จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 905 : ยอดเขาเทียนเหมาเฟิง!
  ซูหลิงเฟยเห็นหลิงหยุนเป็นคนเปิดเผยแล้วก็ใจกว้างเช่นนี้และทำให้เธอได้หน้าต่อหน้าเพื่อนร่วมงานมากมาย ในใจจึงรู้สึกประทับใจหลิงหยุนขึ้นมาทันที
  ใบหน้าของซูหลิงเฟยแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนหลิงหยุนให้เข้าไปคุยต่อในห้องทำงานของตนเองเพราะยังมีรายละเอียดในเรื่องของการออกอากาศที่จะต้องพูดคุยเพิ่มเติม แต่กลับได้ยินหลิงหยุนตะโกนดุถังเมิ่ง..
  “ถังเมิ่ง..การแสดงจบแล้วนายยังยืนเฉยอยู่ทำไมกัน นายเข้าไปคุยเรื่องรายละเอียดการออกอากาศกับคุณซูได้แล้ว ส่วนฉันต้องรีบกลับก่อน เพราะยังมีธุระที่ต้องไปจัดการต่อ!”
  หลิงหยุนเพิ่งจะได้รับข้อความจากอาปิงแจ้งว่าเวลานี้ลูกเหล็กขนาดใหญ่อีกหนึ่งชุดได้ถูกจัดส่งไปยังบ้านเลขที่-9 เรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงต้องรีบไปทำการวางค่ายกล..
  ถังเมิ่งร้องตอบหลิงหยุนทันที“ถ้างั้นฉันจะออกไปส่งพี่ก่อน!”
  เมื่อซูหลิงเฟยได้ยินว่าหลิงหยุนจะกลับแล้วในใจของเธอก็รู้สึกเศร้า แต่ก็ไม่มีเหตุผลดีพอที่จะรั้งหลิงหยุนไว้ และได้แต่แอบถอนใจ พร้อมกับเดินตามถังเมิ่งไปส่งหลิงหยุนที่รถ
  “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ!”
  “นี่ถังเมิ่ง..นายอย่าลืมจัดการเรื่องลิขสิทธิ์เทปการแสดงมายากลของฉันด้วยล่ะ!”
  หลิงหยุนขึ้นไปนั่งและจัดการสตาร์รถ และก่อนจะขับออกไปก็ไม่ลืมที่จะสั่งถังเมิ่งให้จดลิขสิทธิ์รายการไว้ด้วย เพราะเขาเองลงทุนไปถึงห้าล้านหยวน จึงต้องหาทางทำเงินกลับคืนมาอย่างน้อยสองเท่า..
  “จริงด้วย..!ฉันลืมเรื่องลิขสิทธิ์การแสดงชุดนี้ของคุณไปเลย” ซูหลิงเฟยทั้งโกรธทั้งอาย เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเธอจึงดูเป็นห่วงเป็นใยหลิงหยุนเป็นพิเศษ..
  “นั่นสิ..ตอนแรกผมเองก็คิดว่าพี่หยุนจะโชว์มายากลกระจอกๆ แต่ที่ใหนได้.. มันเป็นการแสดงมายากลที่น่ามหัศจรรย์มากจริงๆ พวกเราคงต้องพูดคุยเรื่องรายได้จากรายการนี้แล้วล่ะ!”
  หลังจากที่หลิงหยุนขับรถออกไปแล้วถังเมิ่งก็เข้าไปคุยเรื่องผลประโยชน์ และรายได้ที่ควรจะได้จากรายการนี้กับซูหลิงเฟย..
  ซูหลิงเฟยนั้นทำงานอยู่ในสถานีโทรศัทศน์มานานหลายปีเธอจึงรู้ว่าหากรายการของหลิงหยุนออกอากาศไปนั้น จะสามารถเรียกเรตติ้งให้กับทางสถานีได้อย่างมหาศาล..
  “ฉันรู้ว่าจะทำรายได้จากรายกานี้ได้ยังไงไปคุยกันที่ห้องทำงานของฉันดีกว่า..”
  ………
  ทางด้านหลิงหยุนเองก็ขับรถออกจากสถานีไปอย่างรวดเร็วและขับขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉูทันที
  “หนึ่งสองสาม..หนึ่งสองสาม.. ดัน..”
