แท้ที่จริงแล้วเหวินเหรินเจี๋ยอายุตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว แต่เขากลับมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวเด็กน้อย หากมิใช่รู้จักน้ำมือของเหวินเหรินเจี๋ยดีละก็หลิวอวี่เยี่ยนก็เกือบจะถูกเหวินเหรินเจี๋ยหลอกเข้าให้เช่นกัน
“พวกเราจะลงไปเมื่อไหร่กัน”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนใกล้จะมาถึงด้านล่างของหอประภาคารแล้ว หลิวอวี่เยี่ยนก็โมโหขึ้นทันที
“คนผู้นี้มุทะลุจริงๆเลย จะต้องฆ่าล้างโคตรกันให้ได้เลยใช่หรือไม่!”
ถึงแม้ว่า หลิวอวี่เยี่ยนจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวแห่งเมืองอู๋โยว แต่นางก็ให้ความสำคัญกับทุกชีวิต แต่ทว่าเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนบ้าคลั่งอวดดีเช่นนั้น นางก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา
ที่นี่ก็แค่แผ่นดินหลัวอวี่ ที่ที่แสนยากจนข้นแค้น แต่กลับมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถถึงขนาดนี้ได้ มันน่ากังวลใจจริงๆ!
เพียงแต่ว่า ต่อให้เขาจะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ก็ลบความจริงที่ว่าเกิดมายากจนต่ำต้อยไปมิได้อยู่ดี
ในใจของหลิวอวี่เยี่ยนคิดที่จะสั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพียงให้เขามองเห็นตนเองชัดขึ้น แต่ทว่าขณะที่นางกำลังจะลงมือนั่นเองก็ถูกเหวินเหรินเจี๋ยห้ามเอาไว้
“พี่สาว ท่านมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาน่ะสิ!”
เหวินเหรินเจี๋ยร้องเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เฮ้ย! อย่าเอามือของเจ้ามาแตะต้องข้า!”
ด้วยรู้ดีว่าร่างทั้งร่างของเหวินเหรินเจี๋ยล้วนแต่อาบไว้ด้วยพิษ หลิวอวี่เยี่ยนจึงดันมือเขาออกอย่างรวดเร็ว แล้วถอยหลังไปอีกด้าน
“เหรินเจี๋ย เจ้าประเมินเจ้าหนุ่มนั่นสูงไปหรือเปล่า”
“เชื่อข้าสิ! คนระดับเขา แผ่นดินหลัวอวี่รั้งไว้ไม่อยู่หรอก! สักวันหนึ่ง พวกเราจะต้องพบกันที่เมืองอู๋โยว ถึงตอนนั้นบุญคุณความแค้นใดๆ ก็ตัดสินกันที่เมืองอู๋โยวเถอะ!”
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง! คนชั้นต่ำเช่นนี้ สิ่งที่ชอบกระทำที่สุดนั่นก็คือแสวงหาลาภยศสรรเสริญ ปีนขึ้นได้สูงอย่างยากลำบาก”
หลิวอวี่เยี่ยนเห็นด้วยในสิ่งที่เหวินเหรินเจี๋ยกล่าวมา สายตาที่อ่อนโยนของนางเจือไว้ด้วยความดูแคลน
“พี่สาว หากว่าพวกเราทำลายปณิธานและอุดมการณ์ของเขา ในขณะที่เขากำลังผงาดเข้าสู่เมืองอู๋โยวละก็ มันจะมิยิ่งสนุกมากขึ้นหรอกหรือ”
“อีกอย่าง ข้าจะทำร้ายพี่สาวได้อย่างไรกัน!”
เหวินเหรินเจี๋ยยื่นมือออกมา นิ้วมือของเขาอ่อนนุ่มเรียวยาว ปลายเล็บของเขาแววใส แต่เมื่อเพ่งมองโดยละเอียด หลิวอวี่เยี่ยนจึงพบว่าเขาสวมใส่ถึงมือสีทองอ่อนๆอยู่
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าก็จะปล่อยเขาไปก่อน! พวกเราไป!”
“ได้! ข้าเชื่อฟังพี่สาวเสมอ!”
เหวินเหริวนเจี๋ยมองตามแผ่นหลังของหลิวอวี่เยี่ยนไป รอยยิ้มของเขาแสนใสซื่อ แต่ทว่าดวงตากลับฉายแววดูแคลนอยู่เบาบาง
ปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ
ท่านใช่คู่ต่อสู้ของเขาที่ไหนกัน…
เหวินเหรินเจี๋ยมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง เขาขยับปาก
ซย่าโหวฉิงเทียน ข้ารอท่านและอวี้หลัวช่าอยู่ที่เมืองอู๋โยว
สำนักหมื่นพิษย่อยยับภายในคืนเดียว ไม่นานข้าวนี้ก็แพร่ไปถึงหูของหอราชาโอสถ…
ใครกัน
ใครที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้
ทุกคนต่างก็กำลังคาดเดาว่าจอมยุทธ์ที่ทำความดีโดยมิทิ้งนามเอาไว้ผู้นี้คือใครกัน มีเพียงแต่เหลียนจิ่นเท่านั้นที่รู้ ว่านี่คือผลงานของซย่าโหวฉิงเทียน
คนผู้นี้ ถ่อมตนยิ่งนัก!
