ตอนที่ 607 แสดงความจริงใจ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“อืม” จิ่วเยี่ยพยักหน้าอย่างเฉยเมย ทว่าแววตาเขาไม่ได้เฉยเมยเหมือนท่าทาง

“ข้าอยากรู้ว่าอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาซวนเสียอยู่ที่ไหน แล้วยังมีเรื่องดินระเบิดของสำนักศึกษาอีก เจ้านั้นเป็นถึงอาจารย์มีชื่อของสำนักศึกษาเรา ข่าวที่เจ้าได้รับจะต้องมากกว่าข้าผู้ที่เป็นศิษย์หน้าใหม่อย่างแน่นอน” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจริงจัง

สำนักศึกษาซวนเสียเป็นสำนักนิกายระดับสอง ภายในของที่นี่นั้นไม่ธรรมดา

ในสำนักศึกษาซวนเสีย ที่ที่นางอยู่นั้นเป็นส่วนนอกของสำนักซึ่งดีกว่าสำนักนิกายระดับหนึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สถานที่ที่แข็งแกร่งของจริงของสำนักศึกษาซวนเสียคือส่วนด้านในของสำนัก

“ได้” จิ่วเยี่ยตอบง่าย ๆ

มู่เฉียนซีพอใจอย่างยิ่ง “ดี! เช่นนั้นฝากเจ้าด้วย”

ไม่นานนัก จิ่วเยี่ยก็นำข่าวที่มู่เฉียนซีอยากรู้มาบอก อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาซวนเสียอยู่ที่ไหนนั้น อาจารย์ที่อยู่ส่วนนอกของสำนักล้วนแต่ไม่รู้เรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ใหญ่ของส่วนนอกของสำนักก็ยังไม่รู้ความเป็นไป

เขาบอกนางว่าอาจารย์ใหญ่ผู้นี้ไปไหนมาไหนอย่างผีไม่รู้เทวดาไม่เห็น และเวลาที่เขากลับมายังสำนักศึกษาก็ล้วนแต่ไม่มีกำหนดตายตัว

มู่เฉียนซีจนปัญญา ดูเหมือนว่ากระบี่มังกรเพลิงยังคงต้องใช้อย่างชั่วคราวทีละครั้งเช่นนี้ต่อไป นางหวังจริง ๆ ว่าอาจารย์ใหญ่ท่านนี้จะรีบกลับมาโดยไว

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับสำนักศึกษาการปรุงยานั้น สำนักศึกษาการปรุงยาเป็นสำนักย่อยพิเศษสำนักย่อยหนึ่งของสำนักศึกษาซวนเสียแห่งนี้

ในเวลาเดียวกันกับที่สำนักศึกษาซวนเสียรับสมัครนักเรียนหรือเหล่าศิษย์ใหม่ ๆ สำนักย่อยนี้ไม่ได้เปิดรับสมัครนักเรียนจากด้านนอก แต่จะทำการเปิดรับสมัครแบบพิเศษ โดยถ้าหากว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สอบผ่านการคัดเลือกรอบพิเศษ ถึงจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าศึกษาในสำนักย่อยการปรุงยานี้ได้ ซึ่งสำหรับสำนักย่อยการหลอมอาวุธก็เช่นเดียวกัน

สำนักย่อยการปรุงยานั้นมิได้แบ่งเป็นสำนักส่วนนอกหรือส่วนใน กล่าวได้อีกอย่างว่าผู้ที่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาส่วนมากของทวีปเสียโจวล้วนมารวมกันอยู่ในสำนักย่อยแห่งนี้เกือบทั้งหมด

อย่างไรเสีย การที่เลี้ยงดูฝึกฝนนักปรุงยาออกมาสักผู้หนึ่งนั้นต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรไปอย่างมากโข เหล่านักปรุงยาอัจฉริยะมาที่สำนักนิกายระดับสองเพียงแห่งเดียวของทวีปเสียโจวนี้ก็เพราะที่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนและเติบโตขึ้นมาในวงการนี้

พวกเขาล้วนแต่เป็นอัจริยะตัวฉกาจ!

ดวงตาของมู่เฉียนซีเป็นประกาย เพราะในตอนนี้นางต้องการดึงเอาผู้มีความสามารถของฝ่ายตรงข้ามมาร่วมเสียแล้ว ว่าแต่จะทำเช่นไรดี ?

