จิ่วเยี่ยคิดจะพาคนคนหนึ่งออกจากสำนักศึกษาโดยที่ไม่มีใครรู้ได้ง่ายมาก อีกทั้งเดิมทีที่เขาเป็นอาจารย์ของมู่เฉียนซีอยู่แล้ว ต่อให้มู่เฉียนซีหายไปตัว หากเขาไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ได้

การสอนแบบตัวต่อตัวเช่นนี้ และเจอกับอาจารย์ที่ตามใจนางเช่นนี้อีก ยอดเยี่ยมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

แน่นอนว่าข้อเสนอแรกนั้นก็คือ คืนนี้เขาห้ามทำเรื่องร้ายแรง

มู่เฉียนซีกล่าว “ก็ดี ท่านอาจารย์จิ่วเยี่ย วันนี้ข้าจะออกไปสำรวจตรวจตรากิจการข้าสักหน่อย ไปกันเถอะ!”

“ซี กอดข้าให้แน่น!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม

“เจ้าว่าอะไรนะ ?”

“ซีไม่กอดข้าให้แน่น แล้วข้าจะพาไปได้ยังไงหล่ะ ?”

“ขะ ข้า……”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าจับเจ้าไว้ก็ได้แล้ว!”

มู่เฉียนซีกอดแขนเขาเอาไว้ คิดว่าโบกสะบัดเช่นนี้ก็ได้แล้ว แต่ก็ถูกจิ่วเยี่ยปฏิเสธอย่างไร้ปรานีอยู่ดี

“ไม่ได้!”

มู่เฉียนซีกัดฟันกรอด ถึงอย่างไรแล้วก็ใช่ว่าจะไม่เคยกอดสักหน่อย เพียงแต่ว่าน้อยมากที่นางเป็นคนเริ่มกอดเขาเอง

มู่เฉียนซียื่นมือออกไปคล้องคอเขาไว้ และกระซิบข้างหูว่า “ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ เจ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่!”

“ซีกอดข้าเช่นนี้บ่อย ๆ ข้าจะพอใจเป็นอย่างมาก”

ดวงตาของเขาลดต่ำลง มองดูใบหน้ามู่เฉียนซี “แต่ข้าจะดีใจมากกว่านี้หากเจ้าจูบข้า!”

ต้องการจะอยู่ด้วยกันกับมู่เฉียนซีอย่างสนิทชิดเชื้อ ต้องการจะจูบนาง เขาไม่ได้ปิดบังความปรารถนาและความชื่นชอบนางเลยแม้แต่น้อย!

มีบางครั้งที่เขาทำให้คนมองเขาไม่ออก ทว่า บ่อยครั้งมู่เฉียนซีกลับมองเขาแล้วเข้าใจเขามาก และการที่เข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ก็ทำให้มู่เฉียนซีค่อนข้างสับสนเช่นกัน

ศีรษะของมู่เฉียนซีซบลงในอ้อมอกเขา นางกล่าว “ความคิดของเจ้า ช่างสวยงามเกินไปแล้ว! เมื่อเช้านี้ก็โดนเจ้าทวงหนี้จูบข้าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สัตว์ร้ายเช่นเจ้ารู้จักคำว่าพอหอมปากหอมคอบ้างหรือไม่ ?”

หางตาของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “เรารีบไปกันเถอะ!”

มุมปากของจิ่วเยี่ยยกยิ้มขึ้น “อืม!”

หอหมอปีศาจในเสียโจวนั้นหาได้ง่ายมาก โม่จิ่นที่เห็นมู่เฉียนซีโผล่มาเช่นนี้ก็ตกใจขึ้น “นายท่าน นี่ท่านโดดเรียนมาเหรอ!”

“ทะ ท่าน ยอดเยี่ยมไปเลย! นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะโดดเรียนออกมาจากสำนักศึกษาซวนเสียได้ ท่านเป็นแบบอย่างของข้าจริง ๆ”

เคยมีนักเรียนที่ถือตนว่าตัวเองสูงเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาซวนเสีย และไม่สามารถทนต่อการฝึกฝนที่เบื่อหน่ายของสำนักศึกษาได้ ดังนั้นยังไม่ถึงครึ่งปีก็แอบโดดเรียน แต่ในที่สุดก็ถูกจับได้และถูกคุมขังอย่างน่าอนาถ