  เมื่อหลิงหยุนขับไปถึงบ้านเลขที่-9เขาก็ได้ยินเสียงพี่น้องวัยรุ่นของแก๊งมังกรเขียวกำลังช่วยกันเข็นลูกเหล็กลงจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน ท้ายรถบรรทุกเต็มไปด้วยลูกเหล็กขนาดใหญ่ และเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างมาก
  ลูกเหล็กขนาดใหญ่นั้นมีน้ำหนักเป็นร้อยๆกิโลกรัมและคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางที่จะขยับมันได้เลย แม้ใช้เครนยกยังลำบากเลย ดังนั้นการจะใช้แรงคนยกจึงแทบไม่ต้องพูดถึง..
  คนของแก๊งมังกรเขียวจึงได้นำแผ่นเหล็กมาวางพาดเป็นสะพานอยู่ที่ท้ายรถบรรทุกและได้ช่วยกันผลักลูกเหล็กนี้ให้กลิ้งลงไปที่พื้นด้านล่าง
  “หยุด..หยุด.. หยุด! ทำแบบนี้ถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่มีทางเสร็จ”
  หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาพร้อมกับเดินยิ้มลงมาจากรถจากนั้นจึงโบกมือให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวลงมาจากรถบรรทุก ก่อนจะโยนกุญแจบ้านให้กับอาปิงพร้อมกับสั่งให้เขาไปเปิดประตูบ้านรอ..
  เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนจะทำการขนลูกเหล็กด้วยตัวเองอาปิงจึงพูดขึ้นว่า “พี่หยุน.. พี่ไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า ให้พวกเราค่อยๆเข็นลูกเหล็กพวกนี้ลงก็ได้..”
  หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“ฉันไม่มีเวลามากอย่างที่นายคิด กว่าพวกนายจะเข็นลูกเหล็กลงได้หมดก็คงค่ำพอดี ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีกมาก!”
  ระหว่างที่พูดกับอาปิงนั้นหลิงหยุนก็กระโดดขึ้นไปบนท้ายรถบรรทุกขนาดใหญ่ จากนั้นจึงใช้เท้าเตะลูกเหล็กเบาๆ ลูกเหล็กขนาดใหญ่ก็ลอยละลิ่วไปกลางอากาศ และไปตกอยู่ที่สวนภายในบ้านซึ่งอยู่ห่างจากรถบรรทุกราวสิบเมตร และทันทีที่ก้อนเหล็กกระแทกกับพื้น ดินในบริเวณนั้นก็ถึงกับยุบลงไปทันที
  “ว้าว!”
  พี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่มองดูหลิงหยุนเตะลูกเหล็กที่น้ำหนักเป็นร้อยๆกิโลกรัมได้อย่างสบายๆ ราวกับกำลังเตะลูกฟุตบอล ก็ถึงกับร้องเสียงอุทานกันออกมาพร้อมกัน!
  “ท่านหัวหน้าใหญ่เก่งมากเลย..ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
  ช่วงเช้า..ที่รถขนลูกเหล็กไปยังบ้านเลขที่-1 นั้น อาปิงไม่ได้อยู่ดูด้วย เขาจึงไม่รู้ว่าหลิงหยุนจัดการขนย้ายลูกเหล็กด้วยวิธีใหน แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองเช่นนี้ เขาก็ถึงกับตกใจ และได้แต่แอบคิดในใจว่า
  ‘เหลือเชื่อจริงๆ!พี่หยุนเตะลูกเหล็กได้แบบนี้ นี่เขาต้องแข็งแกร่งขนาดใหนกัน!’
  ตอนนี้วิชาดาราคุ้มกายของหลิงหยุนนั้นอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นที่สองแล้วแขนข้างหนึ่งจึงสามารถยกของที่มีน้ำหนักได้ถึงสามพันกิโลกรัม
  ประกอบกับตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9แล้ว หากใช้ลมปราณทั้งหมดที่มี ก็จะสามารถเพิ่มพละกำลังของแขนได้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยกิโลกรัม
  หากหลิงหยุนใช้วิชาดาราคุ้มกายขั้นสูดควบคู่กับการเดินลมปราณทั้งหมดในร่างกายแล้วล่ะก็ แขนของเขาข้างหนึ่งจะสามารถยกของหนักได้ถึงสี่พันห้าร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว.. และนี่คงจะเป็นยอดฝีมือที่มีกำลังแขนมากที่สุดแล้ว!
