ภาคที่ 4 บทที่ 51 งูบิน (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 51 งูบิน (1)

ในตอนเช้าตรู่ ซูเฉินเดินออกจากห้อง เห็นเยี่ยเม่ยนั่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก สองมือเท้าคางอยู่

ซูเฉินจึงเดินยิ้มเข้าไป “อะไร ? ยังโกรธข้าอยู่หรือ ?”

เยี่ยเม่ยกลอกตาใส่เขาแล้วสะบัดหน้าหนี ไม่สนใจเขาอีก

“เอาล่ะ ๆ เป็นเพราะข้าต้องทำเรื่องสำคัญ อีกอย่าง เจ้าเป็นสตรี เข้าออกห้องข้าตลอดเช่นนี้มันไม่ดีกระมัง ?”

เยี่ยเม่ยยังหันไปทางอื่นไม่สนใจเขา

ซูเฉินหยิบถุงเนื้อเส้นออกมา “เอ้า ให้เจ้า”

เยี่ยเม่ยเหลือบตามอง “อะไร ? เจ้าจะติดสินบนข้าใช้แค่เนื้อเส้นถุงหนึ่งงั้นหรือ ?”

ซูเฉินค่อย ๆ หยิบมาอีกถุงหนึ่ง

เยี่ยเม่ยจ้องถุงเนื้อเส้นนิ่ง จากนั้นจ้องหน้าซูเฉิน แล้วก็ชูนิ้ว 3 นิ้วขึ้น “อย่างน้อยต้องสาม”

ซูเฉินเพิ่มให้อีกถุงไม่ลังเล เยี่ยเม่ยคว้ามันจากเขามาทันที “วันนี้ข้าจะยกโทษให้”

“ดูท่าเนื้อเส้น 3 ถุงจะซื้อความโกรธเจ้าได้เพียง 1 วันเองสินะ”

“ก็ได้ งั้น 2 วัน”

“เอาล่ะ ๆ เจ้าชนะ พอใจหรือยัง ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงจนใจ

คนทั้งคู่มองหน้ากันก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

จากนั้นนางก็เริ่มหยิบเนื้อเส้นออกมาแทะ

ระหว่างกิน เยี่ยเม่ยก็ถามขึ้นทั้งที่เนื้อยังเต็มปาก “นี่ เมื่อวานนี้เจ้าทดลองอะไรอยู่หรือ ?”

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม ?”

เยี่ยเม่ยกลอกตา “ตอนจูเซียนเหยาถามเจ้ายังเต็มใจตอบ”

“ก็ได้ เมื่อวานข้าทำการค้นคว้าส่วนมากเรื่องการใช้และการแปลงสสารต้นกำเนิดประเภทวิญญาณระดับสูง และก็เรื่องผลลัพธ์ในการทำให้มันมีระดับสูงมากขึ้นด้วย ข้าได้แรงบันดาลจากขาปี่เอ๋อซือ ลองใช้มันทำปฏิกิริยากับพื้นผิวโลหะดู……”

เยี่ยเม่ยยกมือยอมแพ้ “คิดใหม่อีกที เท่านี้ก็พอแล้ว”

ซูเฉินยักไหล่

เยี่ยเม่ยยกมือขึ้นกุมหัวพลางเอ่ยเสียงไม่พอใจ “นี่ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าข้ามันไร้ประโยชน์ ?”

“ไม่เลย” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าดีทีเดียวนะ”

“อย่ามาสงสารข้าเชียว” เยี่ยเม่ยเอ่ยขึ้นช้า ๆ “จริง ๆ ข้าก็รู้ล่ะว่าข้าไร้ประโยชน์ กำลังก็ปานกลาง พูดอะไรไม่คิดก่อน ถูกคนหลอกอยู่ตลอด ทั้งยังซื่อบื้อมาก เป็นนักฆ่าที่ดียังไม่ได้ นี่ข้าก็เลยเปลี่ยนอาชีพมาเป็นแค่คนส่งข่าวแล้วเนี่ย เหตุผลเดียวที่เจ้ายังเลือกข้าเป็นคนส่งข่าวอาจเพราะเจ้ารู้ว่าข้าไร้ประโยชน์กระมัง”

หือ ดูท่ากระทั่งคนที่บื้อที่สุดก็ยังมีมุมที่เข้าใจเรื่องราวเหมือนกัน

ซูเฉินกระแอมในลำคอ “เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น เจ้าทั้งใจดีทั้งน่ารัก แล้วก็เป็นเด็กดีด้วย ข้าชอบเจ้ามาก”

“แต่เขาว่ามีแต่สตรีที่ไม่ได้ฉลาด ไม่งดงาม ไม่อบอุ่น หรือไม่มีข้อดีอื่น ๆ เขาถึงจะชมว่าน่ารักนะ”

ซูเฉินรู้สึกโกรธขึ้นมา “เจ้าโง่นี่ไหนว่ามาเช่นนั้น ?”