หนึ่งในนักเรียนเหล่านี้ก็มีโม่จิ่นด้วย

เท่าที่เขารู้มา สำนักศึกษาซวนเสียนั้นยังไม่มีนักเรียนคนใดที่โดดเรียนสำเร็จมาก่อน

“นายท่าน ตกลงแล้วท่านทำได้ยังไง ?” โม่จิ่นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

เขารู้ดีว่าพี่ใหญ่ของเขานั้นเก่งกาจมาก มีไพ่เด็ดอยู่ในมือมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่ทำให้โดดเรียนมาได้โดยที่ไม่มีใครรู้

มู่เฉียนซีชี้ไปที่ร่างชุดดำที่อยู่ด้านหลัง นางกล่าว “แน่นอนว่านายท่านของเจ้านั้น มีอาจารย์ที่ทำได้ทุกอย่างท่านนี้ยังไงหล่ะ!”

จิ่วเยี่ยเก็บกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ เขาไม่อยากให้ใครค้นพบ และโม่จิ่นก็ไม่อาจค้นพบเขาเช่นกัน

ทว่า ทันทีที่มู่เฉียนซีชี้ไป โม่จิ่นถึงจะพบว่าด้านหลังมู่เฉียนซียังมีคนผู้หนึ่งอยู่ รูม่านตาของเขาหดทันทีที่ได้เห็น เป็นชายผู้นั้น ?

ถึงแม้ว่าเขาจะสวมหน้ากาก แต่โม่จิ่นก็จำได้ว่าเขาคือชายผู้แข็งแกร่งผู้นั้นที่ลงมืออย่างน่าสะพรึงกลัวในเรือวิญญาณมรณะครานั้น

เขาเข้าไปในทางเชื่อมมิตินั้น วันนี้เขากลับมาแล้ว

เมื่อมองไปที่ชายชุดม่วงผู้ที่ทำตัวตามอำเภอใจผู้นี้อยู่ตรงหน้าเขา หลังจากที่มู่เฉียนซีได้แนะนำเขา จิ่วเยี่ยก็ดึงมู่เฉียนซีเข้ามาในอ้อมแขนทันที

ในสายตาของเขานั้นไม่ได้ตระหนี่ถี่เหนียวกับโม่จิ่นเลย ทว่า การแสดงออกในความเป็นเจ้าของนั้นชัดเจนมาก ในฐานะที่โม่จิ่นก็เป็นผู้ชาย เขานั้นมองออกและเข้าใจเป็นอย่างมาก

มู่เฉียนซีกล่าว “ครั้งก่อนสถานการณ์มันวุ่นวายเกินไป ก็เลยไม่ได้แนะนำให้เจ้ารู้จัก เช่นนั้นข้าแนะนำให้เจ้ารู้จักสักหน่อยก็แล้วกัน นี่คือคนสำคัญมาก ๆ ของข้า หวงจิ่วเยี่ย!”

“นี่คือลูกน้องและสหายของข้า โม่จิ่น”

คนสำคัญมาก การแนะนำเช่นนี้ทำให้จิ่วเยี่ยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกนั้นเหลือบมองไปที่โม่จิ่น “หากเป็นสหายของซี ข้าไม่ทำให้เขาสลายหายไปหรอก!”

มู่เฉียนซีกล่าว “หากเจ้าทำเช่นนั้น แล้วข้าจะไปหาผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ได้จากที่ไหนกันหล่ะ”

ในตอนนั้น จิ่วเยี่ยอนุญาตให้เยวี่ยเจ๋อมีชีวิตอยู่ต่อ เช่นนั้นคนอย่างโม่จิ่นเขาก็ยอมให้ได้เช่นกัน

โม่จิ่นตกใจสะดุ้งเล็กน้อย สหายงั้นเหรอ?