  หลายคนได้ฟังเช่นนี้อาจจะคิดว่าหากหลิงหยุนจับแก้วชาก็คงจะแหลกคามือแต่ความจริงแล้ว หากเขาหลิงหยุนไม่ได้ใช้กำลังภายใน หรือวิชาใดๆ เขาก็เป็นเช่นคนปกติธรรมดาทั่วไปนี่เอง
  แต่ถึงกระนั้น..ต่อให้ยอดฝีมือบนโลกใบนี้ฝึกฝนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ พวกเขาก็คงไม่มีพลังมหาศาลเช่นหลิงหยุนเป็นแน่ แต่ที่หลิงหยุนแตกต่างจากผู้อื่นนั้น เพราะเขาได้ฝึกวิชาสุดยอดอย่างดาราคุ้มกายนั่นเอง!
  ด้วยวิชานี้..พลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาว จะถูกดูดซึมเข้าสู่เส้นลมปราณ จนทำให้หลิงหยุนมีพละกำลังที่มหาศาลเช่นนี้
  ในการต่อสู้ของหลิงหยุนครั้งนี้เขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากพลังมหาศาลนี้ เพื่อทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจต้านทานเขาได้..
  เวลานี้หลิงหยุนอยู่ต่อหน้าคนของแก๊งมังกรเขียวจึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของตนเอง เขาจึงใช้ทั้งมือทั้งเท้าในการขนย้ายลูกเหล็กลงจากรถบรรทุกที่จอดเรียงรายอยู่..
  หลังจากจัดการขนย้ายลูกเหล็กลงจนหมดแล้วหลิงหยุนก็ไม่รีรอ เขาจัดการเปิดจิตหยั่งรู้ออกคำนวณระยะห่างของของลูกเหล็กแต่ละลูกทันที แล้วจึงจัดการวางค่ายกลนวสังหารไว้ที่สวนภายในบ้าน..
  ระยะห่างของลูกเหล็กแต่ละลูกนั้นจะต้องแม่นยำแม้แต่หลิงหยุนซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการวางค่ายกล ยังต้องใช้เวลานานถึงสองชั่วโมงเลยทีเดียว
  “เฮ้อ..คิดไม่ถึงว่าจะเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้!”
  “พี่หยุน..พี่เหนื่อยมากแล้ว! เข้าไปในบ้านดื่มน้ำชาก่อนจะดีกว่า”
  อาปิงมองหลิงหยุนที่จัดการวางลูกเหล็กหลายร้อยกิโลกรัมไว้รอบบ้านจนเสร็จแต่ตนเองนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกละอายใจ และได้จัดการชงน้ำชาเตรียมไว้ให้เขาดื่ม
  “ก็ดีเหมือนกัน..เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” พูดจบหลิงหยุนก็เดินนำอาปิงเข้าไปนั่งบนโซฟาในบ้าน
  “อาปิง..ครั้งนี้นายทำงานได้ดีมาก!”
  หลิงหยุนเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา เขาดื่มน้ำชาพร้อมกับเอ่ยชมอาปิง
  “ขอบคุณพี่หยุนที่ชม..พี่มอบตำแหน่งสำคัญให้ฉันแบบนี้ ฉันก็ต้องทุ่มเททำงานให้กับแก๊งมังกรเขียวอย่างดีที่สุด!” อาปิงตอบกลับอย่างจริงใจ
  หลิงหยุนยิ้มให้อาปิงพร้อมตอบกลับไปว่า..“พวกเราต่างก็เป็นพี่น้องกัน! ต่อไปเวลาคุยกับฉันไม่ต้องระมัดระวังตัว หรือมีมารยาทแบบนี้ก็ได้ นายทำตัวตามสบาย!”
  “ครับพี่หยุน!”
  หลิงหยุนพยักหน้าและพูดต่อว่า “ช่วงนี้อย่างให้แก๊งมังกรเขียวเคลื่อนไหวอะไรมากนัก และอย่าขยายเขตแดน แค่ดูแลธุรกิจที่มีอยู่ก็พอ..”
  หลังจากกำชับเรื่องงานกับอาปิงแล้วหลิงหยุนก็พูดต่อทันที “นี่เป็นกุญแจบ้านหลังนี้.. จากนี้ไปฉันจะมอบให้นายเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ นายต้องส่งคนมาคอยสอดส่องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าลืมว่าต้องปกป้องบ้านหลังนี้ให้ดีที่สุด!”
  อาปิงลุกขึ้นยืนรับคำสั่ง“ฉันเข้าใจ.. และจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด!”
