้างหรือไม่ ! ”

“ มีผู้คนตายอยู่ตลอดเวลา นั่นคือทั้งหมดที่เขาทำ พวกเขาตาย ! พวกเขาเกิด และสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ตาย !  พวกเขาเข้ามาและจากไป แล้วสิ่งที่วุ่นวายใหญ่หลวงนี่คืออะไร ? ไม่มีความอับอายหลงเหลืออยู่ในใจเจ้าแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ ? เจ้าคิดจริงๆหรือว่า สิ่งของทั้งหมดที่ถูกเผาไปบนหลุมศพของเจ้าจะถูกสิ่งไปถึงเจ้าบนสวรรค์ ? ”

จวินโม่เซี่เซี่ยถ่มน้ำลาย

“ และเจ้าจำอะไรที่ลูกๆของเจ้าเผาไปให้ได้บ้าง ? นอกจากเหล่าชายหญิงที่ที่ถูกชักชวนขึ้นมาด้วยอาชญากรรมณ์ที่ไร้ยางอาย และผู้คนที่ไร้คุณธรรม ! การตัดสินใจที่ไร้ความรับผิดชอบของเจ้า สามารถทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้หรือ ? นี่มันเป็นความคิดที่น่ากลัวแบบใหนกัน ?! ”

“ โม่เซี่ย ! ”

จวินวูอี้ตะโกน

“ อย่าได้ดวดดี ! ”

แม้ว่าเขาจะตะโกนออกไปเพื่อหยุดการสาปแช่งของจวินโม่เซี่ย เขาไม่ได้พยายามที่เก็บซ่อนสายตาก็แสดงออกถึงความดุดันอย่างเงียบๆ ! แม้ว่าเขาจะคิดไปไกล แต่เหตุผลของหลานชายของเขาต่อเรื่องนี้ก็ชนะใจจวินวูอี้ !

ผู้ชายอะไรกัน ? นี่ !

ผู้ชายที่ทำตัวไร้ยางอายในเวลานี้นั้นไม่มีค่ามาพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นผู้ชาย แต่เมื่อมันมาถึงเรื่องของศีลธรรม …

ผู้ชายที่แท้จริงๆคือคนที่ใจจะจำทำลายมันก่อนที่จะนอบน้อม !

ความอยู่รอดและชื่อเสียงของผู้ชายนั้นนั้น จะต้องไม่ใช่การขายหรือเลือกเปลี่ยน สิ่งที่อ่อนแอ โดยเฉพาะผู้หญิง ! นี่เป็นเรื่องของศีลธรรม ! นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของหลักการเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงความมีเกียรติ ! การตายอย่างมีเกียรติ นั้นดีกว่าการอยู่อย่างโศกเศร้า !

นี่คือสิ่งที่คนจริงเขาทำกัน !