ฉินเทียนยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“สังหารพวกเราเพื่อแก้แค้น? ซูจิ่นซี เจ้ายกย่องตนเองมากเกินไปกระมัง? มารดาของข้าเป็นท่านอาแท้ๆ ของโยวเหยา ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ทั้งบิดาข้ายังเสียสละชีวิตตนเองเพื่อลูกหลานจักรวรรดิต้าฉิน เจ้าคิดว่า ต่อให้เขาฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาและรู้ความจริง เขาจะสังหารพวกข้าได้ลงคอหรือ? ”
ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกสับสนยิ่งนัก
ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยโยวเหยาแสดงท่าทีเช่นนั้น ยามที่มู่หรงเฟิงยุยงให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แปลกใจที่เขาไม่เชื่อนาง
ที่แท้ เขาในตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลอันใดให้เชื่อถือนางแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซียกยิ้มเย้ยหยัน
ฉินเทียนที่ถือหนามคืนวิญญาณไว้ในมือค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ทั้งยังพูดจายั่วยุซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง
“ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง! การปรากฏตัวของโยวเหยาในแคว้นหนานหลีครั้งนี้ เพื่อมาสังหารเจ้าโดยเฉพาะ เขามาสังหารเจ้าและนำศีรษะของเจ้ากลับไปให้ลั่วอวิ๋นเป็นของขวัญวันอภิเษก”
ใช้ศีรษะของนางเป็นของขวัญวันอภิเษกให้หนานกงลั่วอวิ๋น?
มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ในคอหอยของซูจิ่นซี นางรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง และหายใจอย่างยากลำบาก
ซูจิ่นซีถามตนเองนับครั้งไม่ถ้วนว่า หากไม่มีเยี่ยโยวเหยาแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางจะดำเนินต่อไปอย่างไร?
ทว่าทุกครั้ง นางกลับไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกับตนเองได้
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ นางมีคำตอบที่หนักแน่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในฐานะวิญญาณที่เร่ร่อนมาจากโลกอื่น นางปรากฏตัวในสถานที่ที่ไม่ใช่มิติเวลาเดิมของนาง มันคือความเมตตาของสวรรค์ และเยี่ยโยวเหยาคือของขวัญแห่งความเมตตานั้น
หากสวรรค์ไม่เมตตาและมอบของขวัญชิ้นนั้นให้นาง ทั้งยังปล่อยให้นางต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกใบนี้ เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดเล่า?
เยี่ยโยวเหยา ท่านจะศีรษะของซูจิ่นซีไปเป็นของขวัญงานอภิเษกสมรสของท่านกับสตรีอื่นหรือ?
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย้ยหยันในใจ
เช่นนั้น หม่อมฉันจะทำให้ท่านสมปรารถนา!
ใช้โลหิตของหม่อมฉันสังเวยให้คู่บ่าวสาวในงานอภิเษกสมรส ขออวยพรให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า เคารพซึ่งกันและกัน
วันหนึ่ง ท่านจะต้องเสียใจ
ซูจิ่นซีครุ่นคิดและหยุดดิ้นรน นางลดมือลงพลางเงยหน้าขึ้น และหลับตาอย่างเชื่องช้า
“มาเถิด! จัดการให้เรียบร้อย อย่ามือสั่นเล่า! ”
ฉินเทียนไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะมีท่าทีเช่นนี้ เขาพลันตกตะลึง มือที่ถือหนามคืนวิญญาณสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะกลืนน้ำลาย
“ซูจิ่นซี นับว่าเจ้ากล้าหาญยิ่งนัก พูดมาเถิด มีคำสั่งเสียใดต้องการฝากไปถึงเยี่ยโยวเหยาหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีไม่ได้ลืมตา ทั้งน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“เจ้าหมายถึงเยี่ยโยวเหยาในตอนนี้ หรือเยี่ยโยวเหยาในอนาคต หลังจากที่เขาฟื้นคืนความทรงจำแล้ว? ”
