ตอนที่ 82-5 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ

จำนนรักชายาตัวร้าย

มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากอวบอิ่มของตนเองแน่น สีหน้าไม่เชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

 

 

“ไม่ ข้าไม่เชื่อ!เสวี่ยวอวี้ เจ้าเอาเสวี่ยไปซ่อนไว้ที่ไหน”

 

 

มู่เหนี่ยนซีหมุนกายกลับหลังถามหาอวี้เฟยเยียน แต่ถูกอวี้เชียนเสวี่ยรั้งข้อมือเอาไว้

 

 

“แม่นางมิต้องหวาดกลัว โจรสลัดพวกนี้ภายนอกดูว่าพวกเขาดุร้ายป่าเถื่อน แท้ที่จริงแล้วอ่อนโยนยิ่งนัก อีกเดี๋ยวจะมีเรือมา เจ้านั่งเรือลำเล็กออกไปก่อน ไม่ต้องกลัว ข้าจะรีบตามเจ้าไป!”

 

 

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ดวงตาของมู่เหนี่ยนซีก็ล้นปริ่มไปด้วยน้ำตา

 

 

ที่ที่นางและอวี้เชียนเสวี่ยเจอกันครั้งแรกก็คือบนเรือโจรสลัด เขาช่วยนางเอาไว้ ในตอนนั้นสิ่งที่เขาพูดก็คือวลีเมื่อครู่นี่เอง

 

 

“คิดไม่ถึงว่าท่านยังจำได้…”

 

 

มู่เหนี่ยนซีอึกอัก

 

 

ที่แท้แล้ว มิใช่นางคิดเองเอออยู่ฝ่ายเดียว!

 

 

เขาก็ยังไม่ลืมนางเช่นกัน ดีจริงๆเลย!

 

 

“ข้าจำไว้ชั่วชีวิต จะลืมได้อย่างไรกัน!”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

“เสวี่ย!”

 

 

เมื่อแน่ใจชัดเจนแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็โผเข้าสู่อ้อมอกของอวี้เชียนเสวี่ย

 

 

“ดีมาก ดีจริงๆ! ท่านฟื้นคืนแล้ว!”

 

 

นอกจากความดีใจ มู่เหนี่ยนซีก็เริ่มสับสนอยู่ไม่น้อย

 

 

“ท่านกลายเป็นรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ! ทำอย่างไรดี! ท่านเป็นที่เป็นเช่นนี้ จะต้องมีหญิงสาวมากมายมารุมชอบเป็นแน่!”

 

 

“ไม่หรอก! ข้ามีเพียงเจ้าและจะมีแต่เจ้า!”

 

 

ทำไมอวี้เชียนเสวี่ยจะไม่รู้ว่าอาการหึงหวงของสตรีตรงหน้านี้เป็นอย่างไร เขาจึงรีบปลอบประโลมนางทันที

 

 

“จริงหรือ”

 

 

“จริงสิ! ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่เพียงคนเดียว พี่ชายข้ามีซ้อใหญ่เพียงคนเดียว พี่รองข้าก็มีซ้อรองเพียงคนเดียว พวกเขารักกันมั่นคง ต่อไปพวกเราก็จะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน!”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เชียนเสวี่ยให้สัญญาอย่างเป็นทางการ มู่เหนี่ยนซีพอดีใจมากเข้า ก็กระโดดจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“อะแฮ่ม“

 

 

ฉากที่เร่าร้อนเช่นนี้เด็กๆ ไม่ควรรับรู้นะ!

