ภาคที่ 4 บทที่ 52 งูบิน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 52 งูบิน (2)

ดาบตวัดผ่านฟากฟ้า พุ่งไปมาอยู่ในอากาศ ไม่ว่ามันบินไปทางใดหยาดเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่ว

เผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งยกดาบสั้นขึ้นปะทะกับดาบบิน ทว่าเจ้าดาบกลับเด้งไปอีกทาง ไม่เพียงแต่หลบดาบสั้นได้ แต่ยังโต้กลับไปทันที มันตวัดแทงร่างเผ่าเกล็ดทรายและร่างงูบินทันที ทำให้งูบินกรีดเสียงลั่นแล้วร่วงลงไปนอนสั่นบนพื้น

จากนั้นเจ้าดาบก็พุ่งขึ้นสูงก่อนจะเปลี่ยนทิศ หลบการโจมตีจากหลายทางเสร็จมันก็มุ่งตรงเข้าจัดการงูบินทันที

ฟ้าว !

คลื่นพลังดาบตวัดผ่านร่างเผ่าเกล็ดทรายสามคนพร้อมกัน หั่นร่างทั้งสามเป็นหกแฉกทันที

ดาบหั่นภูผาราวกับกรีดดีใจลั่น มันวกกลับแล้วปล่อยริ้วแสงออกมาต่อ

ริ้วแสงทั้งหลายนั้นราวกับว่าจับต้องได้ ผ่าร่างเผ่าเกล็ดทรายไปหลายคนเข้าก็กลายเป็นแสงสีแดงก่ำ จากนั้นดาบหั่นภูผาก็พุ่งเข้าหาริ้วแสงนั่นเร็วดั่งสายฟ้าแลบ

ผู้คนได้แต่เงยหน้ามองริ้วแสงที่ตวัดใส่คนนั้นคนนี้ที ไม่นานทั้งแขน ขา หัว และร่างกายก็เริ่มแยกส่วนแล้วร่วงลงมาจากฟากฟ้า

ซากศพกระจายกองไปทั่ว ก้อนเนื้อร่วงหล่นไม่หยุด ตระกูลจูกับอารามนิรันดร์เองก็ตกใจเหมือนกับคนอื่น ๆ

“นั่น…. นั่นมันอาวุธปีศาจอะไรกัน ?” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงตกตะลึง

“อาวุธวิญญาณ” ซูเฉินตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ

อาวุธวิญญาณ ?

ทุกคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

เยี่ยเม่ยถาม “เนี่ยน่ะหรือที่พัฒนาเสร็จเมื่อวาน ?”

ซูเฉินพยักหน้าน้อย ๆ “ใช่แล้ว เครื่องมือต้นกำเนิดชิ้นนี้มีวิญญาณสถิต ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยบังคับ ทำให้มันบินไปสังหารได้เอง ตอนแรกข้าคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ แต่ตอนนี้คงจะคิดผิดไป ความสามารถของมันมากกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้มาก”

ดาบหั่นภูผายังดำเนินการล่าสังหารต่อ ทหารเผ่าเกล็ดทรายนับว่าตกที่นั่งลำบากแล้ว

แท้จริงแล้วพวกทหารไม่ได้อ่อนแอสักนิด ทว่าไม่อาจเผยกำลังเต็มฤทธิ์ได้เพราะอยู่บนอากาศ ทั้งยังไม่เคยประจันหน้ากับศัตรูเช่นดาบหั่นภูผามาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตัวดาบเคลื่อนกายได้เอง ทำให้แพ้ไปได้โดยง่าย

แท้จริงแล้ววิธีจัดการดาบหั่นภูผาที่ดีที่สุดคือใช้อาวุธหนักมากดดันพลังนั่นเอง

อย่างไรก็ตามแต่ หน่วยลาดตระเวนอากาศนั้นไม่มีใครคิดเอาอาวุธหนักติดมาเลย เพราะคิดว่าเป็นภาระ หากจะหยิบค้อนเก่า ๆ มาแล้วเรียกว่าเป็นอาวุธหนักนั่นก็ไม่ได้ มันจะต้องหลอมขึ้นมาจากโลหะชั้นดีหลากหลายอย่าง หนักอย่างน้อยพันชั่ง เช่นนั้นมันถึงจะเรียกเป็น ‘อาวุธหนัก’ ได้

แต่ใครเอามันมาก็คงได้บี้งูบินจนตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มสู้

