ตอนที่ 606 อาจารย์ช่วยข้าหน่อย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

บุรุษเยี่ยงจิ่วเยี่ย แน่นอนว่าไม่ยอมปล่อยผู้ที่ติดค้างหนี้ให้อยู่รอดไปได้ง่าย ๆ การที่จะค่อยเป็นค่อยไปนั้นคงชำระหนี้ไม่หมดสิ้น เช่นนั้นเขาต้องเก็บหนี้ถี่ขึ้นหน่อยเป็นธรรมดา

เหล่าศิษย์หน้าใหม่คนอื่น ๆ นั้นถูกอาจารย์ของพวกเขานำตัวไปสอนแล้ว แต่นางกลับถูกอาจารย์ส่วนตัวผู้นี้กลืนกินเสียจนสิ้น

มู่เฉียนซีจับริมฝีปากของตนที่เริ่มบวมขึ้นมา แล้วก่นด่าเขาด้วยความโกรธเคือง “จิ่วเยี่ย! เจ้ามันพวกฉวยโอกาส พวกเดรัจฉาน!”

“เดรัจฉานรึ ?” จิ่วเยี่ยกล่าวทวนคำนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “จื่อโยวกล่าวไว้ว่าเดรัจฉานไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตหล่อเหลาเช่นนี้ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นเดรัจฉานจริง ๆ ให้เจ้าดูหรือไม่ล่ะ ?” ดวงตาเยือกเย็นนั้นทอแววอันตรายออกมา มู่เฉียนซีรีบเก็บคลื่นพลังที่ใช้กดดันเขากลับไป “เจ้า… ไม่… เจ้าไม่เป็นเดรัจฉานเลยแม้แต่น้อย เจ้าเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก เป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก”

ประโยคสุดท้ายนั้นมู่เฉียนซีกัดฟันกล่าวมันออกมา

มีอาจารย์พิเศษส่วนตัวก็ยังไม่เท่าไร แต่อาจารย์ส่วนตัวผู้นี้ยังจะมาหอพักของนาง และต้องการนอนร่วมเตียงเคียงหมอนด้วยกันอีก

“จะร้ายดีอย่างไรสำนักศึกษาซวนเสียก็เป็นสำนักนิกายระดับสองแห่งหนึ่ง หรือว่าอาจารย์ของที่นี่ไม่ได้จัดการแม้แต่เรื่องที่พักให้เจ้า ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“ข้าไม่ต้องการ ข้ามาที่นี่เพื่อเจ้า แน่นอนว่าเจ้านอนที่ไหนข้าก็นอนที่นั่น” จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง มาเพื่อนาง…

สายตาของจิ่วเยี่ยคล้ายว่าจะทำให้ผู้ที่ได้มองตกอยู่ในห้วงแห่งความหลงไหล

“ซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน ?” เขาเข้าไปกระซิบใกล้หูของมู่เฉียนซี

“ขะ… ข้าไม่รู้” มู่เฉียนซีนั้นอยากจะให้ตัวของนางอยู่ห่างจากเขาเสียหน่อย แต่ทว่าจิ่วเยี่ยยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม

“ซีจะรู้เอง” “อื้อ…”

ผมสีดำขลับไปพันกันเสียจนยากจะแยกออกจากกันได้ว่าของใครเป็นของใคร….

……

อรุณรุ่งวันต่อมา

มู่เฉียนซีเสมือนกลายเป็นคนไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นเพราะเขาคิดถึงนางได้อย่างไร เรียกว่าอาการป่วยกำเริบเสียมากกว่า

มู่เฉียนซีกล่าวกับจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย เอ่อ… ในฐานะที่เจ้าเป็นอาจารย์ เจ้าจะไม่รับผิดชอบไม่ได้ เจ้าจะทรมานข้าให้ตายเพราะอาการกำเริบทุกวันไม่ได้!”