 

 

ผู้คนที่อยู่รอบๆ มีสองสามคนที่กำลังแหงนหน้าจ้องมองนกที่กำลังโดยบินอยู่บนท้องฟ้า บางส่วนก็กำลังนั่งยองๆ นับมดอยู่บนพื้น ทั้งยังมีบางส่วนที่จู่ๆ ก็ ‘ตาบอด’ มองไม่เห็นอะไรขึ้นมาเสียอย่างนั้น…สรุปแล้ว ไม่มีใครมาแทรกแซงคู่รักคู่นี้ ที่ต้องฟันฝ่าอะไรมามากมายกว่าจะได้ลงเอยกัน

 

 

เมื่อเห็นท่านลุงสามได้พบความสุขของตนเอง อวี้เฟยเยียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

“ลุงสามกลับมาแล้ว ทั้งยังได้พบกับอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตอีกด้วย “

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหนนะ”

 

 

“ท่านสบายดีหรือเปล่า”

 

 

ราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกในใจของอวี้เฟยเยียน เหลียนจิ่นเดินมาหยุดที่ข้างกายของนางกล่าวว่า

 

 

“เดิมทีแล้วข้าพยากรณ์ได้ว่าพวกเจ้าจะได้พบกันที่หอราชาโอสถ แต่พี่ชายเจ้าเกิดเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าวางใจได้เลย ตอนนี้พี่ชายของเจ้ายังปลอดภัยดี!”

 

 

“ขอบคุณเจ้ามาก!”

 

 

เหลียนจิ่นตั้งมาปลอบโยนนางโดยเฉพาะ ทำให้อวี้เฟยเยียนซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

 

 

ถึงแม้ว่าสองสามวันมานี้ เหลียนจิ่นจะฟื้นฟูร่างกายได้ดี แต่อวี้เฟยเยียนเพิ่งรู้จากหมอเทวดาฮั่วว่า ทุกครั้งที่นักพยากรณ์ทำนายจะต้องสูญเสียพลังจำนวนมาก

 

 

ยิ่งถ้าหากทำนายเรื่องใหญ่ๆ ละก็ ก็จะยิ่งสูญทั้งเลือดและพลัง จึงจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

 

 

บ้านตระกูลเหลียนลูกหลานมากมาย แต่พวกเขากลับอายุไม่ยืนสักเท่าไหร่นัก เหตุผลหลักนั่นก็คือร่างกายพวกเขาสูญเสียพลังไปจำนวนมหาศาล ทำให้อายุสั้น

 

 

ร่างกายเหลียนจิ่นเดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ขณะนี้มีมุกวารีปีศาจคุ้มครองอยู่ ทำให้มองภายนอกเขาแข็งแรงขึ้นมาก แต่หลายปีที่ผ่านมาร่างกายเหลียนจิ่นมีบางส่วนที่เสื่อมถอยลงไป จึงมิอาจฟื้นฟูร่างกายได้ภายในเวลาเทียบเท่าคนปกติทั่วไปได้ ทำได้แต่เพียงบำรุงรักษาร่างกายเท่าให้คงอยู่เท่านั้น

 

 

 ดังนั้น ในมุมมองแพทย์ อวี้เฟยเยียนมิต้องการให้เหลียนจิ่นเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป มิฉะนั้นอาจจะบั่นทอนพลังชีวิตของเขา

 

 

เช่นนี้มีผลเสียต่อร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก!

 

 

“เหลียนจิ่น ระยะนี้ลำบากเจ้าแล้ว ต้องขอโทษด้วย!”

 

 

“แต่ว่า ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาของเจ้า ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะพยากรณ์ให้น้อยลง!”

 

 

คำพูดของอวี้เฟยเยียนหนักแน่นจริงจัง ในน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของคำสั่งอยู่เล็กๆ ทำให้เมื่อเหลียนจิ่นได้ฟังแล้วรู้สึกน้อยใจขึ้นมา

 

 

“เจ้าวางใจเถอะ ข้ารู้กำลังตัวเองดี”

 

 

“นอกเสียจากว่าจะถูกบังคับ มิเช่นนั้นข้าจะไม่พยากรณ์ตามใจชอบเด็ดขาด”

 

 

จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเหลียนจิ่นโดยละเอียดแล้ว ไม่พบว่าคำพูดนั้นเขาพูดเพียงแค่ขอไปที อวี้เฟยเยียนถึงได้วางใจ