ไม่มีใครที่ไม่อยากมีชื่อเสียง ไม่อยากถูกผู้คนเคารพนับหน้าถือตา!
แต่เขาที่ทำความดีครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับมิยอมเอ่ยออกมา คนเช่นเขาพึ่งพิงได้จริงๆ!
เหลียนจิ่นมองดูซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างกาย
“ทำได้ไม่เลวนี่!”
“เจ้าไม้เท้าเทพ ทุกครั้งเจ้ายิ้มก็มักจะยิ้มแต่เปลือกนอก ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!”
ความสัมพันธ์ระหว่างซย่าโหวฉิงเทียนและเหลียนจิ่นใกล้ชิดกันขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดเหลียนจิ่นก็ไม่หวาดกลัวเขาอีกต่อไป ทั้งยังกล้าหยอกล้อเขาด้วยซ้ำ ในบางครั้งยังกล่าวคำพูดกระทบกระเทียบแดกดันเขาสองสามประโยคอีกด้วย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้ สำหรับซย่าโหวฉิงเทียนเทียนแล้วนับเป็นครั้งแรก
รู้สึกใหม่ๆ และมีความหมายยิ่งนัก!
เหลียนจิ่นไม่เหมือนกับคนอื่น ที่จะฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เขาใช้สายตาที่น่าหวาดกลัวจ้องมองมาที่ซย่าโหวฉิงเทียน
ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ถือสา เขาดื่มชาต่อแล้วปากต่อคำกับเหลียนจิ่นต่อ
“ข้าจะมีแผนร้ายได้อย่างไร!”
เหลียนจิ่นสวมชุดสีขาวทั้งชุด เอนกายพิงเสาด้วยอาการขี้เกียจประจันหน้ากับซย่าโหวฉิงเทียนที่ยืนตัวตรงแน่ว อยู่ด้านข้าง
“ซย่าโหวฉิงเทียน เหตุใดข้าถึงพยากรณ์ที่มาที่ไปของท่านไม่ได้นะ น่าปวดหัวเสียจริงๆ!”
เหลียนจิ่นมองดูซย่าโหวฉิงเทียนเงียบๆแต่จริงจัง
เหลียนจิ่นคิดที่จะเลือกเฟ้นดาบเล่มหนึ่งให้กับอวี้เฟยเยียน แต่เขากลับมองซย่าโหวฉิงเทียนไม่ออก ผลการพยากรณ์ที่ออกมาทำให้เขากังวลใจและผิดหวังเล็กๆ
จะต้องแน่ใจว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน เหลียนจิ่นจึงจะวางใจ
เพราะอย่างไรเสีย บทเรียนที่ผ่านมาช่างเจ็บปวด หวนนึกถึงเมื่อไร เหลียนจิ่นก็เจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจ
“เจ้ามาพยากรณ์ข้าทำไมกัน”
เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็จ้องมองเหลียนจิ่นด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“ไม้เท้าเทพ เจ้ามีแผนการร้ายอะไร”
“ข้าจะไปมีแผนร้ายอะไรได้เล่า”
เหลียนรูปร่างไม่สูงมากนัก เพียงแค่178 เท่านั้น แล้วไปยืนข้างซย่าโหวฉิงเทียนี่สูงถึง190 ทำให้เขาต้องเงยหน้าเวลาพูดคุยกับอีกฝ่าย
“ข้าเพียงแค่อยากที่จะพยากรณ์บุพเพสันนิวาสของเจ้า ใครจะไปรู้ว่าพยากรณ์ไม่เห็นอะไรเลย…”
เพียงแค่ได้ยินเหลียนจิ่นกล่าวถึง ‘บุพเพสันนิวาส’ หูของซย่าโหวฉิงเทียนก็ตั้งผึ่งขึ้นมาทันที
การพยากรณ์ของเจ้าไม้เท้าเทพนี่เขาไม่มีข้อสงสัย!