“แน่นอนว่าข้าจะฝึกสอนซีเอง” ผลสุดท้ายคือยามดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้า จิ่วเยี่ยชี้แนะสอนสั่งมู่เฉียนซี เอาเข้าจริงนางต้องยอมรับเลยว่าการที่มีอาจารย์ผู้ชี้แนะที่แข็งแกร่งเช่นเขานี้ ทำให้การฝึกบำเพ็ญก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่นดีทีเดียว

นางสามารถสัมผัสได้ถึงม่านพลังของระดับจักรพรรดิแล้ว เพียงแต่ต้องหาจังหวะที่เหมาะสม ก็จะสามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นนั้นได้ในคราวเดียว

ในยามราตรี จิ่วเยี่ยก็ได้ติดพันอยู่กับหมอส่วนตัวของเขาเพื่อให้นางรักษาโรคให้

ตอนนี้จิ่วเยี่ยเป็นอาจารย์ประจำตัวของมู่เฉียนซี ส่วนมู่เฉียนซีเองก็เป็นหมอประจำตัวให้กับเขา มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถตัดขาดออกจากกันได้ ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและซับซ้อนต่อกันอีกด้วย

ผลของการฝึกฝนในค่ายกลวิญญาณยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่ทว่าจำนวนค่าพลังวิญญาณที่สำนักศึกษามอบให้นั้นกลับได้ถูกใช้ไปเสียจนหมดสิ้น

ที่สำนักศึกษามีจุดรับแลกค่าพลังวิญญาณโดยเฉพาะ เป็นที่ที่เหล่าศิษย์น้อยใหญ่สามารถแลกสิ่งมีค่ากับทางสำนักศึกษาได้โดยตรง หรือจะไปแลกกับสหายคนอื่น ๆ ในสำนักศึกษาก็ย่อมได้

ในมิติเก็บของของนางนั้นยังมียาเม็ดเหลืออีกจำนวนไม่น้อย มู่เฉียนซีสามารถนำยาเม็ดเหล่านี้ไปที่จุดแลกค่าพลังวิญญาณได้ ถ้าหากเป็นการแลกเปลี่ยนแบบส่วนบุคคล หากฝ่ายตรงข้ามกำลังต้องการสิ่งที่จะนำไปแลกอยู่พอดี เช่นนั้นก็มีโอกาสได้ราคาที่สูงมาก

แต่ราคาที่ได้จากทางสำนักศึกษาจะต่ำกว่าการแลกแบบส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้ว ที่จุดรับแลกค่าพลังวิญญาณจึงมีคนไปตั้งร้านอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลย

มีทั้งสมุนไพรวิญญาณ หินแร่ อาวุธวิญญาณ และสมบัติแปลกประหลาดล้ำค่าอีกมากมาย มู่เฉียนซีกวาดตามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นนางได้พบเข้ากับสมุนไพรวิญญาณที่นางอยากได้ แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีค่าพลังวิญญาณไปแลก

นางไม่มีเวลามาตั้งร้านแลกเปลี่ยนที่นี่ เช่นนั้นเพื่อความรวดเร็ว ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือไปแลกกับจุดแลกค่าพลังวิญญาณของสำนักศึกษาโดยตรง

“สวัสดีแม่นางน้อย” ผู้ดูแลการแลกเปลี่ยน ณ จุดแลกในสำนักศึกษากล่าวทักทายเมื่อเห็นมู่เฉียนซีเดินเข้ามา

“สวัสดี ข้ามู่เฉียนซี ต้องการนำของมาแลกค่าพลังวิญญาณ นี่คือของที่ข้านำมาแลก” มูเฉียนซีตอบกลับเรียบ ๆ

“หืม ? เจ้าต้องการนำยาเม็ดระดับเจ็ดจำนวนสิบขวดมาแลกงั้นรึ ? นักเรียนมู่ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อเล่น ?” ผู้ดูแลการแลกเปลี่ยนของจุดแลกในสำนักศึกษามองมู่เฉียนซีด้วยความตกตะลึง

มู่เฉียนซี “อืม ตระกูลของข้านั้นค้าขายยาเม็ดจึงได้มียาเม็ดไม่ขาดมือ ข้าอยากแลกค่าพลังวิญญาณให้มากหน่อยเพื่อเอาไปใช้ฝึกบำเพ็ญที่ค่ายกลวิญญาณ”

“ว่าอย่างไร หรือว่าข้ามันแลกไม่ได้ล่ะ ?”