เพียงแต่ว่า การแนะนำของสองคนนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นความเหนือกว่าภายในใจของมู่เฉียนซีได้อย่างชัดเจนแล้ว

ร่องรอยของความโศกเศร้าปรากฏขึ้นภายในดวงตาของโม่จิ่นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเจ้านายใจดำผู้นี้ของตนนั้นแตกต่างไปจากชายชุดดำผู้นี้

ทว่า ชายผู้นี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องนายท่านจากลมฝนทุกอย่างได้ นายท่านมีคนเช่นนี้คอยปกป้องอยู่ข้างกาย เขาก็ดีใจมากแล้ว

มู่เฉียนซีจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ถึงแม้ว่านางจะทิ้งร้านเอาไว้ให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทน แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไม่ทำอะไร

ถึงแม้ว่าโม่จิ่นจะดีใจที่มีคนมาคอยปกป้องนายท่าน แต่เมื่อเห็นจิ่วเยี่ยเดินเข้าไปในห้องมู่เฉียนซี คล้ายกับว่าจะร่วมเตียงร่วมหมอนกับมู่เฉียนซี ใบหน้าของโม่จิ่นก็เศร้าลงทันที

ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังอาบน้ำทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น เขาก็รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีอยู่เดินไปที่จิ่วเยี่ย และกล่าวว่า “นายท่านหวงจิ่วเยี่ย ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”

“ว่ามา!” น้ำเสียงที่ราบเรียบสองคำนี้ไร้ซึ่งอุณหภูมิใดใด ทำให้ผู้ที่ฟังนั้นรู้สึกเย็บวาบไปทั้งตัว

โม่จิ่นคิดในใจว่า ‘ดูเหมือนว่าเขาก็มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิเหมือนกัน แต่เหตุใดถึงได้รู้สึกเสียวซ่านไปถึงกระดูกเช่นนี้นะ?’

“ข้าคิดว่าท่านอยู่ด้วยกันกับนายท่านเช่นนี้มันจะดูไม่ดี” ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยจิตสังหาร วิญญาณของโม่จิ่นแทบจะหายไปในชั่วขณะ เขาอดต่อที่จะวู่วามและวิ่งหนี กล่าวต่อว่า “ถึงแม้ว่านายท่านจะไม่แยกแยะความเป็นชายหญิง ไม่ระมัดระวังตัวเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น นางเป็นคนสบาย ๆ เหมือนกับผู้ชาย เป็นอิสระไม่ถูกจำกัด ไม่สนเรื่องกรอบข้อจำกัดเหล่านั้น”

“แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง ท่านทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน มาอยู่ห้องของนางเช่นนี้มันดูไม่เหมาะสม”

ผู้ที่ไม่ต้องการให้เขากับมู่เฉียนซีสนิทสนมกันเช่นนี้ จิ่วเยี่ยอยากทำให้เขากลายเป็นโครงกระดูกขาวภายในชั่วพริบตาเสียจริง

แต่งงาน! ไม่เหมาะสม!

แต่สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็ยังไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้า เป็นของซี การที่อยู่ด้วยกัน มันไม่เหมาะสมตรงไหน!”

จิ่วเยี่ยปิดประตูและหันหลังเดินกลับเข้าห้อง ทิ้งให้โม่จิ่นยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่คนเดียว ที่แท้……ที่แท้นายท่านลงมือกับชายผู้นี้ก่อนงั้นเหรอ

นายท่านช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญยิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งอย่างไม่รู้ลึกตื้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะโดนนายท่านลงมือเสียแล้ว

เขาอดที่จะเอามือปิดปากตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะปากมากเกินไปแล้ว

นางนั้นเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ หัวสมองนั้นเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่ดี คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ทำ เหตุใดถึงได้เห็นคนผู้นี้อยู่ในสายตาได้

โม่จิ่นไม่ได้สงสัยว่าจิ่วเยี่ยจะโกหกเลย ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้จะกล่าวโกหกได้อย่างไรกัน! แต่เขาไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดกับคำพูดของจิ่วเยี่ย

วันต่อมา เป็นวันเปิดหอหมอปีศาจ มู่เฉียนซีนั้นก็ได้แปลงกายเป็นอาถิง

เห็นได้ชัดว่าเมื่อจิ่วเยี่ยเห็นร่างของอาถิงนั้น สีหน้าของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมา “ซีคิดว่าศาลาเลือนรางเก้าชั้นดูดีเหรอ ?”

“ดูดีกว่าข้างั้นเหรอ ?”

มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายของจิ่วเยี่ยที่แผ่ซ่านออกมา ในใจก็อดที่จะด่าอาถิงไม่ได้ ‘เจ้าเลวนี่ช่างยั่วให้จิ่วเยี่ยเกลียดชังได้ดีจริง! ให้ข้าต้องมาเป็นเช่นนี้ ทำให้จิ่วเยี่ยโกรธได้ถึงเพียงนี้ ’