  หลิงหยุนโบกมือให้อาปิงนั่งลงและพูดต่อ “จากเหตุการณ์วางระเบิดก่อนหน้านี้ นายคงจะรู้แล้วว่าตอนนี้จิงฉูกำลังมีปัญหา นายต้องช่วยถังเมิ่งดูแลสอดส่องธุรกิจต่างๆในเมืองนี้ด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่เพิ่งโอนมาจากกู่เหลียนเฉิง นายยังจำได้ใช่มั๊ย”
  มีหรือที่อาปิงจะจำไม่ได้..เขาจึงพยักหน้า!
  หลิงหยุนจ้องมองอาปิงครู่ใหญ่และจู่ๆ ก็พูดออกไปยิ้มๆ “อาปิง.. นายอยากเรียนวรยุทธเหมือนกับเสี่ยวอู๋บ้างมั๊ย”
  นี่คือความใฝ่ฝันของอาปิงมีหรือที่เขาจะไม่ต้องการ! ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากหลิงหยุน เขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
  “พี่หยุน..พี่จะสอนวรยุทธให้ฉันจริงๆ เหรอ”
  หลิงหยุนหัวเราะหึหึ“นายเป็นน้องชายของฉัน หากนายต้องการที่จะเรียน ฉันก็ต้องสอนให้อย่างแน่นอน! แต่ไม่ใช่ตอนนี้.. ต้องรอให้ฉันจัดการกับศัตรูก่อน!”
  “แต่ระหว่างนี้..ถ้านายมีเวลา ก็ไปเรียนพื้นฐานวรยุทธกับเสี่ยวอู๋ก่อน ช่วงนี้ฉันเองก็ยุ่งมาก!”
  “ขอบคุณพี่หยุน!”
  อาปิงตื่นเต้นจนกระโดดตัวลอยพร้อมกับร้องตะโกนขอบคุณหลิงหยุนด้วยความดีใจ..
  หลิงหยุนยกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือไปตบไหล่อาปิง และร้องเตือนว่า
  “นายไม่ต้องดีใจขนาดนี้ก็ได้..นี่ไม่ใช่วรยุทธกระจอกงอกง่อย การฝึกฝนจึงต้องลำบากยากเย็นอย่างมาก!”
  อาปิงนั้นเห็นตี้เสี่ยวอู๋ฝึกฝนวิชาอยู่บ่อยเขาจึงสามารถเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนได้ดี แต่สายตาของเขายังคงมุ่งมั่น และตอบหลิงหยุนไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  “พี่หยุน..ฉันโตมากับครอบครัวทหาร ฉันไม่กลังความลำบาก!”
  หลิงหยนุยิ้มออกมาอย่างมีความสุข“ถ้างั้นก็ดี.. ฉันหวังว่านายจะตั้งใจฝึกฝนอย่างจริงจัง!”
  “อ่อ..ยังมีอีกเรื่อง! พรุ่งนี้ตอนดึกๆ นายจัดการให้คนของแก๊งมังกรเขียวทั้งหมด ช่วยกันอัพโหลดรายการทีวีของฉันลงไปในอินเทอร์เน็ตด้วย ทำยังไงก็ได้ให้รายการนี้เผยแพร่ออกไปให้ได้มากที่สุด!”
  แก๊งมังกรเขียวนั้นมีสมาชิกอยู่ถึงสามโถงใหญ่และแต่ละโถงก็มีสมาชิกหลายร้อยคน หลิงหยุนจึงต้องการใช้ให้เป็นประโยชน์
  อาปิงถามขึ้น“พี่หยุน.. ใช่รายการที่พี่ไปอัดมาวันนี้หรือเปล่า”
  หลิงหยุนหัวเราะ“ใช่แล้ว! ที่สำคัญ.. นายต้องให้ทุกคนเน้นเรื่องที่ฉันจะไปยอดเขาเทียนเหมาเฟิงในเทือกเขาเซียนเหยินหลิง! ”
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 906 : มุ่งหน้าสู่เซียนเหยินหลิง!
  จากนั้นหลิงหยุนก็ได้บอกกับอาปิงว่าเขาได้ทำการวางค่ายกลนวสังหารไว้ภายในสวนของบ้านเลขที่-9 และหากจะเข้าไปในบ้าน จะต้องใช้ทางเข้าหลักทางเดียวเท่านั้น หาไม่แล้วคงจะต้องกลายเป็นศพอย่างแน่นอน!
