เล่มที่ 18 เล่มที่ 18 ตอนที่ 515 สัมผัสรัก ควักหัวใจออกมาพิสูจน์

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เหล่าทหารที่มีตราสัญลักษณ์ขุนพลผี ควบม้าตามมาจนฝุ่นตลบตลอดทางราวกับเขม่าควัน

ด้านหน้าสุดของฝุ่นหนาทึบนั้น คือร่างอันเย็นชาและสูงศักดิ์ของคนที่คุ้นเคย

เขากำลังควบม้ามา ด้านหลังมีขุนพลผีกว่าร้อยคน พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทำให้เขาโดดเด่นราวกับพยัคฆ์ที่ทรงพลัง ทั้งยังเสริมให้ร่างของเขาสูงเด่นเป็นสง่ามากยิ่งขึ้น ดั่งเทพสังหารแห่งแดนสวรรค์ที่เด็ดเดี่ยว

ซูจิ่นซีมองร่างนั้นจากระยะไกลด้วยความรู้สึกที่ราวกับไม่ใช่ความจริง

ทว่าเยี่ยโยวเหยานำขุนพลผีมาหานางจริงๆ เสียงควบม้าที่ดังกึกก้องนั้นเป็นความจริง ฝุ่นที่ลอยตลบอบอวลก็เป็นความจริง และเงาร่างคุ้นเคยอันสง่างามเย็นชานั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน

ดวงตาของซูจิ่นซีลุกเป็นไฟ นางกัดริมฝีปาก ทั้งยังจับรถม้าไว้แน่นจนเล็บของนางแทบเจาะเข้าไปในรอยแยกของเนื้อไม้บนตัวรถม้า

“ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะหนีใช่หรือไม่? ข้ายังอยู่ เจ้าคิดจะหนีไปที่ใด? ”

เยี่ยโยวเหยาขี่ม้ามาเทียบด้านข้างรถม้าของซูจิ่นซี และควบม้าขนาบข้างไปกับรถม้าของนาง

แม้น้ำเสียงของเขาจะฟังดูโกรธเคืองและเย็นชาเล็กน้อย ทว่าดวงตาอันเคร่งขรึมและลุ่มลึกกลับเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งที่ไม่อาจควบคุมได้ ขณะที่กำลังเอ่ยปาก เขาก็ยื่นฝ่ามือขนาดใหญ่มาทางซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีมองใบหน้าเคร่งขรึมของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะเคลื่อนสายตามองไปที่มือ ดวงตาของนางพลันเห่อร้อน

ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งยังมีเหตุการณ์พลิกผัน จนถึงตอนนี้ ซูจิ่นซีก็ยังไม่เข้าใจว่าเยี่ยโยวเหยาจดจำนางได้หรือไม่

ถึงกระนั้น แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?

ขอเพียงมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ แม้ต้องตกนรก นางก็มีความสุข

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเชื่องช้า พลางยื่นมือขาวนวลไปหามือใหญ่นั้น

เยี่ยโยวเหยาใช้แรงดึงตัวซูจิ่นซีขึ้นมาบนหลังม้า ร่างของนางตกลงสู่อ้อมแขนของเขา

ทันทีที่ซูจิ่นซีเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา หยาดน้ำตาร้อนรุ่มของนางก็ไหลพรากออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางกอดเยี่ยโยวเหยาแน่น ทั้งยังซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของเขา

ม้าแบกร่างของคนทั้งสองมุ่งหน้าไปในค่ำคืนมืดมิด

ซูจิ่นซียังคงสวมเสื้อคลุมสีดำเข้มที่เยี่ยโยวเหยาใช้พันรอบตัวนางก่อนหน้านี้ ขณะที่ควบม้าด้วยความเร็ว เสื้อคลุมนั้นก็พัดปลิวไปตามลมจนหลุดออกจากร่างของซูจิ่นซี และตกหายไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด เผยให้เห็นร่างของซูจิ่นซีที่สวมเสื้อผ้าบางเบาสีขาวหิมะ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ร่างของนางสอดประสานเข้ากับเสื้อคลุมสีดำที่อยู่บนร่างของเยี่ยโยวเหยา

เมฆดำเคลื่อนคล้อย เผยให้เห็นแสงจันทร์ที่เงียบสงบ ทำให้พื้นที่ที่แสงจันทร์สาดส่องนั้น สว่างไสวราวกับยามกลางวัน

ผ่านไปชั่วครู่ ขุนพลผีที่ตามมาด้านหลังก็ได้รับคำสั่งให้หยุดม้าจากหัวหน้าขุนพล และเฝ้ารอคำสั่งอยู่ที่เดิม

ทว่าม้าที่กล้าหาญซึ่งอยู่ด้านหน้า ยังคงพาเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีห้อตะบึงต่อไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเยี่ยโยวเหยายังไม่มีความคิดที่จะหยุดม้าแม้แต่น้อย แส้ที่อยู่ในมือยังคงเฆี่ยนตีไปที่บั้นท้ายของม้าครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับกำลังระบายอารมณ์ที่คับข้องอยู่ในใจ

ดูเหมือนว่าการวิ่งอย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่องเช่นนี้ จะทำให้ลืมความเจ็บปวดจากการพลัดพราก ลืมความคิดถึงและความหวาดกลัวไปชั่วขณะ ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ตอนนี้พวกเขาได้อยู่เคียงข้างกันแล้ว

ไม่รู้ว่าทั้งสองควบม้ามานานเท่าใดแล้ว ซูจิ่นซีค่อยๆ โผล่ศีรษะของตนออกมาจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา นางเงยหน้ามองดวงตาของเยี่ยโยวเหยา และยื่นมือออกไปลูบคลำคิ้วและแก้มที่คุ้นเคย