ฉินเทียนไม่ได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้คาดหวังคำตอบจากเขา
“หากเป็นเยี่ยโยวเหยาในตอนนี้ คงไม่มีความจำเป็น หากเป็นเยี่ยโยวเหยาในอนาคต… ช่วยบอกเขาให้ข้าทีว่า อย่าลืมแก้แค้นแทนข้าด้วย! ”
ทันใดนั้น มือของฉินเทียนก็สั่นเทาอย่างรุนแรง สีหน้าพลันขาวซีด หนามคืนวิญญาณแทบหล่นลงบนพื้น
ซูจิ่นซีไม่ต้องมอง เพียงใช้หูฟังก็รับรู้ได้ว่าเกิดอันใดขึ้น
รอยยิ้มเยาะที่มุมปากของนางยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น นางพูดเสริมว่า “อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน หากเรื่องนี้ เยี่ยโยวเหยายังทำไม่ได้ เขาก็ไม่คู่ควรกับการเป็นบุรุษของข้า ซูจิ่นซี มอบเขาให้ผู้อื่นก็ดีแล้ว! ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็ลืมตาข้างหนึ่งและเหลือบมองใบหน้าที่ขาวซีดของฉินเทียน
“ลงมือเถิด ยืนเหม่อทำอันใด? ”
ฉินเทียนมองซูจิ่นซีอยู่พักใหญ่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็สูดลมหายใจลึก และค่อยๆ ลดมือที่ถือหนามคืนวิญญาณลง
“เจ้าไปเถิด! เดินออกประตูไป ด้านนอกเรือนมีรถม้าจอดอยู่ทางด้านซ้าย ผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ออกนอกเมือง เมื่อออกนอกเมืองแล้วก็ตรงไปทางทิศเหนือ ไปยังแคว้นเป่ยอี้ และไม่ต้องกลับมาอีก”
“เจ้าไม่สังหารข้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว
ฉินเทียนจงใจแสร้งทำท่าทีดุดัน
“หากยังไม่ไป ข้าจะลงมือจริงๆ ! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะรีบลุกขึ้นสวมรองเท้าและเดินออกไป เมื่อเดินไปถึงประตูทางออก นางก็หยุดฝีเท้าและหันกลับมา
“ฉินเทียน เจ้านับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง หากเจ้าต้องการสังหารข้าจริง ยามที่ข้าหมดสติ หนามในมือเจ้าคงแทงทะลุร่างของข้าไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนข้าฟื้นขึ้นมา ดังนั้น ข้าจะจดจำเจ้าไว้! ”
ซูจิ่นซีพูดจบก็ขยิบตาให้ฉินเทียนอย่างสบายใจ และเดินออกจากประตู
ด้านนอกประตูมีเสียงรถม้าและเสียงควบม้าดังขึ้น ฉินเทียนค่อยๆ เดินไปที่ข้างหน้าต่าง เขามองรถม้าที่อยู่ด้านนอกขับเคลื่อนไกลออกไปทุกที พลางเก็บหนามคืนวิญญาณที่อยู่ในมือไว้ในแขนเสื้อกว้าง
หลังจากรอโอกาสอยู่นาน เขาเข้าใจดีว่าครั้งนี้เป็นโอกาสเดียว ทั้งยังเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการลงมือสังหารซูจิ่นซี หากพลาดวันนี้ไปแล้ว คงไม่ง่ายที่เขาจะสังหารซูจิ่นซีอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ตำหนักจื่อเฉินแคว้นหนานหลี ขณะที่เขานำตัวซูจิ่นซีออกไปตามคำสั่งของเยี่ยโยวเหยา
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาพลุ่งพล่านไปด้วยไอสังหารและความเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เยี่ยโยวเหยายกกระบี่ขึ้นและออกคำสั่ง ทว่าสิ่งที่สร้างความกดดันยิ่งกว่าคือคำสั่งที่โหดร้ายของเขา
เขาพูดว่า “หัวหน้าขุนพลผีจงฟังคำสั่งจากข้า สังหารทุกคนในตำหนักจื่อเฉินที่ขัดขืน สังหารไม่เว้น หากตกหล่นผู้ใดแม้แต่คนเดียว ข้าจะจัดการพวกเจ้า”
โยวเหยา นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้ตำหนักจื่อเฉินเกิดการนองเลือด และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
ครานั้น เหตุผลที่เยี่ยโยวเหยาสั่งให้เขาพาตัวซูจิ่นซีออกมาจากวังหลวงแคว้นหนานหลี ไม่ใช่เพราะเยี่ยโยวเหยาไม่เชื่อในตัวซูจิ่นซี ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีเห็นเหตุกาณ์นองเลือดนั้น
ขอถามว่า บุรุษผู้ทรงอำนาจและยิ่งใหญ่คนใดบ้างในโลกนี้ ที่สามารถทนเห็นสตรีที่ตนรักถูกชายอื่นดูหมิ่นและล่วงเกินได้?
