ตอนที่ 605 อาจารย์พิเศษ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

แสงสีฟ้าอ่อนนั้นดูเหมือนว่าจะอยู่ทั่วทั้งร่างกายของมู่เฉียนซี และได้ก่อตัวเป็นทางเชื่อมของมิติหนึ่ง

เงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในมิตินั้นอย่างรวดเร็ว และค่อย ๆ ร่นตัวลงมาข้าง ๆ มู่เฉียนซี

แสงจันทราสาดส่องผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง กระทบลงบนร่างคนชุดดำผู้นี้ ผิวอันอ่อนโยนยิ่งกว่าแพรไหมนั้นถูกเคลือบด้วยแสงอันนุ่มนวล

บนใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่ติมีดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่หนึ่ง ดวงตานั้นลึกซึ้งดุจดั่งห้วงลึก นิ่งสงบไม่มีระลอกคลื่นใดใดวาบผ่านเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสามารถกลืนกินวิญญาณมนุษย์ได้

เขาก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่ ทำให้กลิ่นอายของตนเองว่างเปล่าไป เพราะไม่อยากทำให้นางที่กำลังหลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมา

เขาค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมของตัวเองออกอย่างช้า ๆ จากนั้นวางมือลงบนร่างของมู่เฉียนซี และชุดนอนก็ถูกปลดออกจนหมด

ความอาลัยอาวรณ์ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยู่บนร่างนาง และประทับร่องรอยเอาไว้บนตัวนาง

เขากอดนางเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

ตลอดทั้งคืนมู่เฉียนซีไม่ได้ฝันแต่อย่างใดเลย นางนอนหลับสบายมาก ราวกับมีความรู้สึกที่คุ้นเคยมากอย่างหนึ่ง

ทว่า หลังจากที่นางตื่นขึ้นมาแล้ว กลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับมีรถพุ่งเข้ามาชนก็มิปาน ความรู้สึกนี้ ไม่ใช่เพราะสูญเสียกำลังจากการสู้รบเป็นแน่ แต่มันเหมือนว่า……

จิ่วเยี่ย……

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมา แต่ข้างกายกลับไร้ซึ่งร่างของชายหนุ่มที่นางคาดคิดเอาไว้

มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งเล็กน้อย นี่นางคิดมากไปเอง ? ความรู้สึกไวเกินไป ? หรือว่า……

เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่ มานอน มากอด มาจูบ ในใจของมู่เฉียนซีรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก

หรือว่าตัวเองนั้นจะคะนึงถึงเขามากเกินไปแล้ว ก็เลยเหมือนถูกปีศาจร้ายสิงเช่นนี้!

เวลาไม่เพียงพอที่จะให้นางคิดฟุ้งซ่านต่อไป เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่นักเรียนใหม่รวมตัวกันแล้ว

หลังจากที่มู่เฉียนซีอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็รีบไปที่ลานรวมตัวอย่างรวดเร็ว อาจารย์ใหญ่จากสำนักศึกษาได้กล่าวสุนทรพจน์อย่างกระตือรือร้น ต้อนรับอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่สอบเข้าสำนักศึกษาซวนเสียได้

“ในฐานะนักเรียนใหม่ พวกเจ้าจะได้เข้าห้องเรียนระดับต่ำ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องเรียนระดับต่ำ สำนักศึกษาของพวกเราก็จะดำเนินการสอนอย่างยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้นนักเรียนทุก ๆ สิบคนจะมีอาจารย์ผู้รับผิดชอบหนึ่งคน”

“เอาหล่ะ ต่อไปก็เริ่มประกาศรายชื่อ!”

ในขณะที่อาจารย์ใหญ่เริ่มประกาศรายชื่ออยู่นั้น โม่ซางคงก็เดินไปข้าง ๆ มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ข้าชอบมาก หากได้ห้องเรียนเดียวกับเสี่ยวซี!”

เพียงแค่กล่าวคำนี้ออกไป โม่ซางคงกลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งจิตสังหารที่เข้ามาอย่างแปลกประหลาด

กลิ่นอายแห่งจิตสังหารนี้ช่างทำให้คนขนลุกขนพองยิ่งนัก ราวกับว่าภายในชั่วพริบตาเดียวก็สามารถทำให้เขาสลายหายไปได้ก็มิปาน

นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น ? เขาอยู่ภายในสำนักศึกษา ไปยั่วยุผู้ใดเข้า ถึงได้ทำให้ศัตรูโกรธแค้นเขาเข้ากระดูกเช่นนี้ ?