นางสามารถใช้ใบสูตรยามาเป็นเหยื่อล่อให้นักปรุงยาบางคนที่ค่อนข้างชำนาญการเข้าร่วมกับหอหมอปีศาจได้ แต่ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขานั้นมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งพื้นที่ที่ให้พวกเขาพัฒนาตนเองก็ไม่มากเท่ากับนักปรุงยาวัยหนุ่ม หอหมอปีศาจของนางต้องการคนของสำนักศึกษาที่สดใหม่มีชีวิตชีวา

ถ้าหากถามว่าในทวีปเสียโจวแห่งนี้จะไปหานักปรุงยาอัจฉริยะได้ที่ใด ? นั่นมิใช่ว่าล้วนแต่อยู่ที่สำนักศึกษาซวนเสียแห่งนี้หรอกหรือ ?

ปัญหาก็คือนางจะขุดตีนกำแพงของสำนักศึกษาซวนเสียแห่งนี้ได้อย่างไร

มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองจิ่วเยี่ย พลันมีวิธีการผุดขึ้นมาในความคิดของนาง

“ใช่แล้ว!” ข้าสามารถไปเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษาย่อยการปรุงยาได้ เมื่อถึงเวลานั้น… พวกเขายังจะหนีไปไหนได้อีกเล่า ?” มู่เฉียนซียิ้มออกมาเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็มิปาน

“อาจารย์จิ่วเยี่ย ช่วยศิษย์ผู้นี้สักหน่อยเถอะนะ” มู่เฉียนซีกล่าวขอร้อง

“ได้อยู่แล้ว” เขาตอบรับนางในทันที ไม่เคยที่จะถามถึงความในของการช่วยเหลือมาโดยตลอด

“เจ้าไปบอกกับอาจารย์ใหญ่ให้ข้าหน่อยว่า หัวหน้าหอหมอปีศาจมู่ซีมีความสมัครใจด้วยไมตรีจิตจะเข้าร่วมเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาซวนเสีย เจ้าถามเขาดูว่าเขามีหนทางใดหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าว

สายตาของจิ่วเยี่ยหม่นหมองลง นี่เป็นเรื่องจริงที่ว่าซีนั้นจะต้องออกห่างจากเขาและไปสอนผู้อื่น มันเป็นเรื่องจริงจริง ๆ รึ ?

เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาที่มีความหวังของนางเขาก็เห็นถึงความตั้งใจจริง เพราะนางเองก็มีแผนการของนาง เขามิอาจตัดใจปฏิเสธได้ลง ได้แต่เอ่ยปากกล่าวขึ้นช้า ๆ “ถ้าอยากให้ข้าตอบรับคำร้องนี้ ซีจะต้องแสดงความจริงใจบ้างเล็กน้อย”

ความจริงใจ… ความจริงใจอะไร ?

มู่เฉียนซีตะลึงงัน สักครู่นางตั้งสติได้จึงเอ่ยถามเขา “เจ้าต้องการความจริงใจอะไรล่ะ ?”

จิ่วเยี่ยขยับร่างเข้ามาใกล้มู่เฉียนซี สองร่างใกล้กันเสียจนไอร้อนจากปากของเขาแผ่มาถึงใบหูของนาง “ซีคิดว่าข้าต้องการอะไรล่ะ ?”

ใบหน้างดงามนั้นแทบจะแนบสนิทกับใบหน้าของมู่เฉียนซีอยู่แล้ว

มู่เฉียนซีเอียงศีรษะออกไปด้านข้างเพื่อหลีกเขาเล็กน้อย ในตอนที่ใบหน้างามนั้นกำลังจะลงมาประทับตรา นางก็กล่าวขึ้นว่า “ระ… รบกวนท่านอีกครั้งด้วย อาจารย์จิ่วเยี่ย”

เมื่อใบหน้าสัมผัสแนบชิดกันเบา ๆ และเขาทำท่าเหมือนจะดึงมันกลับไปนั้น ปรากฏว่าใบหน้าของจิ่วเยี่ยเลื่อนลงต่ำแทนที่จะผละออกไป ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครองเอาไว้อีกแล้ว…