จากนั้นก็พลันเอ่ย “เจ้าอย่าไปฟังคนอื่น เจ้าเองก็ดีมากแล้ว”

“บอกความจริงข้ามา !” เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงกระชาก

“ก็…. ก็ได้ บางครั้งเจ้าก็ซื่อบื้อ แต่มันก็น่ารักดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้หล้านี้คนประเภทไหนแกร่งกล้าที่สุด ?”

“ประเภทไหนหรือ ?”

“ก็ต้องเป็นคนที่มีคนชอบอย่างไรเล่า” ซูเฉินตอบไปตามตรง “ฉะนั้นหากเจ้าบื้อบางครั้ง ไม่อ่อนโยนบางคราเล่า ? หากยังมีคนพร้อมเสียสละเพื่อเจ้า เท่านั้นก็พอแล้วนี่”

เยี่ยเม่ยตาเป็นประกาย “เช่นนั้นก็แสดงว่ามีคนที่ชอบข้าและต้องการข้าด้วยหรือ ?”

“มีสิ ข้าไง ! ข้าต้องการเจ้านะ ! และข้าก็เชื่อว่ายังมีคนอีกมากที่ต้องการเจ้า” ซูเฉินตอบแข็งขัน

เยี่ยเม่ยกะพริบตา ดูเหมือนซูเฉินจะพูดจริงจัง ความรู้สึกเศร้าโศกก่อนหน้าพลันจางลงเล็กน้อย นางจึงเงยหน้าขึ้นหัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพูดถูก หากยังมีคนที่ชอบข้า ก็นับว่าข้าแกร่งเกินใครแล้ว ดังนั้นมีหรือที่จะต้องไปสนใจเจ้าคนพวกนั้น ?”

เมื่อเขาเห็นท่า ‘ผยอง’ ของนางแล้ว ซูเฉินก็พลันเสียวสันหลังวาบ รู้สึกราวกับผลักนางจากกระทะเข้ากองไฟก็มิปาน

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในตอนที่กำลังหัวเราะคุยเล่นกันอยู่นั่นเอง พวกเขาก็เห็นเมฆดำปรากฏขึ้นอยู่ไกล ๆ

เมฆดำเคลื่อนมาใกล้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่ามันเป็นงูบินมงกุฎตัวใหญ่ บนหัวมีมงกุฎประหลาดที่ดูเหมือนดอกบัวขนาดใหญ่อยู่ ใหญ่ขนาดคนเข้าไปนั่งได้

งูบินเป็นอสูรบินได้ชนิดเดียวในปราการหงส์เดียวดายที่ฝึกให้เชื่องได้ แม้จะรับน้ำหนักได้น้อย แต่ก็เคลื่อนไหวเร็วนัก

มีเผ่าเกล็ดทรายนั่งอยู่บนงูบินมงกุฎใหญ่ฝูงใหญ่นั่น

“พวกนั้นเป็นเผ่าเกล็ดทรายที่ไล่ล่าเรามา” ซูเฉินว่าเมื่อเข้าใจสถานการณ์

ในเมื่อปัวเอ่อร์หนีไปได้ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่ายแน่ ทุกคนจึงเตรียมการมาพร้อมแล้ว

กลุ่มที่กำลังใกล้เข้ามาอาจเป็นเพียงแนวหน้าเท่านั้น

เมื่อคนบนกลุ่มงูบินมงกุฎใหญ่เห็นพวกเขา คนพวกนั้นก็พลันผิวปากเสียงดัง ในเวลาเดียวกันก็วาดแขนขึ้น เกิดเป็นพายุทรายขนาดใหญ่ซัดตรงเข้ามา

พายุทรายนี้ไม่ได้หมายจะโจมตี แต่เป็นเครื่องหมายทัพหลังรู้ว่าพบศัตรูแล้วต่างหาก ในเวลาเดียวกันก็ยังถ่วงเวลาหนีศัตรูได้ด้วย