“ได้สิ เจ้าแลกได้แน่นอน เพียงแค่มันเยอะมากไปหน่อยข้าจึงตะลึงอยู่” ต่อให้ตระกูลของแม่นางน้อยผู้นี้ค้าขายโอสถ เขาก็ไม่เคยพบเจอผู้ที่แลกครั้งเดียวมากมายเช่นนี้มาก่อน

“ยาเม็ดระดับเจ็ดหนึ่งเม็ดสามารถแลกได้หนึ่งหมื่นค่าพลังวิญญาณ ทั้งหมดสิบขวดจึงมียาทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบเม็ด เช่นนั้นเจ้าจะได้รับหนึ่งล้านสองแสนค่าพลังวิญญาณ ขอให้เจ้าตรวจรับให้เรียบร้อยด้วย”

ไม่นานนัก ป้ายประจำตัวนักเรียนของนางก็ได้แสดงจำนวนของตัวเลขขึ้นมา คราวนี้ถือได้ว่านางหลุดพ้นจากความยากจนและกลายเป็นผู้มั่งมีไปเลยทีเดียว นางอยากซื้ออะไรก็สามารถซื้อได้เลย มู่เฉียนซีเดินอย่างสบายใจ นางไปที่ร้านค้าด้านนอกร้านหนึ่งและหยิบกิ่งไม้สีทองขึ้นมาหนึ่งกิ่งพร้อมถามว่า “กิ่งนี้คิดราคากี่ค่าพลังวิญญาณรึ ?”

ในที่สุดก็มีคนที่เห็นของของเขาเข้าตาเสียที ใบหน้าของผู้ที่วางแผงร้านขายของนั้นเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น “ศิษย์น้อง นี่เป็นถึงสมุนไพรวิญญาณระดับเจ็ด ข้านั้นเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากกว่าจะหามันพบ เห็นแก่การที่เจ้าเป็นศิษย์น้อง ข้าขายให้เจ้าหนึ่งหมื่นค่าพลังวิญญาณ”

หนึ่งหมื่นค่าพลังวิญญาณนั้นเป็นมูลค่าไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของค่าพลังที่นางมีด้วยซ้ำ มู่เฉียนซีอยากได้มันมาครอบครองจะแย่อยู่แล้ว นางเตรียมตอบตกลงอย่างไม่รอช้า

ทว่าในตอนนี้เอง เสียงที่เบามากเสียงหนึ่งลอยมา

“กิ่งสวรรค์เหลืองนี้ ถึงแม้จะเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับเจ็ด แต่ราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นค่าพลังวิญญาณ แล้วอีกอย่าง กิ่งสวรรค์เหลืองกิ่งนี้ด้อยคุณภาพแล้ว อีกทั้งยังเหี่ยวแห้งจนส่วนมากของเนื้อมันไม่สามารถใช้การได้ เช่นนั้นแล้วราคามากสุดก็ควรอยู่ที่สามร้อยค่าพลังวิญญาณ” มู่เฉียนซีเพิ่งเข้ามาในสำนักศึกษาซวนเสีย จึงไม่รู้แน่ชัดถึงกฎในการแลกเปลี่ยนค่าพลังวิญญาณ

ของที่ราคาหนึ่งหมื่นค่าพลังวิญญาณ อันที่จริงราคาเพียงแค่ไม่กี่ร้อย เจ้าของแผงร้านนี้ช่างหน้าเลือดใจดำเสียจริง

แน่นอนว่านางไม่ยอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบนาง มู่เฉียนซีถามขึ้น “เช่นนั้นก็สามร้อย ตกลงหรือไม่ ?”

สีหน้าเจ้าของแผงขายของในเวลานี้ซีดเซียวยิ่งนัก เดิมทีคิดว่าจะหลอกศิษย์น้องเพื่อทำกําไรให้ได้มหาศาล โชคร้ายที่หลอกไปได้เพียงครึ่งทางแต่กลับมี*เฉิงเหยาจินโผล่เข้ามาเช่นนี้

*เฉิงเหยาจินเป็นขุนนางที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ในสมัยต้นราชวงศ์ถัง)

“ข้าให้ได้ห้าร้อย หากว่าน้อยกว่านี้ข้าไม่ขายแล้ว ศิษย์น้องเจ้าซื้อเสียเถอะ ข้านั้นไม่มีค่าพลังวิญญาณไปฝึกบำเพ็ญตั้งนานแล้ว หากข้าขายแค่สามร้อย ข้าก็ฝึกได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”

“สี่ร้อย มากกว่านี้ข้าก็ไม่ซื้อ” มู่เฉียนซีต่อรอง สิ่งที่คนเสียงเบาผู้นั้นกล่าวมาเป็นเรื่องจริง แต่ถึงแม้ว่ากิ่งสวรรค์เหลืองจะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังคงมีประโยชน์สำหรับนาง นางจึงไม่รังเกียจที่จะจ่ายเพิ่มอีกสักหนึ่งร้อย