“อื้อ!” ดูเหมือนว่าเขาจะได้สิ่งที่แสดงความจริงใจมากพอแล้ว ถึงได้ยอมปล่อยนาง

หลังจากที่จุมพิตครั้งนี้สิ้นสุดลง แก้มนวล ๆ ของมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง นางสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ เพื่อรวมสติกลับมาอีกครั้ง

จิ่วเยี่ยมองท่าทางน่าเอ็นดูนั้น เขากอดนางเอาไว้พลางกล่าวขึ้น “ซี เจ้ารอข่าวจากข้าได้เลย”

ครู่ต่อมา จิ่วเยี่ยก็กลับมาบอกข่าวแก่นาง “เขาจัดการเรื่องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซีวางใจได้”

เรื่องทั้งหมดล้วนรวบรัดง่ายดายประหนึ่งเสกมา

มู่เฉียนซีถามขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าไปข่มขู่อาจารย์ใหญ่มาใช่หรือไม่ ? ทำไมมาเร็วนัก ?” “คำสั่งของข้า หากเขาที่เป็นเพียงมหาจักรพรรดิแห่งภูตตัวเล็ก ๆ กล้าที่จะไม่ฟังละก็ สำนักศึกษาที่เป็นสำนักนิกายระดับสองแห่งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่บนผืนพสุธาอีกต่อไป” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างท้าทาย

มู่เฉียนซีแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไปข่มขู่อาจารย์ใหญ่มาจริง ๆ ที่ร้ายกาจคือเขาเอาสำนักซวนเสียไปข่มขู่มา

อาจารย์ใหญ่คิดอย่างหนัก เดิมทีงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ อยู่ดี ๆ ก็ได้เป็นการไปนำพาเทพมารที่ชั่วร้ายเข้ามา

จิ่วเยี่ยนั้นราวกับเป็นเทพมารที่ทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งในสายตาของเขาล้วนแต่เหมือนกับมดปลวก อาจารย์ใหญ่คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้จึงได้มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาซวนเสียเล็ก ๆ ของเขา

ใช่แล้ว สำนักศึกษาซวนเสียนั้นเล็กยิ่งนัก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสำนักนิกายระดับสองเพียงแห่งเดียวของทวีปเสียโจวก็ตาม แต่เมื่อมองไปในโลกสี่ทิศแล้ว มันมิได้มีชื่อที่ติดอันดับเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้สามารถโบกมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สำนักศึกษาซวนเสียทั้งสำนักสลายหายไปกับอากาศได้ เขาคิดที่จะทำอะไร อาจารย์ใหญ่เองก็ไปหยุดยั้งเขามิได้

แต่เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะมีคำร้องขอที่ง่ายดายเช่นนั้น เขาอยากขออยู่ในสำนักศึกษาและเป็นอาจารย์สอนส่วนบุคคลของศิษย์ใหม่ผู้หนึ่งก็เท่านั้น

แม้ศิษย์ใหม่ผู้นั้นจะเป็นอัจฉริยะที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบก็ตาม และการที่มีอาจาย์ผู้เป็นยอดฝีมือเช่นนี้คอยชี้แนะ นั่นช่างเป็นวาสนาที่หมื่นปีก็ยากจะหาได้

เขาตอบรับอย่างยินดี และเรื่องหลังจากนั้นที่จิ่วเยี่ยถามไป เขาก็ตอบออกมาตามจริง แต่ในคราวนี้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง

จิ่วเยี่ยต้องการให้รับคนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาย่อยการปรุงยา สำนักย่อยนี้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมดูแลของเขา หากแทรกคนผู้หนึ่งเข้าไปเป็นศิษย์ร่วมเรียนร่วมฝึกฝน เขายังสามารถทำได้ แต่หากว่าให้ไปเป็นอาจารย์ผู้หนึ่ง… มันยากยิ่งนัก!

แต่ทว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นมิยอมให้ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของเขา ถ้าหากว่ากล้าปฏิเสธ เขาแน่ใจเป็นอย่างมากว่าในวันพรุ่ง เขาจะไม่ได้พบกับแสงตะวันอีก

ดังนั้น เหลือทางเดียวคือยอมกัดฟันตอบตกลง และเวลานี้เขาจึงต้องไปบดขยี้ตาแก่ที่ดื้อรั้นเหล่านั้นให้ยินยอม

“เจ้าว่าอะไรนะ ? เจ้ามือไม้ยาวมากไปหน่อยกระมัง สำนักส่วนนอกของเจ้าเจ้าไม่ไปควบคุมดูแลให้ดี แต่กลับอยากจะมาเพิ่มอาจารย์ให้สำนักย่อยปรุงยาของพวกเรา”

“เจ้าอยากให้อาจารย์มาเพิ่มอีกหนึ่งคน เช่นนั้นเก็บเอาไว้ภายในสำนักของเจ้าก็ได้มิใช่หรือ แต่นี่กลับโยนมาที่พวกเรา เจ้าหมายความเช่นไร ?”