เห็นดังนั้นจูไป๋อวี่กับฉือหมิงเฟิงก็ตาฉายแววเฉียบคม

“รนหาที่ตาย !” คนทั้งสองตะโกนขึ้นแล้วเหินร่างขึ้นไปทันที

ด่านสู่พิสดารสองคนโผล่ออกมาจากฝูงงูบิน เผชิญหน้ากับฉือหมิงเฟิงและจูไป๋อวี่ เข้าหยุดการเคลื่อนไหวของคนทั้งสองไว้

และเพราะพวกเขามาแอบซุ่มโจมตี ปัวเอ่อร์จึงไม่ได้พากำลังคนมามากมายนัก มีเพียงคนด่านสู่พิสดาร 2 คนในหน่วยลาดตระเวน และอีก 2 คนในทัพเสริมเท่านั้น ซึ่งหากรวมตัวเขาก็นับเป็น 5 ในช่วงการต่อสู้ที่ปราสาทไหลน่าตะวันตก ซาเค่อตายไปแล้ว ส่วนปัวเอ่อร์และตัวหลัวเท่อก็บาดเจ็บและยังรักษาตัวอยู่ ปัวเอ่อร์ยังรู้ว่าตนมีพลังเต็มเปี่ยมยังชนะมนุษย์ได้ยาก ดังนั้นจึงส่งด่านสู่พิสดาร 2 คนมาปกป้องหน่วยลาดตระเวนและถ่วงเวลาหนีของซูเฉินสักเล็กน้อย และเมื่อทัพหลักมาถึงก็จะใช้กำลังของทัพเผ่าเกล็ดทรายกลืนได้กระทั่งคนด่านสู่พิสดาร

ในตอนที่คนด่านสู่พิสดารทั้งสองประมือกับฉือหมิงเฟิงและจูไป๋อวี่ งูบินมงกุฎใหญ่อีกคัวก็ใกล้เข้ามา ค่อย ๆ บินใกล้เข้ามาพร้อมกับพายุทราย อูฐหมาป่าร้องโหยหวนพลางกดตัวต้านพายุทราย ดูท่าถึงหนีไปก็ไม่ได้อะไร

“จิ่งเหวิน หานักธนูสักสองสามคนมายิงพวกมัน” จูเซียนเหยากระโจนเข้าไปพร้อมตะโกนลั่น

“ไม่มีประโยชน์ ฝั่งเราไม่มีมือธนูฝีมือดีเลย อีกทั้งพายุทรายยังหนักมาก กระทั่งตายังลืมแทบไม่ขึ้นเลยขอรับ !” จ้าวจิ่งเหวินตะโกนตอบ

จูเซียนเหยาโกรธ ทว่าก็จนใจ

พื้นฐานพลังนางยังไม่ถึงด่านสู่พิสดาร นางเองก็บินเองไม่ได้ ดังนั้นจึงต่อกรกับศัตรูทางอากาศไม่ได้เลย

เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงชิ้งของโลหะพุ่งแหวกอากาศออกไป มันส่องแสงสว่างวาบก่อนจะพุ่งเข้าใส่งูบินมงกุฎใหญ่ตัวหนึ่ง

มันคือดาบของซูเฉินนั่นเอง

หลาย ๆ คนจำมันได้

“ไม่ได้ผลหรอก” จูเซียนเหยาถอนใจ

แม้ซูเฉินจะมีกำลังสูงจนเกินคาด แต่โยนดาบขึ้นไปแล้วอย่างไร ? ศัตรูก็หลบได้ง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ ?

ซึ่งงูบินมงกุฎใหญ่ก็เพียงเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเท่านั้น

ทว่าภาพน่าตกใจก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบที่พุ่งขึ้นไม่ได้ย้อนกลับลงดินทันที แต่กลับเปลี่ยนทิศแล้วพุ่งใส่งูบินมงกุฎใหญ่อีกครา

ฉัวะ !

มันถูกฉีกร่างเป็นสองส่วน เผ่าเกล็ดทรายที่ขี่มันอยู่จึงร่วงลงพื้นจนร่างกระจายทันที

“เป็นไปได้ยังไงกัน ?”

ทุกคนชะงักงัน มองดาบหั่นภูผาที่พลันมีปีกสีจางงอกออกมาอยู่กลางอากาศ จากนั้นมันก็เปลี่ยนทิศอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าหน่วยลาดตระเวน เผ่าเกล็ดทราย