ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 426 สาวงามขยิบตาให้คนตาบอด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดชะงัก เขายังคงประคองชาไว้เช่นเดิม ท่าทางดูเป็นธรรมชาติยิ่ง แต่เขาแอบกระซิบกับพวกเฟิงอวิ๋นเซิงและสวีเฟยว่า “น้ำชามีปัญหา มีคนมาทักทายพวกเรา”

แก้วชาของเฟิงอวิ๋นเซิงและสวีเฟยยังวางอยู่บนโต๊ะ พวกเขายังไม่ได้ขยับเขยื้อนมัน ส่วนอาหู่กับอิงหลงถูยกแก้วชาขึ้นมาแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงกระซิบของเยี่ยนจ้าวเกอ อิงหลงถูก็งงงันเล็กน้อย นิ่งอึ้งอยู่กับที่

หญิงรับใช้ที่ยกชาเข้ามาเห็นเด็กหนุ่มสีหน้าผิดปกติ จึงมองเขาด้วยความสงสัย

ชายหนุ่มยิ้มพลางหยิบแก้วชามาจากมือของอิงหลงถู “เป็นอะไรไป ชาร้อนเกินหรือ”

หลงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ พยักหน้าอย่างงุนงง

ส่วนอาหู่มีท่าทางเหมือนปกติทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อแก้วชาติดกับริมฝีปาก เขาก็เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ให้น้ำชาเข้าไปในปาก แล้วเอ่ยถามว่า “คุณชาย น้ำชามีปัญหาหรือขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอใช้ปลายลิ้นแตะน้ำชาเบาๆ ก่อนจะกระซิบตอบด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้จะมาทักทายเรา แต่เหมือนสตรีงามขยิบตาให้คนตาบอด[1] ชานี้พวกเราดื่มได้ไม่เป็นไร”

เฟิงอวิ๋นเซิงกับสวีเฟยได้ยินดังนั้นต่างยิ้มขึ้น ยกแก้วชาของตนขึ้นมาจิบเบาๆ

ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอวางแก้วชาลง เขาก็กล่าวกับหญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “รบกวนเตรียมกับข้าวให้พวกเราที”

หญิงรับใช้ขานรับด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ แล้วเก็บถ้วยชาออกไปจากห้อง

อาหู่มองจ้าวเยี่ยนเกอ “คุณชาย เป็นสิ่งใดกัน ข้า พี่เฟย และแม่นางเฟิงตรวจสอบแล้ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ”

เฟิงอวิ๋นเซิงกับสวีเฟยมองมาที่เยี่ยนจ้าวเกอด้วยเช่นกัน เขาพลันตอบด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าเดิมทีมันไม่ใช่สิ่งที่เตรียมให้พวกเรา…อ้อ น่าจะบอกว่า คนที่เตรียมให้พวกเราเข้าใจว่า พวกเราเป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจเหมือนพวกเขา หรือแม้กระทั่งเป็นสัตว์ปีศาจ”

พวกาอาหู่ได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏแววครุ่นคิดขึ้น

เนื่องจากเยี่ยนจ้าวเกอพูดภาษาของโลกลอยน้ำได้เพียงคนเดียว คนอื่นยังเรียนรู้อยู่อย่างตะกุกตะกักอยู่ ดังนั้นระหว่างที่สนทนากับพวกเกาฟ่าง เขาจึงอธิบายว่าพวกตนเป็นคนชนบท บรรพบุรุษหลบไปอยู่อย่างสันโดษเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

ถึงแม้พวกเกาฟ่างจะไม่เชื่อ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอมิใช่คนของโลกลอยน้ำ

และเนื่องจากความเคยชิน พวกเขาจึงคิดว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอเป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจเช่นพวกเขา