 

 

“ลูกบุรุษพูดได้ทำได้! ในเมื่อพี่ชายของข้ายังปลอดภัยอยู่ ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งข้าและเขาพวกเราจะได้พบกัน เราจะกลับบ้านพร้อมกัน เรื่องนี้ก็ให้พอแค่นี้เถอะ”

 

 

“พอแค่นี้ ต่อไปห้ามพยากรณ์ให้ข้ากับพี่ชายอีก ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องสูญเสียพลังอีกแล้ว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวยังมิทันจบ เหลียนจิ่นก็เข้าใจในความหมายทันที

 

 

“ได้!”

 

 

เหลียนก้มศีรษะต่ำเล็กน้อย ประหนึ่งดอกบัวที่กำลังสงบใจ

 

 

รอจนกระทั่งอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีกะหนุงกะหนิงกันเสร็จเรียบร้อย อวี้เฟยเยียนจึงจับชีพจรตรวจร่างกายของอวี้เชียนเสวี่ย

 

 

ก่อนที่ลมปราณของเขาจะแตกซ่าน อวี้เชียนเสวี่ยอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นหลอมรวมอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าการที่เพลิงอเวจีฟื้นฟูลมปราณให้กับเขา มิเพียงแต่ทำให้เขาสำเร็จขั้นหลอมรวม ทั้งยังข้ามขั้นวีรชน สำเร็จถึงขั้นราชันไปในที่สุด

 

 

“จอมยุทธ์ขั้นราชัน”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

มู่เหนี่ยนซีเพิ่งจะเริ่มเข้าขั้นราชัน ตอนนี้เขาสำเร็จขั้นราชันแล้ว

 

 

คนทั้งสองเหมาะสมกันยิ่งนัก!

 

 

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่อวี้เชียนเสวี่ยฟื้นฟูลมปราณกลับมาได้ มู่เหนี่ยนซีจัดแจงตั้งโต๊ะสุราอาหารโต๊ะใหญ่ แล้วจึงยกเจ็ดชามใหญ่กับแปดจานยักษ์มาขึ้นโต๊ะ

 

 

เพียงแค่เห็นอาหารเหล่านี้ถูกยกเข้ามา เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าต่างก็ส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน

 

 

“ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ พวกเจ้าเกรงใจไปแล้ว! สำหรับวันนี้ช่างเถอะ!”

 

 

ถูกควันพิษรมเข้าให้ตั้งนาน ทั้งยังอาเจียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขาไม่อยากกินอะไรเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนให้ยาเพื่อปรับสภาพร่างกายแล้ว แต่สภาพจิตใจตอนนี้เห็นทีจะกินอะไรไม่ลงจริงๆ

 

 

แม้แต่หมอเทวดาฮั่วที่เรียนตนเองว่าเป็นนักชิมก็ยังโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กินอะไรไม่ลงจริงๆ

 

 

“พวกเจ้ากินกันก่อนเถอะ พวกเราไปขอตัวก่อน!”

 

 

รอจนกระทั่งเหล่าผู้เฒ่าออกไปกันหมดแล้ว มู่เหนี่ยนซีจึงลากแขนอวี้เฟยเยียนมานั่งที่หัวโต๊ะ

 

 

“เสี่ยวอวี้ ขอบคุณเจ้ามากนะ! ชามนี้ข้าดื่มให้เจ้า!”

 

 

รินสุราจนเต็มถ้วย มู่เหนี่ยนซีกล้าหาญผ่าเผย ดื่มรวดเดียวจนหมด

 

 

ส่วนอวี้เฟยเยียนที่จัดว่าเป็นพวกคอไม่แข็ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชามสุราที่มู่เหนี่ยนซียื่นมาตรงหน้า ก็อดขนลุกเสียวสันหลังไม่ได้

 

 

นาทีนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็มาแล้วรับถ้วยสุรานั้นไว้ กล่าวว่า

 

 

“ข้าดื่มแทนนางเอง!”

