เดิมทีซูจิ่นซีต้องรับน้ำหนักก็ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ทว่าเมื่อเห็นความรักและความจริงจังจากดวงตาร้อนรุ่มของเยี่ยโยวเหยา ทั้งนางยังสัมผัสได้ถึงจุมพิตและความรู้สึกอันลึกซึ้ง หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง นางจึงไม่คิดขัดจังหวะเยี่ยโยวเหยา
อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาเป็นบุรุษที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดเช่นนั้นหรือ? เขาจะไม่รับรู้ถึงความลำบากของซูจิ่นซี และปล่อยให้นางแบกรับเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?
ขณะที่เอวของซูจิ่นซีแบกรับน้ำหนักจนชาไปทั้งตัว เยี่ยโยวเหยาที่กำลังควบม้าก็เปลี่ยนท่วงท่าของซูจิ่นซี เขาเคลื่อนตัวของซูจิ่นซีให้นอนบนหลังม้า ซูจิ่นซีกำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงแห่งความรักอันลึกซึ้ง ก่อนที่นางจะทันได้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนตำแหน่ง นางก็รู้สึกว่ามีมือใหญ่สอดเข้ามาในเสื้อผ้าผืนบาง จากนั้นก็เห็นร่างของเยี่ยโยวเหยากดทับลงมาอีกครั้ง
การสัมผัสอันร้อนรุ่มและการล่วงละเมิดอย่างอุกอาจ ทำให้ร่างของซูจิ่นซีสั่นเทา อิริยาบถที่เร่าร้อนและกล้าหาญ ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีตื่นตระหนก ทว่าในยามนี้ ดูเหมือนนางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพื่อไม่ให้ตนเองตกจากหลังม้า ซูจิ่นซีทำได้เพียงโอบกอดร่างของเยี่ยโยวเหยาให้แน่นขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ การเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณของนาง ในสายตาของเยี่ยโยวเหยากลับกลายเป็นความอ่อนโยนและการตอบสนองที่มีความสุข
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปาก ฝ่ามือที่สอดเข้าไปในเสื้อผ้าของซูจิ่นซีพลันเร่งเร้าขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางลมหนาว ร่างกายของซูจิ่นซียังคงสั่นสะท้าน นางโอบกอดลำคอของเยี่ยโยวเหยาแน่น
“เยี่ย… เยี่ย… เยี่ย… ”
น้ำเสียงนุ่มนวลของซูจิ่นซียิ่งทวีความเย้ายวน เสียงของนางสอดผสานท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่าน ทำให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนที่ยากจะอธิบายได้
เมื่อเสียงนั้นลอยเข้าหูของเยี่ยโยวเหยา ความปรารถนาอันแรงกล้าพลันปรากฏในดวงตาของเขา
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็โน้มตัวลง และใช้ริมฝีปากขบกัดติ่งหูอ่อนนิ่มของซูจิ่นซี ทั้งยังใช้ลิ้นตวัดไปมาอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายของซูจิ่นซีแทบอดกลั้นไม่ไหว หลังจากนั้นนางก็ตัวสั่นเทามากกว่าเดิม ไม่นานนัก เหงื่อเม็ดละเอียดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากและจมูก อารมณ์อันลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยายังคงดำเนินต่อไปอย่างเร่าร้อน ปลุกเร้าอารมณ์ของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งซูจิ่นซีมีปฏิกิริยามากเท่าใด เยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เขาใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดของบุรุษ กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของซูจิ่นซี
“จิ่นซี ข้าอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด”
ซูจิ่นซีไม่มีเวลามาสนใจเยี่ยโยวเหยา เพียงนางเปิดปาก ไม่รู้ว่าเป็นการตอบสนองที่อ่อนไหวของนางเอง หรือเป็นเพราะม้าวิ่งเร็วเกินไป นางจึงรู้สึกว่าหัวใจของนางราวกับถูกดันออกมาจากลำคอ
เยี่ยโยวเหยายื่นนิ้วมือออกมาปัดไรผมตรงขมับของซูจิ่นซีและนำไปพาดด้านหลังใบหูด้วยความอ่อนโยน จากนั้นจึงเช็ดเหงื่อบนจมูกของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา พลางมองแก้มที่แดงระเรื่อและดวงตาลึกซึ้งของนาง
“จิ่นซี ข้าต้องการให้เจ้าเป็นสตรีของข้าอย่างแท้จริง”
หากปราศจากการยั่วยุของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซียังสามารถสงบสติอารมณ์ และพูดคุยกับเขาอย่างมีเหตุผลได้
แก้มของซูจิ่นซีแดงก่ำมากขึ้น นางกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่พูดสิ่งใด
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาพลันขมวดคิ้ว “ทำไม? มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยินยอมอีกหรือ”