“การผสมหญ้าหอยทากภูเขาและต้นปีศาจหุบเขา ก่อให้เกิดอาการชาอย่างรุนแรงต่อสัตว์ปีศาจ สามารถลดทอนพลังวิญญาณของสัตว์ปีศาจ ทำให้อยู่ในสภาวะอ่อนแอ และไม่อาจกระตุ้นพละกำลังได้ชั่วระยะหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่เล็กน้อย “เดิมทีใช้สำหรับจับสัตว์ แต่ถ้าหากข้าทายไม่ผิด ก็น่าจะส่งผลต่อจอมยุทธ์เลือดปีศาจเช่นกัน

“แต่สำหรับพวกเราแล้ว เป็นแค่ผงปรุงชาเท่านั้น”

เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว “ใช้ของแบบนี้ หมายความว่าพวกเขามองประวัติความเป็นมาของพวกเราไม่ออก”

สวีเฟยกล่าวเรียบๆ “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”

“การวางยาน่าจะเป็นเพียงขั้นตอนแรก” เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม อาหู่ที่อยู่ด้านข้างลุกขึ้นมา ก่อนจะยิ้มอย่างดุร้ายพลางหักข้อมือและขยับคอเล็กน้อย

“พวกเขาดื่มชาแล้วหรือ” สายตาที่เหมือนกับอินทรีของเกาฟ่างมองเหล่าหญิงรับใช้เบื้องหน้า

พวกหญิงรับใช้ตอบกลับอย่างงกๆ เงิ่นๆ “นอกจากเด็กหนุ่มผู้นั้น ทั้งชายสามหญิงหนึ่งล้วนดื่มทั้งหมด”

เกาฟ่างพยักหน้า “ประเสริฐมาก พวกเจ้าไปเถอะ”

พวกสตรีรับใช้ถอยไปอย่างลุกลี้ลุกลน เกาฟ่างพูดกับบุรุษร่างผอมสูงด้านข้าง “อีกสักครู่พวกเราก็ลงมือได้แล้ว

“สัตว์ปีศาจหรือจอมยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งเพียงใด ยายิ่งมีผลน้อยลงเท่านั้น เนื่องจากไม่อาจยืนยันพลังฝึกปรือที่แท้จริงของพวกเขาได้ จึงต้องใช้ทุกอย่างที่มี ถ้าหากพลังของอีกฝ่ายเหนือกว่าที่คาดไว้ ขอให้ท่านลงมือช่วยเหลือด้วย”

บุรุษร่างผอมสูง แต่งกายเช่นบัณฑิตกล่าวถาม “แน่ใจหรือว่าพวกเขามีปี่เซียะภูเขาอยู่ในมือ หลังมหาภัยพิบัติ ปี่เซียะภูเขาสูญพันธุ์ ไม่เคยมีใครพบเจอ ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวมันล้วนเหลือแต่ในบันทึกโบราณ ไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวจริงมาก่อน”

เกาฟ่างตอบอย่างมั่นใจ “วางใจได้ ลักษณะเฉพาะเหมือนกับบันทึกโบราณไม่ผิดเพี้ยน ข้าแน่ใจว่านั่นเป็นลูกของปี่เซียะภูเขาแน่ๆ”

บัณฑิตร่างผอมสูงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ประเสริฐ หลังจากจัดการเสร็จจะได้ชี้แจงกับองค์ชาย”

“อาจารย์ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ พวกเขาช่วยชีวิตข้ากับเหล่าศิษย์น้องเอาไว้” เฉินซั่วมองเกาฟ่างที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่เข้าใจ

เกาฟ่างลูบหนวดขาวของตนเอง “ไร้สาระ เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้หวังดีประสงค์ร้าย จงใจยืมกำลังของสำนักเราเข้าใกล้องค์ชายรัชทายาท เพื่อเล่นงานพระองค์”

เฉินซั่วงงงันเล็กน้อย “พวกเขาพูดภาษาทางการไม่คล่องด้วยซ้ำ ผู้ใดจะใช้มือสังหารเช่นนี้…”

“เจ้ารู้หรือว่าพวกเขามิได้เสแสร้ง” เกาฟ่างกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าถูกหลอกง่ายถึงเพียงนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นมาทีหลัง เจ้าถูกสืบสวน สำนักถูกสืบสวน เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร”

ริมฝีปากของเฉินซั่วสั่นระริก เกาฟ่างกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ครั้งหน้าให้ระวังกว่านี้”

บัณฑิตร่างผอมสูงหันไปมองเกาฟ่างแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างหยามเหยียดเล็กน้อย คิดในใจ ‘ต่อหน้าลูกศิษย์ยังต้องเสแสร้งอีก?’