 

 

“เฮ้ย นี่มันขี้โกงนี่นา! แบบนี้ได้อย่างไรกัน!”

 

 

คำประท้วงของมู่เหนี่ยนซีไม่มีผลใดๆ กับซย่าโหวฉิงเทียน เขากระดกสุราจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

 

 

มู่เหนี่ยนซียัง จำได้ขึ้นใจ ถึงสภาพของอวี้เชียนเสวี่ยครั้งที่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนมอมด้วยสุรา

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยเมาอยู่สองวันเต็มๆ มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก

 

 

ตอนนี้เมื่อเขาออกหน้าขอดื่มแทนอวี้เฟยเยียนด้วยตัวเอง มู่เหนี่ยนซีจึงให้คนยกไหสุราขึ้นมาทันที

 

 

“หากท่านสงสารเสี่ยวอวี้จริง ก็งัดความเป็นลูกผู้ชายของท่านออกมา! พวกเราใช้ไหสุราดื่มไปเลย! ข้าดื่มหนึ่งไห ท่านดื่มสองไห ว่าอย่างไร”

 

 

ในฐานะที่เป็นภรรยาอวี้เชียนเสวี่ย ป้าของอวี้เฟยเยียน มู่เหนี่ยนซีจึงคิดว่าตนเองต้องรับผิดชอบกู้หน้าให้กับอวี้เชียนเสวี่ย ทั้งยังมีหน้าที่ปกป้องอวี้เฟยเยียน มิให้คนร้ายชักนำนางไปในทางที่ผิด

 

 

“โอ้โห! ทวงหนี้แทนอย่างนั้นหรือ!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยลากอวี้เฟยเยียนมาอีกด้านเพื่อรับชมความบันเทิง

 

 

สำหรับซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนมั่นใจเกินร้อย เขาดื่มสุราราวกับดื่มน้ำก็ไม่ปาน สำหรับเขา มู่เหนี่ยนซีถือว่าเล็กน้อยไปเลย!

 

 

ผลก็คือมู่เหนี่ยนซีดื่มสุราทั้งหมดสี่ไห ก็เวียนศีรษะล้มพับลงไปทันที แต่มือที่จับอวี้เชียนเสวี่ยอยู่ก็มิยอมปล่อย

 

 

“ข้าพานางกลับไปส่งเอง”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยมองซย่าโหวฉิงเทียนหน้าตึง

 

 

ดีนี่!

 

 

มอมข้าจนเมาข้าจะไม่พูด ยังมอมเมียข้าอีกหรือนี่!

 

 

“ตกลงเจ้าหมอนี่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไม่นะ! ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมาตามจีบเสี่ยวเยียนเยียนอีกหรือ”

 

 

“ไม่ได้เรื่อง คออ่อนเหมือนกันเลย!”

 

 

ประโยคเดียวของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยโมโหฮึดฮัด หากมิใช่เขายังต้องดูแลมู่เหนี่ยนซีละก็ อวี้เชียนก็คงลงไปตั๊นหน้าซย่าโหวฉิงเทียนสักรอบแล้ว

 

 

“ค่อยๆนะ!”

 

 

ประคองมู่เหนี่ยนซีเข้าไปในห้องเรียบร้อย อวี้เชียนเสวี่ยยกน้ำมาเตรียมที่จะเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับนาง มู่เหนี่ยนซีก็ลืมตาขึ้น นางมองมาที่อวี้เชียนเสวี่ยสายตาหลุกหลิก

 

 

“เหนียนซี เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อย่างนั้น ข้าไปต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่มแก้เมาดีกว่านะ!”

 

 

ใครจะไปคิด อวี้เชียนเสวี่ยยังไม่ทันไปไหน มู่เหนี่ยนซีก็พลิกกายขึ้นมาคร่อมทับอวี้เชียนเสวี่ยบนเตียง