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจรับมือดาบหั่นภูผาได้ ได้แต่ถูกฟันทั้งซ้ายและขวา

คนด่านสู่พิสดารคนหนึ่งทนเห็นพวกพ้องถูกสังหารต่อไปไม่ไหว จึงจงใจเปิดช่องว่างแล้วกระแทกหมัดหนึ่งใส่ดาบหั่นภูผา

ทว่าดาบหั่นภูผานั้นทำจากวัสดุแกร่งนัก ทั้งยังมีวิญญาณสถิต ทำให้ใช้พลังต้นกำเนิดคุ้มกายได้ ดังนั้นแม้จะเป็นคนด่านสู่พิสดารก็ยังไม่อาจทำลายมันได้ในหมัดเดียว

เมื่อเห็นดาบยังแล่นได้อยู่ไกล ๆ คนด่านสู่พิสดารก็ตะโกนลั่นออกมา “ถอย !”

“คิดหนีหรือ ? อย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งไม่ได้ไป !” ซูเฉินว่า “หักนิ้วหนึ่งยังดีกว่าหักสิบนิ้ว พวกเจ้าที่เหลือไปได้ แค่คนหนึ่งต้องตายที่นี่ !”

ว่าแล้วเขาก็ชี้นิ้วไปทางคนด่านสู่พิสดารที่โจมตีดาบหั่นภูผาไปเมื่อครู่

“เข้าใจแล้ว !” จูไป๋อวี่กับฉือหมิงเฟิงหัวเราะขึ้นทันที

แม้ซูเฉินจะไม่ใช่หัวหน้าพวกเขา แต่ทั้งสองก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังดี ดังนั้นจึงเชื่อฟังคำเขาไปโดยปริยาย

คนทั้งสองออกกระบวนท่าซัดเข้าใส่เผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารคนนั้นทันที

เมื่อทหารเผ่าเกล็ดทรายคนอื่น ๆ เห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย

ซูเฉินส่งเสียงฮึ่มแล้วส่งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากออกไป

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากปะทะร่างคนด่านสู่พิสดารจนเขามึนตึงไป

ยังไม่ทันได้หายมึนงง ก็เห็นเรือเคลื่อนเมฆากำลังพุ่งเข้าใส่ตนแล้ว ปฏิกิริยาเขาฉับไวนัก บนเนื้อหนังพลันมีเกราะทรายก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เรือเคลื่อนเมฆาไม่อาจโจมตีทะลวงผ่านเนื้อได้

เผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารลำตัวอัดแนบกับลำเรือ ตวัดสายตาจ้องเขม็งมายังซูเฉิน “เจ้า !”

“ใช่ ข้าเอง” ซูเฉินพูดพร้อมคลี่ยิ้มบาง จากนั้นเปิดการทำงานเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอีกครั้ง

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากขยับเขยื้อนอีกครั้ง พาร่างคนด่านสู่พิสดารกระเด็นออกไปไกล

คนด่านสู่พิสดารไม่เคยคิดฝันว่าตนจะถูกปฏิบัติเยี่ยงนี้ แรงผลักจากเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากของซูเฉินบีบเครื่องในเขาจนกระแทกกัน

แม้เขาจะมีพื้นฐานพลังสูงส่งทั้งยังแกร่งนัก แต่ถูกแรงอัดมหาศาลเช่นนี้เขาก็ไม่อาจต้านไหวอยู่ชั่วขณะ เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือทำอะไร เขาจึงแค่เป็นเหมือนเศษกระดาษที่ถูกแรงลมพัดปลิวไปเท่านั้น

จนกระทั่งมันทะยานถึงชั้นเมฆซึ่งเป็นชั้นอันตรายที่อสูรกายบินได้ทั้งหลายอาจโจมตีใส่ได้ทุกเมื่อนั่นเองที่ซูเฉินพลันหยุดมือ

แล้วเอ่ยว่า “ลาก่อน !”

ทหารเผ่าเกล็ดทรายที่เห็นสีหน้าชั่วร้ายของซูเฉินผ่านทางผลึกแก้ว พลันร้องลั่นขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ความบางอย่าง “ไม่ !”

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากพลันปล่อยลำแสงสว่างจ้าออกมาเส้นหนึ่ง

ปืนใหญ่ฟ้าลั่น !

เมื่อยิงปืนใหญ่ออกมา ร่างของเผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารก็พุ่งขึ้นฟ้าจนหายลับตาไปพร้อมกับแสงระยับ น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้ตะโกนออกมาว่า “แล้วข้าจะกลับมา !”

ซูเฉินรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ยังไม่ตายแน่ เผ่าเกล็ดทรายมีร่างกายแข็งแกร่งแต่กำเนิด ปืนใหญ่ฟ้าลั่นไม่อาจสังหารเขาได้ แต่ก็ทำให้เขาไม่อาจลงมือทำอะไรได้เช่นกัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว บนชั้นฟ้าเต็มไปด้วยอันตรายมากหลาย นกกินเนื้อสยายปีกบินอยู่ทั่ว กระทั่งซูเฉินที่มีเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยังไม่กล้าบินไปโดยไม่คิด หากโชคไม่ดีก็อาจเท้าไม่แตะพื้นอีกเลยก็เป็นได้

แน่นอนว่าซูเฉินรู้ว่าไม่อาจคาดหวังกับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นหลังส่งศัตรูกระเด็นไปแล้วก็รีบหันลำเรือบินกลับลงพื้นทันที

การต่อสู้ที่ด้านล่างได้ข้อสรุปแล้ว

ทุกคนได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่ซูเฉินส่งร่างคนด่านสู่พิสดารลอยหายไปคนด่านสู่พิสดารอีกคนรู้ว่าตนคงหนีไม่พ้น ดังนั้นจึงสู้เต็มกำลังเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นหนี

แม้ผ้าเท่อลั่วเค่อจะควบคุมดาบหั่นภูผาและไล่ล่าพวกเขาอย่างคล่องแคล่วเพียงไหน ทหารเผ่าเกล็ดทรายหลายคนก็ยังหนีไปพร้อมกับงูบินมงกุฎใหญ่ได้

เมื่อเห็นดังนั้น ผ้าเท่อลั่วเค่อจึงได้แต่ถอนใจ หันกลับมากดดันผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอีกคนแทน

คนด่านสู่พิสดารผู้นนั้นสะบักสะบอมพอตัวแล้ว ครานี้ถูกสามรุมหนึ่ง และเมื่อซูเฉินกลับมาก็คล้ายกับฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงไม่อาจต้านไหวอีก ด้วยซูเฉินจอดเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากไว้ไม่ไกลแล้วตวัดสายตามองศัตรู จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำยิงใส่อีกฝ่าย

ปืนใหญ่ฟ้าลั่นของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากทรงพลังนัก แต่มันยิงเป็นทางตรงได้เท่านั้น อีกทั้งก่อนยิงยังเกิดแสงวาบจ้าแสดงให้เห็นทิศที่จะยิงออกไป ดังนั้นจึงมีอัตราการยิงโดนต่ำนัก แต่หากศัตรูถูกตรึงเอาไว้ก็นับว่ามีประโยชน์มาก

ซูเฉินระดมยิงปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าใส่สิ่งที่ดูเหมือนกับเป็นหุ่นไล่กา ในใจก็สนุกสนานอยู่เงียบ ๆ

ไม่ว่าเผ่าเกล็ดทรายด่านสู่พิสดารจะแกร่งเพียงไหน แต่ถูกระดมยิงใส่ไม่ยั้งเช่นนี้ย่อมทำให้บาดเจ็บสาหัส

เขาร้องโหยหวนดังลั่น ออกกระบวนท่าสุดแรงเกิด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีความตาย หลังจากที่พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางแล้วในที่สุดก็ถูกจับตัวไว้ได้

ที่ยังไม่ตายมีเพียงเหตุผลเดียว นั่นก็เพราะซูเฉินยังไม่อยากให้เขาตาย

“ข้าต้องการตัวทดลอง” ซูเฉินว่า “ตัวทดลองที่เป็นคนด่านสู่พิสดาร”

“เจ้ามีซาเค่อแล้วไม่ใช่หรือ ?”

“สิ่งที่ดีกว่าการมีด่านสู่พิสดารไว้ใช้ทดลองคนหนึ่งคือการที่มีสองคน…… ตัวทดลองเช่นนี้มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ” ซูเฉินตอบเสียงกลั้วหัวเราะ

ฉือหมิงเฟิงกับจูไป๋อวี่มองรอยยิ้มนั่นแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา

แปลก ทำไมพวกเขาถึงได้ฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ ทั้งที่อีกฝ่ายมีพลังต่ำต้อยกว่าแท้ ๆ เล่า ?