“เยี่ยโยวเหยา ท่านจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด? ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองสตรีที่อยู่ในอ้อมแขน

ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว พัดเสื้อผ้าของพวกเขาให้ปลิวไสวไปตามสายลม เสื้อผ้าบนร่างของซูจิ่นซีมีน้อยชิ้น เมื่อถูกลมพัดเช่นนี้ เสื้อผ้าพลันเผยอขึ้น เผยให้เห็นผิวหนังขาวนวลดั่งหิมะ ทั้งนางยังเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาขุ่นมัว ราวกับภาพเขียนสีน้ำมันอันโดดเด่นของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีพื้นหลังเป็นสีขาวดำ สำหรับบุรุษทุกคน นับเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนอย่างมาก

ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น นางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น

“ซูจิ่นซี เจ้าช่าง… บังอาจยิ่งนัก! ”

ป่านนี้แล้ว เขายังไม่ยอมพูดอันใด และไม่ยอมพูดความจริง

เขารู้หรือไม่ ระยะเวลาสองสามเดือนที่นางแยกจากเขา ในใจของนางวิตกกังวล ไม่สบายใจ และหวาดกลัวเพียงใด?

ทุกวัน นางหวาดกลัวยามรุ่งอรุณและความมืดมิดยามค่ำคืน หวาดกลัวว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป หากวันหนึ่งพวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ทว่าวันนั้น ความจริงที่แสนโหดร้ายกลับบอกนางว่า บุรุษผู้เป็นที่รักของนาง เยี่ยโยวเหยาลืมนางไปแล้ว

นางเฝ้าแต่ครุ่นคิดเช่นนี้ จนตนเองแทบบ้าไปแล้วกระมัง?

หยาดน้ำตาร้อนรุ่มไหลออกจากดวงตาของซูจิ่นซีอีกครั้ง ทันใดนั้น นางก็ยื่นมือออกไปฉีกเสื้อที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยาและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่พูดใช่หรือไม่? หากไม่พูดก็เอาหลักฐานออกมาพิสูจน์ ควักหัวใจของท่านออกมาให้ข้าดู ยังมีคำว่า ซูจิ่นซี สามคำนี้ประทับอยู่หรือไม่? ควักออกมาให้ข้าดู! ”

ซูจิ่นซีพูดพลางดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของนางและแทงไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ปิ่นปักผมในมือสัมผัสผิวหนังสีน้ำตาลเข้มของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็อดหยุดมือไม่ได้ นางไม่กล้าเคลื่อนไหว แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสับสน ทั้งมือยังสั่นเทาเล็กน้อย

ทันใดนั้นพลันเกิดเสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น ฝ่ามือหนาและใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาจับมือที่สั่นเทาเล็กน้อยของซูจิ่นซี และดันปิ่นปักผมไปด้านหน้า

ซูจิ่นซีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นางตกตะลึงเมื่อเห็นปิ่นปักผมในมือแทงลึกเข้าไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา โลหิตสีแดงสดไหลรินออกมาตามปิ่นปักผมสีขาวหิมะ และค่อยๆ ไหลซึมออกจากผิวหนังสีน้ำตาลเข้มของเยี่ยโยวเหยา

“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ”

ริมฝีปากของซูจิ่นซีสั่นเทาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางเงยศีรษะสบตาเยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยายังคงขมวดคิ้วและมองซูจิ่นซีอย่างเร่าร้อน ราวกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกแม้แต่น้อย

“ซูจิ่นซี เจ้าโง่เขลายิ่งนัก ในเมื่อเจ้าต้องการพิสูจน์เรื่องราวบางอย่างด้วยตาตนเอง เช่นนั้น ข้าจะควักหัวใจออกมาให้เจ้าได้เห็นอย่างชัดเจน”

ซูจิ่นซีตกตะลึงอย่างมาก ร่างของนางแข็งทื่อราวกับถูกไฟฟ้าช็อต และไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร ทันใดนั้น นางก็คลายนิ้วมือออก ปิ่นปักผมในมือจึงร่วงหล่น การตอบสนองแรกของซูจิ่นซีคือคว้าปิ่นปักผมไว้ ทว่าตอนที่นางหันข้าง เล็บเรียวยาวของนางกลับข่วนเข้าที่ท้องม้า ทันใดนั้น ม้าก็ยกเท้าขึ้นและร้องคำรามด้วยความตกใจ ทำให้ร่างที่ไม่มั่นคงของซูจิ่นซีเกือบล้มกระแทกพื้น

ขณะที่ศีรษะของซูจิ่นซีกำลังจะกระแทกพื้น ฝ่ามือหนาและใหญ่ก็สอดเข้ามาในเสื้อผืนบางของซูจิ่นซี และจับเอวของนางอย่างแน่นหนา ก่อนจะดึงร่างของนางขึ้นมาอยู่บนหลังม้าอีกครั้ง

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและอันตรายอย่างมาก ซูจิ่นซียังคงมึนงง ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย นางยังไม่ทันได้ทบทวนถึงเรื่องราวที่น่าหวาดกลัว เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวของนางแน่น และรั้งร่างของนางเข้ามา พลางประกบริมฝีปากเย็นเฉียบและจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม

ดวงตาของซูจิ่นซีเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางเห็นแก้มที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏอยู่เบื้องหน้าตนเอง

เส้นผมบนศีรษะของพวกเขาปลิวไสวพัวพันกันอย่างต่อเนื่อง ราวกับโชคชะตาลิขิตไว้ไม่ให้แยกจาก พวกเขาต้องเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งตลอดไป โชคชะตาต้องแสงจันทร์ ในค่ำคืนอันเงียบสงัดและบ้าคลั่งนั้น ภาพอันงดงามพลันก่อตัวขึ้น