ฉินปากล่าว “ข้าก็อยากได้อาจารย์คนเดียวกับพี่ใหญ่เหมือนกัน!”

ทว่า สุดท้ายนั้นโม่ซางคงกับฉินปาก็ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน แต่มู่เฉียนซีนั้นไม่ใช่

จนกระทั่งหลังจากที่ได้แบ่งกลุ่มนักเรียนทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีชื่อของมู่เฉียนซีเลย

ฉินปากล่าวอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “อาจารย์ใหญ่คงจะไม่ได้ลืมพี่ใหญ่มู่หรอกกระมัง!”

โม่ซางคงกล่าว “ไม่มีทาง เสี่ยวซีเป็นถึงอันดับหนึ่งในการสอบครั้งนี้ อีกอย่างความสามารถและพรสวรรค์เช่นนี้ สำนักศึกษาไม่มีทางลืมนาง ต้องมีการเตรียมการอย่างอื่นเอาไว้แน่นอน”

อาจารย์ใหญ่กล่าว “หลังจากที่แบ่งห้องเรียนเสร็จแล้ว ต่อไปก็จะเริ่มแนะนำวิธีการดำรงชีวิตในสำนักศึกษาของพวกเรา การฝึกฝนของพวกเจ้าจะมีอาจารย์คอยฝึกฝนและคอยชี้แนะ แต่หากพวกเจ้าอยากจะเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าต้องใช้ค่ายกลรวมวิญญาณของสำนักศึกษา”

“ค่ายกลรวมวิญญาณเป็นทรัพยากรล้ำค่าของสำนักศึกษาพวกเรา หากต้องการใช้ จำต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเอง นักเรียนใหม่ทุกคนจะมีค่าวิญญาณคนละหนึ่งร้อย ค่าวิญญาณสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเวลาเพื่อฝึกฝนในค่ายกลรวมวิญญาณ สำนักศึกษาซวนเสียของพวกเรามีทั้งหมดสามชั้น ชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นมนุษย์ ห้องเรียนระดับต่ำนั้นสามารถเข้าไปในชั้นมนุษย์ เข้าไปหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามารถรับค่าวิญญาณคงที่ได้”

“แน่นอนว่าหากพวกเจ้ามีของล้ำค่าอยู่ในมือ ก็สามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้!”

“พลังที่มีอยู่นั้นเป็นรากฐานที่ทำให้พวกเจ้ายืนหยัดอยู่ในสำนักศึกษา แต่การที่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นนั้น มันเป็นเป้าหมายของพวกเจ้าในสำนักศึกษาแห่งนี้”

การประชุมครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว นักเรียนคนอื่น ๆ ก็ถูกอาจารย์ของพวกเขาพาตัวไป ส่วนอาจารย์ใหญ่ก็ส่งคนมาตามมู่เฉียนซี

“นักเรียนมู่เฉียนซี ตามข้ามา!”

เมื่อมาถึงสถานที่ที่เงียบสงบ มู่เฉียนซีก็ได้เห็นกับร่างเพรียวบางในชุดดำร่างหนึ่ง ยืนอยู่ข้างอาจารย์ใหญ่ผู้ที่เพิ่งกล่าวสุนทรพจน์ไปเมื่อครู่นี้

หน้ากากสีดำบดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนำพาความเย็นยะเยือกที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้มา เมื่อดวงตาคู่นั้นมองมาที่นาง ความเย็นยะเยือกนั้นก็จางหายไปไม่น้อย

จิ่วเยี่ย……

เป็นจิ่วเยี่ย ไม่ผิดคนแน่ นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา! เป็นเขาจริง ๆ

อาจารย์ใหญ่ยิ้มพลางกล่าวว่า “นักเรียนมู่เฉียนซี เจ้ามาแล้ว! เจ้าคงจะรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดสำนักศึกษาถึงไม่ได้จัดอาจารย์ให้กับเจ้า นั่นเป็นเพราะว่าข้าตัดสินใจจะมอบอาจารย์พิเศษให้แก่เจ้า!”