แต่เจ้าหมอนี่จะมาใจดีพยากรณ์บุพเพสันนิวาสเขา
เจ้าไม้เท้าเทพนี่กลายเป็นชอบแอบนินทาเรื่องของผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ข้าอิงตามวันเดินปีเกิดของท่านอ๋องมาพยากรณ์ ผลที่ได้มาคือ มรณะ น่าแปลกยิ่งนัก! เป็นมรณะไปได้อย่างไร ก็ท่านยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้นี่นา!การพยากรณ์ของข้าไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเสียด้วย”
เหลียนจิ่นพูดเองเออเอง
คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของเจ้าไม้เท้าเทพนี้อีกครั้ง
เขามิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนตัวจริง จึงไม่มีวันเดือนปีเกิดของเขา ดังนั้นเหลียนจิ่นจึงพยากรณ์ออกมาไม่เห็นอะไรเลย
ปีนั้น เพื่อที่จะหลีกหนีการตามฆ่าของซย่าจื่ออวี้ เขาจึงได้หนีมาที่แผ่นดินหลัวอวี่นี่
สถานที่แรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนพำนักนั่นก็คือจวนตัวประกันแห่งแคว้นฉินจื้อ
เด็กชายตัวน้อยที่ผอมโซอ่อนแอช่วยเขาเอาไว้ ช่วยเขาปกปิดหลีกหนีการตามฆ่า แต่เขากลับช่วยเด็กชายตัวน้อยที่ป่วยจนไร้ซึ่งหนทางรักษาเอาไว้ไม่ได้ ได้แต่มองดูเขาตายลงไปอย่างเงียบๆ ทั้งยังแอบอ้างสถานะของเขาใช้ชีวิตอยู่ต่อ…
เด็กชายตัวน้อยที่ผอมบาง มีจุดสีแดงที่หว่างคิ้วเช่นเดียวกันกับเขา ในท้ายที่สุดล้มป่วยนอนเตียง เขากุมมือของเด็กชายตัวน้อยเอาไว้
“พวกเราอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คนทั่วไปมิอาจแยกแยะออกได้! เจ้าและข้าต่างก็มีชะตากรรมเดียวกัน! ต่างก็ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแทนข้า ได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีชื่อแซ่ ต่อไป เจ้าก็ชื่อซย่าโหวฉิงเทียน ดีหรือไม่”
“ได้! นับแต่วันนี้ไป ข้าคือซย่าโหวฉิงเทียน!”
ตั้งแต่เขาให้คำมั่นสัญญากับเด็กน้อยแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียน
ความลับนี้ ซุกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกในจิตใจของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยตลอด ตอนนี้มาถูกเหลียนจิ่นเปิดโปง แวบหนึ่งในความคิดซย่าโหวฉิงเทียนเกือบจะฆ่าคนปิดปากเสียแล้ว
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
น้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีชัดเจนสูงส่ง ก็กลับกลายเป็นแข็งกระด้าง
ไอสังหารที่อีกฝ่ายส่งมาให้ มีหรือที่เหลียนจิ่นจะไม่รู้
แม้แต่มั่วซางที่อยู่ด้านหลังของเขา มือก็กุมที่กระบี่เตรียมพร้อม ขอเพียงแต่ซย่าโหวฉิงเทียนลงมือ มั่วซางก็พร้อมสังหารเขาทันที
ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด จู่ๆเหลียนจิ่นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านจะอยู่กับอวี้เฟยเยียน ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมายเพียงใด ต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดไหน ท่านก็จะไม่ทอดทิ้งนาง ไม่ทรยศหลักหลังนางใช่หรือไม่!”
คำพูดที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ทว่าทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าด้วยความชัดเจนแน่วแน่พร้อมกับกล่าวว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว! แมวน้อยของข้า ข้าจะคุ้มครองนางชั่วชีวิต!”
“ท่านกล้าใช้โลหิตสาบานหรือไม่”
เหลียนจิ่นที่อ่อนโยนมาโดยตลอด คราวนี้กลับแข็งขืนเชิงบังคับขู่เข็ญซึ่งแปลกไปจากปกติ
“กล้าสิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกรีดข้อมือตนเอง เลือดแดงสีแดงเข้มสาดกระเซ็น
“ข้า ซย่าโหวฉิงเทียน ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมายเพียงใด ต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดไหน ข้าจะไม่ทอดทิ้งนาง ไม่ยอมแพ้ ข้าจะดูแลนาง ทะนุถนอม รักนาง หากผิดคำสาบาน ขอให้วิญญาณของข้าแตกสลาย ให้ตายไร้ที่ฝัง!”
เลือดสดๆ เรียงตัวเป็นอักษร ท้ายที่สุดมันมิได้ไหลกลับเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียน แต่กลับร้อยเรียงกันเป็นสร้อยข้อมืออักษรสีแดง
“ดี ดีมาก!”
เหลียนจิ่นยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตา
ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเหลียนจิ่นอีกแล้ว วิญญาณแตกสลาย ตายไร้ที่ฝังนั้น มันสุดแสนทรมานน่าเวทนาสักเพียงไหน…ปีนั้นเขาเห็นภาพนั้นด้วยตาของเขาเอง ตอนนี้เพียงแค่หลับตาลง ก็เป็นภาพที่นางแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ชั่วชีวิตเขามิมีวันลืม
การสาบานถึงเพียงนี้ ต่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนเปลี่ยนใจ เขาก็ไม่กังวลใจใดๆ อีกแล้ว!