“ท่านวางใจเถอะ ในใจข้า ท่านคือหลินเจียงอ๋องตลอดไป”
ซย่าโหวฉิงเทียนสามารถสาบานเพื่ออวี้เฟยเยียนได้ เช่นนั้นเหลียนจิ่นก็ให้คำมั่นสัญญาได้เช่นกัน
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ชายตรงหน้าเขาจะเป็นใครก็ตาม สำหรับเหลียนจิ่นแล้ว เขาก็คือซย่าโหวฉิงเทียน เหลียนจิ่นเชื่อแน่ว่าเขาจะคอยดูแลอวี้เฟยเยียนอย่างดี จวบจนกระทั่งถึง…วินาทีที่เขาตาย!
ได้แต่หวังว่าเวลาจะเดินช้าอีกหน่อย หวังว่านางจะเติบโตให้เร็วขึ้น หวังให้คนบางกลุ่มมาช้าอีกหน่อย หวังว่า…เจ้าหนุ่มตรงหน้านี้จะทนได้นานอีกสักหน่อย
แววตาเหลียนจิ่น ลึกลับยากจะคาดเดา
ร่องรอยบาดแผลที่บ่งบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเผชิญมามากมาย พาดผ่านแสงทอง ผ่านกาลเวลามาช้านาน เป็นร้อยเป็นพันปี ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองเหลียนจิ่นแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั่วร่าง
เจ้าไม้เท้าเทพนี่ ยิ่งดูยิ่งเหมือนกับสัตว์ประหลาดเข้าไปทุกที!
แต่ห็นแก่เจตนาของเขาที่ไม่คิดจะมาแย่งแมวน้อยของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใจกว้างพอที่จะยอมทนกับการดำรงอยู่ของเขา
อวี้เฟยเยียนไม่ล่วงรู้เลยว่าซย่าโหวฉิงเทียนและเหลียนจิ่นในตอนนี้มีความคิดที่เห็นพ้องต้องกันแล้ว เพราะในขณะนั้นนางกำลังเตรียมการเพื่อรักษาอวี้เชียนเสวี่ยอยู่
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่มู่เหนี่ยนซีถูกลอบโจมตีในครั้งนั้น อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
หากเขามิใช่คนพิการที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ละก็ มู่เหนี่ยนซีคงมิต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น
ดังนั้น หลังจากที่อวี้เฟยเยียนพักผ่อนจนหายดีแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยมิรอให้อวี้เฟยเยียนพูด เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอให้นางช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับตนเอง
ขณะเดียวกัน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานประลองปรุงโอสถต่างก็ทยอยเดินทางออกจากหุบเขาลั่วสยาแล้ว
ส่วนหอราชาโอสถภายใต้การปกครองของเจ้าสำนักหลิน ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ดังเดิมอย่างที่ควรจะเป็น
ช่วงเวลาที่อวี้เฟยเยียนพำนักอยู่ที่นั่น หากมีเวลาเมื่อใดเจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าก็จะพากันมาห้อมล้อมอวี้เฟยเยียนขอร้องให้นางช่วยสอนวิชาแพทย์ให้อยู่เนืองๆ
เพราะว่าวิชาฝังเข็มที่อวี้เฟยเยียนใช้รับมือกับพิษของสำนักหมื่นพิษ เป็นวิธีที่พวกเขามิเคยพบเห็นมาก่อน
ตอนนี้ได้ยินอีกว่าลมปราณอวี้เชียนเสวี่ยสูญสิ้นมาหลายปี อวี้เฟยเยียนจะทำการรักษาฟื้นคืนลมปราณที่สูญสิ้นไปหลายปีนั้นของเขาให้กลับคืนมา ทำให้เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
บนแผ่นดินนี้ขณะที่จอมยุทธ์ประลองฝีมือกันนั้น วิธีการที่จะลบหลู่ฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดนั่นก็คือทำลายลมปราณของฝ่ายตรงข้ามให้สูญสิ้น
ทำให้จอมยุทธ์ผู้ที่เคยอยู่จุดสูงสุด กลับกลายเป็นคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ห้ำหั่นใดๆ ได้อีกความกระทบกระเทือนจิตใจที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้มีผู้คนมากมายทนการลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ไม่ไหวแล้วปลิดชีพตนเองในที่สุด
อวี้เชียนเสวี่ยเองก่อนหน้านี้ก็เคยคิดที่ปลิดชีพตนเองให้จบๆ ไป
แต่อวี้จิงเหลยเคยกล่าวไว้ ตระกูลอวี้ไม่มีคนที่ไร้ค่าเช่นนั้น ลูกหลานตระกูลอวี้จะตายในสนามรบเท่านั้น
ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยกัดฟันสู้มาจนถึงวันนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ที่เขาต่อสู้มานั้นถูกต้อง
อวี้เฟยเยียนคือจักรพรรดิโอสถ มีวิชาแพทย์ที่สูงส่ง อวี้เชียนเสวี่ยเชื่อแน่ว่า ภายใต้การช่วยเหลือของนาง ตัวเขาจะต้องฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้!
จอมยุทธ์หนุ่มหน้าหยกแห่งตระกูลอวี้ กลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง!
ไม่เพียงอวี้เชียนเสวี่ยดีใจ เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและบรรดาผู้เฒ่าหนวดเคราขาวทั้งหลายต่างก็ดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
ในตำราแพทย์บนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้ มิเคยมีบันทึกว่ามีผู้ใดฟื้นฟูพลังลมปราณได้สำเร็จมาก่อน
อวี้เฟยเยียนจะรักษาให้กับอวี้เชียนเสวี่ยในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่หายากยิ่งนัก!