ที่เกาฟ่างต้องการลงมือ ด้านหนึ่งก็เพราะต้องการปี่เซียะภูเขาพ่านพ่าน

สำหรับคนในโลกลอยน้ำแล้ว สัตว์ประหลาดที่หายากและแข็งแกร่งมีความหมายมากมาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หมายถึงการได้มาซึ่งพลังของสายเลือดอันแข็งแกร่ง

อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่เกาฟ่างสนทนากับเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหลอกเอารายละเอียดของอีกฝ่ายได้ แต่รู้สึกได้ถึงแผนการคบหากับราชวงศ์ประเทศฟู่หรานของชายหนุ่ม

ตามคำพูดของเฉินซั่ว ในกลุ่มของพวกเยี่ยนจ้าวเกอมีคนที่สามารถฆ่างูปีศาจเลือดผสมได้ในชั่วพริบตา เรื่องนี้ทำให้เกาฟ่างเกิดความรู้สึกอันตรายและไม่สบายใจ

คนที่คบหากับองค์ชายแห่งฟู่หรานมีมากมายเกินไป ทำให้สำนักปีกอินทรีรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันเกินบรรยาย

บัณฑิตร่างผอมสูงมีความรู้สึกเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขายอมช่วยเหลือ

“เมื่อดื่มชาแก้วนั้นลงไป ต่อให้ยังเหลือแรงสู้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเขาด้วยตัวเอง ขอแค่กดดันให้พวกเขาทำลายขีดจำกัดจนกลายเป็นครึ่งปีศาจก็พอ” บัณฑิตร่างผอมสูงกล่าว “พอถึงเวลา จะมีคนจัดการพวกเขาเอง”

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ยังคิดว่าไม่เหมาะสม…” เฉินซั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “ข้า…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ เกาฟ่างก็โบกมือ มีจอมยุทธ์เข้ามาจับเฉินซั่วไปในทันที

เกาฟ่างหันไปมอง เห็นบัณฑิตร่างผอมสูงมองที่พักของพวกเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น คล้ายกับไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างอาจารย์ศิษย์ของเกาฝ่างและเฉินซั่วที่อยู่ด้านข้าง

“ข้าไปก่อน ท่านช่วยระวังหลังให้ข้าด้วย” พูดจบเกาฟ่างก็เดินไปด้านหน้า

เขาก้าวเดินอย่างดุดัน ยืดหลังขึ้นเล็กน้อย ท่าทางร้ายกาจจนถึงขีดสุด คล้ายกับอินทรียักษ์ที่โฉบลงมาจากท้องฟ้า

บัณฑิตร่างผอมสูงมองเงาหลังของเกาฟ่าง ดวงตาเป็นประกาย ‘นำพลังสายเลือดของจ้าวอินทรีเหินมาฝึกได้โดดเด่นถึงเพียงนี้ นับว่าหายากจริงๆ ข้าไม่มั่นใจว่าจะชนะตาเฒ่าผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ คนที่รับใช้องค์ชายรัชทายาทมีอยู่ถมไป แต่ที่ยืนหยัดอย่างโดดเด่นอยู่ในเมืองสินธุสเถียรได้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ที่สำนักปีกอินรีมีรากฐานเช่นวันนี้มิใช่เพราะโชคดีจริงๆ!’

เขามองเงาหลังของเกาฟ่างเข้าไปในเรือน คิดในใจว่า ‘บางทีไม่ต้องให้ข้าลงมือก็ได้กระมัง’

……………………………………….

[1] สตรีงามขยิบตาให้คนตาบอด สุภาษิตจีน หมายถึง ทำเรื่องไร้ประโยชน์