เจ้าของแผงขายของกัดฟันกล่าว “ได้! สี่ร้อยก็สี่ร้อย”

มือหนึ่งยื่นมาจ่ายค่าของ มือหนึ่งยื่นของออกไปให้

หลังจากที่ได้รับของแล้ว มู่เฉียนซีนึกขึ้นได้ถึงผู้ที่มาเตือนนางผู้นั้น คนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมกะหร่อง และเขายังก้มหน้ามองต่ำตลอดเวลา นั่นทำให้มองเห็นใบหน้าทั้งหมดได้ไม่ชัดเจน

มู่เฉียนซีก้าวไปยืนข้างตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้น “ขอบคุณที่เมื่อครู่นี้ช่วยเตือนข้า มิเช่นนั้นข้าคงพบกับความไม่ยุติธรรมครั้งใหญ่เข้าเสียแล้ว”

“ไม่จำเป็น” เสียงของเขานั้นดังวี๊ ๆ เหมือนยุงก็มิปาน และคอของเขาก็ตกลงไปยิ่งกว่าเดิม

“ข้าเพิ่งเข้าเรียนที่นี่ได้ไม่นาน มิได้ชำนาญเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนค่าพลังวิญญาณ แต่พอดีว่าข้าต้องการสมุนไพรวิญญาณ เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่ ? ข้าสามารถมอบเงินตอบแทนเจ้าได้”

“สามร้อยค่าพลังวิญญาณ ข้าจะช่วยเจ้า” เด็กหนุ่มผอมกะหร่องกล่าวด้วยเสียงวี๊ ๆ ตามเดิม

“ตกลง” มู่เฉียนซียิ้ม

ถึงแม้ว่าเขาขาดความมั่นใจในตนเอง ชอบก้มหน้าตลอดเวลาไม่กล้ามองมู่เฉียนซี แต่สายตาของเขานั้นเฉียบแหลมมาก ทักษะการต่อราคาก็ร้ายกาจอย่างยิ่ง ทำให้เจ้าของแผงขายของไม่พอใจอย่างหนักเมื่อได้เห็นเขา

ในตอนนี้เอง กลุ่มศิษย์ที่ใส่ชุดคลุมยาวสีขาวกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา มองดูแล้วที่นี่หรือแม้กระทั่งบนตัวชายหนุ่มผอมกะหร่องผู้นี้ไม่มีสมุนไพรวิญญาณที่ดูมีค่ามากมายนัก และพวกเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนพวกที่มีสมุนไพรวิญญาณมาขาย แต่พวกนั้นกลับเข้ามาจับตัวเด็กหนุ่มผอมกะหร่องที่ยืนก้มหน้าอยู่นี้เอาไว้

“ฮ่า! ดูซิว่าเราเจอใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้านักปรุงยาไร้ความสามารถอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาเรานี่เอง เจ้ามาที่นี่แล้วจะทำอะไรได้ ? สมุนไพรวิญญาณที่ว่าจะดีแค่ไหน เมื่ออยู่ในมือเจ้า เจ้าก็ไม่สมารถปรุงมันได้”

“ขออภัยเจ้าด้วยศิษย์น้องหน้าใหม่ ข้าต้องไปแล้ว” เขากล่าวกับมู่เฉียนซีด้วยเสียงต่ำ

“ได้ ข้าจะส่งมอบค่าพลังวิญญาณให้กับเจ้า วันนี้ขอบคุณมาก” มู่เฉียนซีตอบกลับ

เขารีบจากไปอย่างเร็วรี่ ทว่ากลุ่มชายชุดคลุมยาวขาวนั้นก็ได้พูดจาเสียดสีเขาต่อ “ไอ้กระจอกก็คือไอ้กระจอก! ไร้ประโยชน์จริง ๆ”

แววตาของมู่เฉียนซีทอประกาย สำนักศึกษาปรุงยา… นางได้เข้ามาในสำนักศึกษาซวนเสียซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสองนี้ก็นานแล้ว จึงควรรู้จักสำนักศึกษานี้เอาไว้

“อาจารย์จิ่วเยี่ย ช่วยศิษย์ของเจ้าสักหน่อยเถอะ” มู่เฉียนซียิ้ม ปรายตามองไปยังบุรุษที่เวลานี้ใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าและแววตาอันโหดเหี้ยมเย็นชาของตนเอาไว้