เพียงแต่ว่า เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้อาวุโสรู้ดีว่า วิชาแพทย์ ในยุคนี้จัดว่าเป็นความรู้ส่วนบุคคล
นอกจากหอราชาโอสถที่เปิดให้เข้ามาศึกษาเล่าเรียนและถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้แล้ว วิชาแพทย์ของคนธรรมดาก็เป็นดั่งเช่นวิชาเฉพาะประจำตระกูลอย่างไรอย่างนั้น ห้ามแพร่งพราย
ยิ่งไปกว่านั้นวิชาแพทย์ของอวี้เฟยเยียนสูงส่ง ซึ่งถึงแม้ว่าสองสามวันมานี้นางจะอดทนเพียรพยายามแบ่งปันความรู้ทางวิชาการแพทย์ให้กับเหล่าผู้เฒ่า ทำให้ทุกคนได้รับความรู้ไปไม่น้อย แต่การรักษาลมปราณถือเป็นวิชาเฉพาะ เกรงว่านางจะมิยอมแพร่งพรายให้กับคนนอก
อย่างไรเสีย ศิษย์คนละสำนัก กฎย่อมแตกต่างกัน
ยิ่งเมื่อได้ฟังคำของอวี้เฟยเยียนว่า อาจารย์นางคือยอดฝีมือนอกวงการ และมีนางเป็นศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้เพียงคนเดียว
เกรงว่า ผู้ที่จะมาสืบทอดวิชาต่อจากอวี้เฟยเยียน มีเพียงศิษย์ของนางในภายภาคหน้าเท่านั้น
“ผู้เฒ่าใหญ่ท่านไปที! ท่านกับแม่นางน้อยอวี้รู้จักกันนานที่สุด ความสัมพันธ์ย่อมต้องแน่นแฟ้นที่สุด เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของท่านแล้ว!”
เจ้าสำนักหลินกระทุ้งพุงพุ้ยๆ ของผู้เฒ่าใหญ่
หลังจากที่ยืนยันข่าวการตายของผู้เฒ่าใหญ่แน่ชัดแล้ว เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าก็ปรึกษาหารือแล้วเห็นตรงกันว่าให้ยกหมอเทวดาฮั่วให้เป็นผู้เฒ่าใหญ่แทน
หมอเทวดาฮั่วเป็นผู้มีคุณธรรมเลื่องลือไร้ซึ่งข้อสงสัยสำหรับหอราชาโอสถแล้ว เทียบเท่ากับขุนนางที่มากด้วยความดีความชอบ ให้เขาเป็นผู้เฒ่าใหญ่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เพื่อที่จะให้หมอเทวดาฮั่วยินยอมพร้อมใจที่จะขึ้นเป็นผู้เฒ่าใหญ่ เจ้าสำนักหลินยังตั้งใจจัดการเลือกตั้งขึ้นมา สุดท้ายหอราชาโอสถตั้งแต่เล็กจนใหญ่สุดมิมีใครคัดค้าน ทุกคนต่างเห็นด้วย
ดังนั้น หมอเทวดาฮั่วเฉกเช่นเป็ดที่ถูกไล่เข้าคอก กลายเป็นผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถไปโดยปริยาย
“พวกเจ้า พวกเจ้าประท้วงต่อต้านข้าหรือ!”
หมอเทวดาฮั่วตบพุงพุ้ยๆ ของเขา ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ถูกทูตซ้ายจับไปจองจำที่คุกวารีสวรรค์ถูกทรมานอยู่เสียตั้งหลายวัน หมอเทวดาฮั่วก็ผ่ายผอมลงไปไม่น้อย
ทว่าสองสามวันมานี้ เขาบำรุงร่างกายด้วยอาหารรสดีนานาชนิด ถึงได้ขุนน้ำหนักที่หายไปกลับมาโดยไม่ง่ายเลย นี่ก็อ้วนกลมขึ้นมาก ดูแล้วคล้ายคลึงฟักยักษ์ก็มิปาน
“ก็ข้าว่าเจ้าสำนักพูดถูก! ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็เห็นด้วย!”
“ข้าไม่มีปัญหา!”
“ข้าสนับสนุนเจ้าสำนัก!”
…
ตั้งแต่ผู้เฒ่ารองยกมือ ทันใดนั้น ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็เริ่มยกมือขึ้นตาม ผู้เฒ่าห้าจึงยกสองมือขึ้นไปเลย แสดงให้เห็นถึงว่าการตัดสินใจของเจ้าสำนักหลินนั้นผ่านฉลุย
มองดูเหล่าตาเฒ่าที่รวมตัวประท้วงตนเองด้วยความเอ็นดู ทำให้หมอเทวดาฮั่วถึงกับปวดสมองขึ้นมาทันใด
“แม่นางน้อยอวี้ เหตุใดเจ้าต้องสอนไอ้วิธีการเลือกตั้งประชาธิปไตยให้กับพวกเขาด้วยนะ”
นี่มันเรียกว่าเลือกตั้งที่ไหนกัน! นี่เขาเรียกว่ารวมหัวกลั่นแกล้งกันชัดๆ!
เป็นไปตามที่สาธารณชนคาดหวังเอาไว้ หมอเทวดาฮั่วหอบเอาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเพราะถูกโจมตีไปที่ห้องอวี้เฟยเยียน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ทันได้เห็นอวี้เฟยเยียนทำการตรวจขั้นสุดท้ายให้กับอวี้เชียนเสวี่ยพอดี
“เด็กน้อยอวี้ กำลังยุ่งอยู่หรือ!”