“ข้า…”

อาจารย์ใหญ่ฉู่บอกเล่าถึงเรื่องของจิ่วเยี่ยให้พวกเขาฟังอย่างเคร่งขรึม

“บ๊ะ! เรื่องมันถึงขนาดนี้เชียวรึ ?! แต่ประเดี๋ยวก่อน! ถ้าหากเจ้าสร้างเรื่องนี้ขึ้นมามั่วซั่วเอาเองแล้วมาเล่าให้พวกข้าฟังล่ะ ?”

“แหม! พวกเจ้าเองรู้จักข้าผู้เฒ่าฉู่มาก็มิใช่วันสองวัน เรื่องเช่นนี้พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่โป้ปดแน่นอน เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่พวกเจ้า ถ้าหากว่านำความฉิบหายขั้นล้างบางมาถึงสำนักศึกษาของพวกเราละก็ พวกเจ้าที่เฒ่าชราแต่ละคนคิดว่าสามารถหลบหนีเอาตัวรอดไปได้สบาย ๆ กันรึ ?” อาจารย์ใหญ่ฉู่กล่าวเสียงขรึม

“ก็ได้ ๆ ตอบรับให้เจ้าเด็กนั่นมาเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยปรุงยาเราก็ได้ แต่เขาจะต้องผ่านการทดสอบการปรุงยาจากข้าก่อนถึงจะมาเป็นอาจารย์ได้ ถ้าหากว่าเจ้าเด็กนั่นไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้วจะมาเป็นอาจารย์ที่สำนักย่อยปรุงยาของพวกเรา เช่นนั้นก็จะเป็นที่ขบขันแก่ผู้อื่น”

อาจารย์ใหญ่ฉู่สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่มีปัญหา” เขาพยายามคิดปลอบใจตัวเองว่าคนที่ท่านผู้ยิ่งใหญ่รู้จักคงมิใช่ผู้ไร้ความสามารถ เมื่อต้องผ่านการทดสอบแน่นอนว่าคงไม่มีปัญหา …กระมัง ?

“รอหลังจากการทดสอบไปเจ็ดวัน ปล่อยให้คนผู้นั้นคอยไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

อาจารย์ใหญ่ฉู่อดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ในใจ ‘บัดซบ! ไอ้เฒ่าพวกนี้ก็ดื้อรั้นเสียจริง เมื่อตอบรับแล้วยังยื้อออกไปอีกตั้งเจ็ดวัน ถ้าหากว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ปัญหาตามมาแล้วได้ซวยกันหมดนี่แน่’

เขาเองรู้จักขีดความอดทนของพวกตาเฒ่าหัวรั้นเหล่านี้ดีจึงตอบกลับไป “ได้ ข้าจะบอกเขาแล้วกัน”

……

“หลังการทดสอบเจ็ดวันรึ ?” มู่เฉียนซีถามเสียงต่ำ

“ได้ ข้าไม่มีปัญหา”

“เจ็ดวันหลังจากนั้น โม่จิ่นเองก็คงจะสร้างหอหมอปีศาจที่เมืองเสียเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

เพียงเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน มู่เฉียนซีก็กลับได้รับข่าวจากโม่จิ่นแล้วว่าในวันพรุ่งนี้หอหมอปีศาจจะเปิดกิจการแล้ว

น่าเสียดายที่เมื่อเข้ามาในสำนักศึกษาซวนเสียแล้ว นางต้องเรียนอยู่ถึงครึ่งปีจึงจะสามารถออกไปได้ มิเช่นนั้นคงได้ออกไปดูหอหมอปีศาจสักนิดสักหน่อย

จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้น “ข้าสามารถพาซีออกไปได้ถ้าซีต้องการ สำนักนี้น่าเบื่อเกินไป ข้าเบื่อเหมือนกัน”