  หลังจากจัดการภารกิจที่คั่งค้างทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ขับรถออกจากบ้านเลขที่-9 ในราวหกโมงเย็น
  หลิงหยุนไม่ได้ตรงกลับเข้าบ้านเลขที่-1ทันที แต่ได้แวะไปซื้ออาหาร และเครื่องดื่มในซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากที่จัดการเก็บของทั้งหมดที่ซื้อมาเข้าไปในแหวนพื้นที่แล้ว หลิงหยุนจึงขับรถกลับไปที่บ้านทันที..
  ทุกอย่างในบ้านยังคงเป็นปกติ!
  หลิงหยุนรู้ว่าต่อให้ศัตรูต้องการที่จะจัดการกับเขามากเพียงใดก็คงไม่โง่บุกมาที่บ้านของเขาในเวลากลางวันอย่างแน่นอน เพราะที่นี่คือใจกลางเมือง และไม่ใช่โลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..
  หลิงหยุนได้บอกเล่าสิ่งที่ไปทำมาให้ฉินตงเฉี่วยและหญิงสาวคนอื่นฟังคร่าวๆ แล้วจึงกลับเข้าไปที่ห้องนอนของตนเอง
  หลิงหยุนจัดการเปิดคอมพิวเตอร์และทำการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับยอดเขาเทียนเหมาเฟิงในเทือกเขาเซียนเหยินหลิง หลังจากที่จดจำเส้นทางต่างๆ ไว้ในใจจนหมดแล้ว หลิงหยุนจึงจัดการปิดคอมพิวเตอร์
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนไปรอบๆ ห้องนอน พร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องเราวที่เกิดขึ้นในสองสามวันที่ผ่านมา จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ในแหวนพื้นที่
  หลิงหยุนเริ่มจากการตรวจสอบอาวุธที่นำติดตัวไปด้วยว่ามีอะไรบ้าง..เขามีกระบี่โลหิตแดนใต้ ดาบพายุ และอาวุธซัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเข็มเงินจำนวนหลายร้อยเล่ม และตะปูสามนิ้วอีกนับสิบกิโลกรัม
  นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีคันธนูทองลูกธนูที่ทำจากเงิน และลูกธนูธรรมดาอีกมากมาย..
  ยังมียันต์อัคนียันต์เตโช ยันต์เพชร ยันต์เกราะ ยันต์เทวะเหิน ยันต์บำบัด ยันต์ธารา และยันต์จ้าวสมุทร..
  นอกจากอาวุธและยันต์ชนิดต่างๆแล้ว หลิงหยุนยังมีสมุนไพรพลังชีวิตอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโสมหลายพันปี สมุนไพรเหอโชวู บัวหิมะ และโอสถที่กลั่นจากสมุนไพรชีฉียู่ซึ่งหลิงหยุนเก็บไว้ใช้เมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ แล้วยังมีหินพลังชีวิตอีกส่วนหนึ่ง
  และที่สำคัญยังมีน้ำเต้าวิเศษที่บรรจุน้ำลายมังกรและกล่องหยกที่เก็บพลังอมตะซึ่งปลดปล่อยมาจากสมุดจักรพรรดิ
  ส่วนของวิเศษนั้นนอกจากหม้อเสินหนงแล้วก็ยังมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างลูกประคำโพธิ ตะเกียงน้ำมัน และสร้อยประคำ
  สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คืออาหารและเครื่องดื่มที่หลิงหยุนเพิ่งซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต
  “มีร่มด้วย”
  “ยังขาดร่ม..น่าเสียดายนัก หากได้ร่มที่ทำจากวัสดุที่แข็งแรงก็คงจะดีมากทีเดียว!”
  เมื่อครั้งที่หลิงหยุนต่อสู้กับแวมไพร์บนเขาหยุนเมิ่งนั้นเขายังจำได้ว่าที่รอดหวุดหวิดจากการตกจากที่สูงมาได้นั้น ก็เพราะร่มธรรมดาๆ คันหนึ่งนั่นเอง หลิงหยุนยังจดจำอันตรายในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เกือบจะพ่ายแพ้ และมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
  ก่อนที่หลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ระดับสี่นั้นเขาจะยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ การต่อสู้ของเขาจึงต้องจำกัดอยู่ในระดับสูงจากพื้นเพียงหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเท่านั้น เพราะหากพลาดตกลงมาจากความสูงที่เหนือกว่าระดับหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร หลิงหยุนก็คงต้องได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกระอักเลือดอย่างแน่นอน
  “น่าเสียดายที่ตอนนี้ก็สายเกินไปที่จะจัดหาร่มซึ่งทำจากวัสดุที่แข็งแกร่งได้..”
  หลังจากที่ตรวจสอบทุกอย่างในแหวนพื้นที่แล้วหลิงหยุนก็กระโดดออกจากห้องนอนวิ่งลงบันได้ไปร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ระหว่างทานอาหารมื้อเย็นนั้น หลิงหยุนก็ได้บอกเรื่องที่จะเดินทางไปยังเทือกเขาเซียนเหยินหลิงให้ทุกคนรับรู้..
  นี่คือสนามต่อสู้ที่หลิงหยุนได้เลือกไว้แล้ว!ไม่ว่าพรรคมารที่ต้องการช่วงชิงกระบี่โลหิตแดนใต้ หรือศัตรูที่ต้องการจะสังหารเขานั้น หากทราบข่าวก็ต้องตามเขาไปที่นั่นอย่างแน่นอน และเขาจะเป็นฝ่ายไปรอศัตรูอยู่ที่นั่น..
  เมื่อสาวงามได้ยิน..ต่างก็เสนอตัวที่จะไปกับหลิงหยุนด้วย แต่หลิงหยุนกลับยิ้มพร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  “ฟังนะคุณผู้หญิง..ผมไม่ได้ไปเดินช้อปปิ้งนะครับ! ผมไปเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ตามล่า เทือกเขาเซียนเหยินหลิงมีบริเวณที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพียงแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นป่าลึก ส่วนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นก็สูงเสียดฟ้า และยังสูงชันมากอีกด้วย ภูมิประเทศเช่นนี้.. พวกคุณจะตามผมไปเพื่ออะไรกัน”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิง“หนิงน้อย.. หน้าผาสูงแค่สามสิบเมตร ผมยังต้องอุ้มคุณปีนขึ้นไปเลยไม่ใช่เหรอ”
  เสี่ยวเม่ยหนิงเม้มริมฝีปากแน่นใบหน้าแดงก่ำ และต้องการจะปฏิเสธ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก..
  จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปมองหนิงหลิงยู่พร้อมกับถามขึ้นว่า“หลิงยู่.. หากมีศัตรูที่แข็งแกร่งจู่โจมเข้ามาพร้อมกันถึงแปดคน หกคนจัดการกับพี่ ส่วนที่เหลืออีกสองคนจัดการกับเธอ บอกสิว่า.. ถึงเวลานั้นพี่ควรทำเช่นไร”
  หนิงหลิงยู่กำลังจะอ้าปากโต้เถียงแต่แล้วก็ได้ก้มหน้า และเงียบไป..
  หลิงหยุนกำลังพูดถึงความเป็นจริง..เมื่อครั้งที่เขาบุกไปช่วยเกาเฉินเฉินออกมานั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ในลักษณะนี้ ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนแข็งแกร่งมาก และเตรียมตัวมาพร้อม เขาก็คงไม่สามารถช่วยเกาเฉินเฉินออกมาได้ และเธอคงจะถูกจับตัวกลับไปตั้งนานแล้ว
  “ถ้าพี่ไปที่ใหน..ศัตรูก็จะหันเหไปที่นั่นด้วย! หากพี่ยังปักหลักอยู่ที่บ้านหลังนี้ เมื่อศัตรูบุกเข้ามาพร้อมๆ กัน ต่อให้มีทั้งพอล เจสเตอร์ และพี่มีสามเศียรหกกร ก็คงยากที่จะคุ้มครองทุกคนได้!”
  “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆมันคือการต่อสู้ที่มุ่งเอาชีวิตกันและกัน มีแค่อยู่หรือตายเท่านั้น!”
  “แต่ถ้าไปสู้กันในเทือกเขาเซียนเหยินหลิงศัตรูเหล่านั้นจะต้องตามพี่ขึ้นไปบนยอดเขาที่พี่เลือกไว้ ซึ่งพี่สามารถโจมตี หรือหลบซ่อนศัตรูได้อย่างไม่ต้องกังวล..”
  หลังจากที่อธิบายให้ทุกคนสบายใจแล้วหลิงหยุนก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ เป็นการยืนยันว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องห่วงเขาอีก..
  “พี่หลิงหยุน..แต่ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
  ไป๋เซียนเอ๋อลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกและถึงแม้ไป๋เซียนเอ๋อจะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้กับหลิงหยุน แต่หลิงหยุนก็ต้องปฎิเสธ
  “เซียนเอฮ่อ..ครั้งนี้เจ้าไปกับข้าไม่ได้!”
  หลิงหยุนปฏิเสธทันทีเขายิ้มให้กับไป๋เซียนเอ๋อส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงก่อน แล้วจึงอธิบายว่า
  “เซียนเอ๋อ..ข้าเชื่อว่าพรรคมารคงจะไม่แค่ส่งคนไปสังหารข้าที่เซียนเหยินหลิงแน่ ข้าจึงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครองทุกคน!”
  หากเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนคนอื่นๆหลิงหยุนเชื่อว่าฉินตงเฉี่วยซึ่งฝึกวิชาดาราคุ้มกาย มังกรพรางร่าง และกระบี่นวสังหาร จะสามารถรับมือกับศัตรูได้ แต่เขากังวลเพียงธิดาพรรคมารคนเดียวเท่านั้น!
  เพราะหากธิดาพรรคมารเป็นฝ่ายบุกเข้ามาที่บ้านหลังนี้ด้วยตัวเองก็ยากที่ฉินตงเฉี่วยจะรับมือนางได้ หลิงหยุนเชื่อว่ามีเพียงไป๋เซียนเอ๋อเท่านั้น ที่พอจะประมือกับธิดาพรรคมารได้!
  “เซียนเอ๋อ..ข้าต่อสู้ท่ามกลางป่าเขาเพียงลำพังเช่นนั้น หากจะให้ข้าสามารถต่อสู้ด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง ก็ต้องให้ข้ามั่นใจว่าคนในครอบครัวปลอดภัย!”
  “นี่เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งและมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าไว้ใจ! เจ้าต้องเชื่อฟังข้า เข้าใจหรือไม่”
  ไป๋เซียนเอ๋อระล้าระลังแต่ก็ในที่สุดก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี..
  ฉินตงเฉี่วยจ้องหน้าหลิงหยุนแววตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใยในขณะที่พูดขึ้นว่า “เจ้าจะไปคนเดียวได้อย่างไรกัน หากเกิดอะไรขึ้น จะมีใครช่วยเจ้าได้ทัน!”
  หลิงหยุนยิ้มให้ฉินตงเฉี่วยและตอบไปว่า “น้าหญิง.. ข้าไม่ได้ไปคนเดียว แต่จะไปพร้อมเจสเตอร์!”
  เจสเตอร์นั้นสามารถบินได้และจะช่วยให้หลิงหยุนสะดวกสบายขึ้นมาก หากหลิงหยุนกับเจสเตอร์ร่วมมือกันต่อสู้ทั้งบนพื้นดิน และบนอากาศ ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง!
  ฉินตงเฉี่วยได้ฟังหลิงหยุนพูดเช่นนั้นก็คิดว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว นางจึงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ และพูดต่อว่า..
  “เจ้าเด็กดื้อ..เจ้าไปก่อกวนและทำร้ายคนตระกูลเฉินเช่นนั้น ครั้งนี้ตระกูลเฉินต้องส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจมากมาล้างแค้นเจ้าคืนแน่! แต่เจ้าไม่ต้องสนใจ.. หากเห็นท่าไม่ดีให้รีบกลับมาที่จิงฉูทันที ข้าเชื่อว่าหากอยู่ในใจกลางเมืองเช่นนี้ พวกมันคงไม่กล้าทำอะไรที่โจ่งแจ้งนัก!”
  หลิงหยุนยิ้มบางพร้อมกับตอบไปอย่างมั่นใจ“น้าหญิงท่านไม่ต้องกังวลใจไป! ข้าได้เตรียมพร้อมรับมือกับพวกมันแล้ว!”
  หลังจากนั้นทุกคนต่างก็รีบเร่งกินอาหารเย็นกันต่อให้เสร็จโดยเร็ว หลิงหยุนหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ด แล้วจึงหันไปพูดกับหนิงหลิงยู่
  “หลิงยู่..ถ้าพี่ไม่อยู่เธอต้องเชื่อฟังน้าหญิงให้มาก!”