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนในตำหนักจื่อเฉินที่ล่วงเกินซูจิ่นซี ผู้ที่เห็นซูจิ่นซีในสภาพแทบเปลือยเปล่า เยี่ยโยวเหยาไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
เยี่ยโยวเหยา เขาเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของฉินเทียน เมื่อเยี่ยโยวเหยาปฏิบัติต่อซูจิ่นซีเช่นนี้ ถามว่าเขาจะลงมือสังหารซูจิ่นซีได้อย่างไร?
เขายังจะสังหารนางได้อีกหรือ?
ผ่านไปครู่ใหญ่ ด้านนอกหน้าต่างมีเพียงแสงจันทร์ที่เงียบสงัดและเสียงร้องของแมลง ร่างของฉินเทียนยิ่งดูอ้างว้างโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม
เลือดสีแดงสดหยดลงมาตามแขนเสื้อกว้างอย่างไม่ขาดสาย จนพื้นแทบกลายเป็นลำธารสายเล็ก ทว่าฉินเทียนราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเทียนก็ลืมตาขึ้น น้ำเสียงของเขาอ้างว้างราวกับเขากำลังพูดคุยกับพระจันทร์อย่างโดดเดี่ยว และดูเหมือนกำลังพูดคุยกับตนเอง
“ลั่วอวิ๋น ข้าขอโทษ แม้ข้า ฉินเทียนจะทรยศต่อคนในใต้หล้า ทว่าข้าไม่ต้องการทรยศเจ้า อย่างไรก็ตาม โยวเหยาเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า ข้าไม่อาจทรยศเขา และไม่สามารถเนรคุณเขาได้ ดังนั้น… ข้าจึงทำได้เพียงขอโทษเจ้า ไม่ว่าชีวิตนี้เจ้าจะทำสิ่งใด ทั้งที่ถูกต้องก็ดี ผิดก็ดี ฉินเทียนยินดีแบกรับความผิดนั้นไปกับเจ้า”
ซูจิ่นซีออกจากเรือนมาขึ้นรถม้า เดิมทีนางไม่ต้องการไปแคว้นเป่ยอี้ตามคำพูดของฉินเทียน
ทว่านางไม่รู้ว่ายามนี้ตนเองควรไปที่ใด
เวลาล่วงเลยผ่านยามจื่อไปแล้ว แม้จะได้ดอกไม้ปีศาจมา ทว่ามันคงกลายเป็นดอกไม้พิษซึ่งมีพิษรุนแรง ไม่สามารถฟื้นฟูพลังภายในของอู๋จุนได้อีกต่อไป
เมื่อไม่สามารถค้นหาวิธีฟื้นฟูพลังภายในให้อู๋จุนได้ นางก็ไม่มีหน้าให้กลับไปพบอู๋จุนที่จวนฉีอ๋อง
ซูจิ่นซีนั่งอยู่ในรถม้าด้วยความหนักใจ พลางครุ่นคิดว่านางควรทำอย่างไรต่อไปด้วยความเบื่อหน่าย โดยไม่คิดว่ารถม้ากำลังควบออกจากเมืองไปจริงๆ
ตอนที่ซูจิ่นซีพบว่าตนเองกำลังออกจากเมือง ด้านหลังก็มีเสียงควบม้าดังสนั่นจนพื้นดินสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
ซูจิ่นซีพิงร่างกับผนังรถม้าที่โยกคลอน พลางเปิดผ้าม่านรถม้าและมองออกไปทางด้านหลัง
ทันทีที่มองออกไปเห็นร่างเคร่งขรึมเย็นชาท่ามกลางฝุ่นตลบจากการควบม้า ซูจิ่นซีพลันตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ราวกับร่างกายถูกสกัดจุด