“จากนี้ไป นายท่านจิ่วเยี่ยจะเป็นอาจารย์พิเศษของเจ้า ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของเจ้า ควรค่ากับการที่มีอาจารย์ท่านนี้!”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้น มองไปที่จิ่วเยี่ยและถามเขาด้วยสายตาว่า ‘เจ้าคุกคามอาจารย์ใหญ่เพื่อที่จะได้มาเป็นอาจารย์ของข้าใช่หรือไม่’

คิ้วของจิ่วเยี่ยขยับเล็กน้อย กล่าวกับมู่เฉียนซีทางจิตว่า ‘คนอย่างข้าจำเป็นต้องคุกคามผู้อื่นด้วยเหรอ?’

ทั้งสองไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใดก็สามารถสื่อสารผ่านทางจิตได้ ราวกับว่าทั้งสองเข้าใจในความคิดของกันและกัน

มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยความที่ปกป้องซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ทำให้พวกเขาทั้งสองเขาเกิดความเข้าใจกันและกัน

อาจารย์ใหญ่กล่าว “นายท่านจิ่วเยี่ย เช่นนั้นท่านคุยกับมู่เฉียนซีส่วนตัวเถอะ! ข้ามีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”

หลังจากที่อาจารย์ใหญ่เดินจากไป มู่เฉียนซีก็ปริปากกล่าวขึ้น

“จิ่วเยี่ย!”

“ข้าอยู่นี่!”

“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ?”

“อืม!”

“เมื่อคืนเจ้าทำอะไร ?”

“ทำเรื่องที่อยากจะทำ”

มู่เฉียนซีกัดฟันกรอดกล่าว “เจ้า นี่เจ้ายังกล้าพูดอีก ?”

“ซีอยากได้ยินหรือไม่ว่าทำสิ่งใดไปบ้าง ?”

ใบหน้าของมู่เฉียนซีแข็งทื่อ “ช่างเถอะ ไม่จำเป็น!”

มู่เฉียนซีตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง นางกล่าวถามว่า “เจ้ามาได้ยังไง ?”

“เพราะว่าเจ้ามีพันธสัญญากับสุ่ยจิงอิ๋ง มีจิตวิญญาณของเจ้าคอยหล่อเลี้ยง พลังก็ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว ข้าก็มีชิ้นส่วนของนางอยู่ในมือ นางสามารถเปิดทางให้ข้ามาได้”

“คิดถึงเจ้าแล้ว ก็เลยให้นางเปิดทางให้!” กล่าวจบ จิ่วเยี่ยก็กอดมู่เฉียนซีไว้

“อยากจะ……”

อือ!

จิ่วเยี่ยจูบลงบนริมฝีปากนาง เมื่อคืนนางผล็อยหลับไป รู้สึกจูบไม่สบายเลย เช่นนี้ถึงจะรู้สึกดีขึ้นหน่อย!

จิ่วเยี่ยเรียกร้องได้อย่างละโมบมาก ทำให้มู่เฉียนซีนั้นหายใจค่อนข้างลำบาก

ยากมากกว่าที่จูบนี้จะสิ้นสุดลง แต่ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยนั้นจะหลงใหลในรสชาติของมู่เฉียนซีมาก เขาจึงกดทับลงไปอีกครั้ง

มู่เฉียนซีรีบห้ามเอาไว้ “หยุดก่อน หยุด!”

“จะหยุดทำไมเล่า ?” จิ่วเยี่ยกล่าวถามเสียงต่ำ

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสลากเส้นตามริมฝีปากอันบอบบางของมู่เฉียนซี จากนั้นค่อย ๆ กล่าวว่า “ซียังติดค้างอยู่อีกมาก ไม่รีบ!”

“นี่เจ้า!”

มู่เฉียนซีเจ็บปวดใจมาก นึกไม่ถึงว่าจิ่วเยี่ยยังคงจำเรื่องที่รับปากเอาไว้ได้! เจ็ดวันจูบครั้ง! ตอนนั้นสมองนางกลวงไปแล้วหรืออย่างไรถึงได้ตอบรับเรื่องเช่นนั้นไปได้ ?