  จากนั้นจึงหันไปสั่งไป๋เซียนเอ๋อ“เซียนเอ๋อ.. เจ้าก็เช่นกัน! เข้าใจหรือไม่”
  สาวงามทุกคนได้แต่พยักหน้าหลิงหยุนยิ้มและพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ระหว่างที่ผมไม่อยู่ หากศัตรูไม่ได้บุกมาที่นี่ ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนกันให้มาก!”
  “เอาล่ะ..ผมจะออกไปหาเจสเตอร์ก่อน!”
  พูดจบหลิงหยุนก็กระโดดออกไปด้านนอกและเดินตรงไปยังสวนหลังบ้านซึ่งปลูกสมุนไพรล้ำค่าทั้งสามต้นทันที หลิงหยุนเข้าไปนั่งขัดสมาธิใกล้ๆ และเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปเต็มที่
  ครึ่งชั่วโมงต่อมา..หลิงหยุนจึงลุกขึ้น และกระโจนไปที่ห้องเล็กๆ ในสวนด้านหลัง
  “เจ้านายที่เคารพ..มีอะไรให้พวกเรารับใช้” พอลกับเจสเตอร์เห็นหลิงหยุนเดินข้ามา ก็รีบร้องตะโกนถามทันที
  หลิงหยุนเดินยิ้มเข้าไปหาเจสเตอร์พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจสเตอร์.. เจ้าพร้อมจะออกเดินทางหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวภูเขา!”
  เจสเตอร์ทำเสียงตื่นเต้นจนเกินจริง“ว้าว.. เจ้านายที่เคารพ! ท่านจะไปเที่ยว หรือไปสู้กับศัตรูกันแน่”
  หลิงหยุนยิ้มให้กับความเฉลียวฉลาดของเจสเตอร์พร้อมกับพูดเสียงเรียบ“ฉลาดนี่! เอาล่ะ.. เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ครั้งนี้ศัตรูของเราแข็งแกร่งมาก การต่อสู้ครั้งนี้มีชีวิตเป็นเดิมพันเท่านั้น.. ไม่อยู่ ก็ตาย!”
  เจสเตอร์ได้ยินว่าเป็นการต่อสู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ยิ่งตื่นเต้น “อยู่หรือตายเท่านั้นรึเจ้านาย เจสเตอร์ตื่นเต้นมากเลย! เจ้านายเลือกแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อย่างเจสเตอร์นับว่าถูกต้องแล้ว ข้าสามารถช่วยเจ้านายได้มากทีเดียว! จะไปกันเมื่อไหร่ดีล่ะ?”
  “ตอนนี้เลย!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปสั่งพอลที่ยังคงยืนนิ่ง“พอล.. เจ้าอยู่ที่บ้านคอยคุ้มครองคนในบ้านให้ดี คำสั่งของน้าหญิงก็คือคำสั่งของเข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
  พอลโค้งตัวลงคำนับตามธรรมเนียมตะวันตกแล้วจึงตอบไปว่า “เจ้านายที่เคารพ.. ข้าจะปกป้องสหาย และคนที่ท่านรักด้วยชีวิต!”
  “ยื่นมือของเจ้าออกมา!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ยื่นมือออกไปจับฝ่ามือของพอลไว้และถ่ายทอดปราณเสวียน และปราณหวงเข้าไปในร่างสูงใหญ่ของพอล
  เพียงแค่ครู่เดียว..พอลก็ถึงกับร้องครางออกมาอย่างมีความสุข ลักษณะของมันคล้ายกับคนที่กำลังเสพยาไม่มีผิด..
  “เจ้านาย!ท่านลำเอียง..”
  เจสเตอร์ที่อยู่ข้างๆถึงกับร้องตำหนิหลิงหยุน และลืมไปว่าเขาคือเจ้านาย และมันคือบริวาร..
  เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วหลิงหยุนก็ดึงมือกลับ แล้วหันไปทางเจสเตอร์ “เจ้าไม่ต้องห่วง.. ข้าไม่ลืมเจ้าแน่!”
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็แอบส่งกระแสจิตพูดกับพอลสองสามคำแล้วจึงเดินนำเจสเตอร์ไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อร่ำลาทุกคนในบ้าน
  เวลาสองทุ่มครึ่ง..หลิงหยุนกับเจสเตอร์ก็เตรียมตัวออกจากบ้านเลขที่-1 และไม่ลืมที่จะหยิบร่มที่แข็งแรงที่สุดไปด้วย
  เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทั้งเจ้านายและบริวาร ต่างก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนเหมาเฟิงในเทือกเขาเซียนเหยินหลิง..