ไม่ใช่ไม่ยินยอม ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น พลางมองดูต้นไม้สองข้างทางที่เคลื่อนที่ถอยหลังพร้อมกับม้าที่ห้อตะบึงไปด้านหน้า นางพูดด้วยความแปลกใจว่า “เมื่อไร? ที่ใด? ”
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น ซูจิ่นซีก็เกรงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่เข้าใจ จึงพูดเสริมว่า “ทว่า… ตอนนี้พวกเราอยู่บนม้า”
ขณะนั้น เยี่ยโยวเหยาเห็นท่าทีเช่นนั้นของซูจิ่นซีแล้ว ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาพลันอบอวลไปด้วยอารมณ์หลงใหลอย่างแรงกล้า ซูจิ่นซีที่มีท่าทางเงอะงะดูเหมือนต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ให้โอกาสซูจิ่นซีได้อ้ำอึ้งอีกต่อไป เขาจงใจกดทับร่างลงมาเล็กน้อย และจุมพิตริมฝีปากของซูจิ่นซีอีกครั้งในยามที่นางไม่ทันตั้งตัว จากนั้นจึงสอดปลายลิ้นร้อนเข้าไปในปากของซูจิ่นซี พลางตวัดรัดเกี่ยวปลายลิ้นของนางอย่างเร่าร้อน
“อืม อู… ”
ซูจิ่นซีพึมพำแผ่วเบาและไม่ถามสิ่งใดอีก นางขยับแขนคล้องรอบลำคอของเยี่ยโยวเหยาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเคลื่อนมือไปที่แผ่นหลังของเขา ขณะเดียวกันก็ตอบสนองเยี่ยโยวเหยาด้วยการลูบไล้อย่างประหม่า
ค่ำคืนนี้เป็นดั่งผ้าห่มผืนใหญ่ ผ้าห่มซึ่งประดับประดาด้วยแผ่นหยกที่ส่องสว่าง อัญมณีงดงามจำนวนมากล้วนเจิดจรัสรายล้อมแผ่นหยกที่ส่องประกายระยิบระยับนั้น ราวกับพยายามส่องแสงสว่างแก่เส้นทางข้างหน้า ในระหว่างที่คนทั้งสองกำลังคลอเคลียกันอย่างดูดดื่ม
มวลหมู่แมลงในฤดูร้อนพากันส่งเสียงขับขานตลอดสองข้างทาง ราวกับพวกมันกำลังร้องเพลงเฉลิมฉลองการกลับมาพบกันอีกครั้งของคนทั้งสอง
ม้ายังคงห้อตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมหนาวในค่ำคืนฤดูร้อนยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้าง สายลมพัดเสื้อผ้าและเส้นผมของพวกเขาให้พลิ้วไหว
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและภาพเหตุการณ์อันเร่าร้อนนั้น มีทั้งการตั้งรับและรุกไล่อย่างดุดัน
ทิวทัศน์สองข้างทางเปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นที่เข้มข้นและทรงเสน่ห์ เสียงของซูจิ่นซีทวีความนุ่มนวลและอ่อนโยนมากขึ้น ทั้งลมหายใจของเยี่ยโยวเหยายังหนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน ทำให้ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ไม่รู้ว่าม้านำทางพวกเขามายังสถานที่แห่งใด เยี่ยโยวเหยาเงยหน้าขึ้นจากลำคอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของซูจิ่นซีด้วยความรักและคิดถึง เขาเหลือบมองทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ป่า ก่อนจะโอบกอดร่างนุ่มนวลราวกับก้อนเมฆของซูจิ่นซีไว้ และกระซิบข้างใบหูของนางอย่างแผ่วเบาว่า “กอดข้าแน่นๆ ! ”
มือของซูจิ่นซีที่กอดรัดร่างของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งรัดแน่นมากขึ้น
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกราวกับโลกหมุน
เยี่ยโยวเหยากอดนาง พลางพลิกตัวจากหลังม้าลงมาบนเนินเขาลาดชันแห่งหนึ่ง
ร่างของพวกเขาทั้งสองไม่ได้หยุดนิ่งในทันที ทว่าเคลื่อนที่ไปตามความลาดชันของเนินเขา พวกเขาเคลื่อนตัวลงไปตามเนินเขาอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างทาง หิ่งห้อยและแมลงจำนวนมากต่างตกใจและพากันบินออกมาจากทุ่งหญ้า พวกมันโบยบินอยู่ในอากาศเหนือร่างของคนทั้งสอง แสงจันทร์อันงดงามช่วยเพิ่มความสว่างไสวให้กับค่ำคืนนี้ ทำให้บรรยากาศลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสองกลายเป็นภาพฝันอันเร่าร้อน
ทุกครั้งที่หมุนตัว ภาพทิวทัศน์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างอย่างน่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าราวกับความฝัน หลังจากนั้นความมืดและความสว่างก็สอดประสานกันอย่างงดงาม
ร่างของซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยโยวเหยายังคงเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้นางเกิดความรู้สึกลึกๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง ทว่าเมื่อต้นหญ้าแหลมคมลอดผ่านผิวหนังของนาง มันได้ปลุกเร้าประสาทสัมผัสในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด และบอกกับนางอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง