ภายในตึกร้างสักตึกแถบชนบทฝั่งตะวันออก
“ฉันพูดแล้ว นายอยากรู้อะไรฉันบอกหมด!”
หยุ่นหมัวนั่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นด้วยสภาพยับเยิน หลังพิงกำแพงและหายใจหอบเฮือกใหญ่ นัยน์ตาที่มัวหมองอย่างเห็นได้ชัดเต็มไปด้วยความผวา
หยุ่นหมัวในตอนนี้ตัวโชกเลือด แทบไม่มีจุดไหนบนตัวที่ไม่เป็นแผล เห็นได้ชัดว่าผ่านการทรมานที่เกินมนุษย์มา
“นายพูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทำฉันเสียเวลาตั้งนานไม่ว่า ตัวนายเองก็จะได้ทรมานน้อยลงด้วย!”
เย่เทียนส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เขาหยิบกระดาษทิชชู่ที่เตรียมไว้มาเช็ดเลือดสีแดงที่เปื้อนมือ
หลังจากลงมาจากภูเขาเฟิ่งหวง เย่เทียนส่งเฉินหวั่นชิงและเซ่เจียกลับไปที่คฤหาสน์แล้วก็รุดหน้ามาที่นี่ในทันที
หยุ่นหมัวสมกับเป็นผู้มากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เย่เทียนต้องใช้วิธีทรมานนักฆ่าโดยเฉพาะถึงแปดอย่างถึงงัดปากเขาออกได้
กริ๊ก!
หลังจากที่เช็ดเลือดที่เปื้อนมือจนแห้งไปส่วนใหญ่แล้ว เย่เทียนก็หยิบบุหรี่ในกระเป๋าออกมาจุด ก่อนจะดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงตรงหน้าหยุ่นหมัว
“ก่อนที่นายจะพูดอะไร ฉันคิดว่าฉันมีความจำเป็นต้องเตือนอะไรนายหน่อย”
เย่เทียนพ่นควันฟุ้งและยิ้มกริ่ม “ฉันเป็นคนกลัวความยุ่งยากที่สุด หวังว่าอีกเดี๋ยวนายจะบอกทุกอย่างกับฉันด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด อย่าให้ฉันมีจุดที่สับสนเด็ดขาด”
“มิฉะนั้น นายก็รู้นะ!”
ขณะที่พูด เย่เทียนจงใจยักคิ้วใส่หยุ่นหมัว สื่อถึงการข่มขู่โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยตรงๆ
“นายอยากรู้อะไรฉันสามารถบอกนายได้หมด ฉันขอเพียงนายจะให้ฉันได้ไปอย่างรวดเร็ว”
หยุ่นหมัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองเย่เทียน สีหน้าขมขื่นอย่างอธิบายไม่ถูก
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่หัวใจแข็งแกร่งดุจหินผา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีทรมานแบบไหนเขาก็สามารถทนได้โดยไม่ปริปากสักคำ
ยังไงซะเขาก็ใช้ชีวิตฉิวเฉียดความตายมานานหลายปี เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาไปนานแล้ว
คนที่ไม่กลัวแม้แต่ความตาย แล้วจะกลัวความเจ็บปวดได้ยังไง
ทว่าความเป็นจริงกลับตบเขาเสียฉาดใหญ่ ทำให้เขาได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิด
หยุ่นหมัวรู้ดีว่าเย่เทียนไม่ปล่อยตัวเองไปหรอก มาถึงตอนนี้เขาขอเพียงเย่เทียนจะให้ตัวเองไปแบบไม่ทรมาน ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานที่บาดลึกเข้าวิญญาณอย่างผิดมนุษย์มนา!
“ว่ามาสิ! ใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังนาย?”
เสียเวลามาตั้งนาน เย่เทียนไม่มีอารมณ์อ้อมค้อมกับหยุ่นหมัวอีก เขาตรงเข้าประเด็นทันที
“นาย…..”
หยุ่นหมัวผงะ นัยน์ตามีความตื่นตระหนกแวบผ่าน ก้มหัวลงด้วยสัญชาตญาณ “ฉัน ฉันไม่รู้ว่านายพูดเรื่องอะไร ฉันเป็นผู้นำของแก๊งS.P.L เบื้องหลังฉันจะมีใครอีก!”
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
เย่เทียนกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก เขาโน้มตัวเล็กน้อย จี้บุหรี่ร้อนฉ่าบนแผลของหยุ่นหมัวโดยไม่ลังเล
“อ๊าก!”
หยุ่นหมัวส่งเสียงโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวดทันที
“นายยังทรมานไม่พอใช่มั้ย จนป่านนี้แล้วยังจะเล่นแง่กับฉันอีก?”
“ฉันรู้ว่านายเป็นสมาชิกของแก๊งกะโหลกสักลาย ฉันอยากรู้ข้อมูลของแก๊งนั้น”
เย่เทียนเมินเฉยต่อเสียงโหยหวนของหยุ่นหมัว สีหน้าเย็นชาถึงขีดสุด
“นาย นายรู้ได้ยังไง”
หยุ่นหมัวฟังแล้วตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนฉับพลัน หน้าตาเต็มไปด้วยความตะลึง
“นายต้องรู้นะว่าตอนนี้ฉันเป็นคนถามนาย ไม่ใช่ให้นายมาถามฉัน”
เย่เทียนยิ้มเย็นๆ ยื่นมือไปหยิบมีดสั้นที่เพิ่งวางไปได้ไม่นาน สื่อถึงการข่มขู่โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
หยุ่นหมัวมองเย่เทียนอึ้งๆ จนเย่เทียนชักจะหมดความอดทนและคิดจะเร่งเร้าเขาถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆเอ่ยปากเล่า
“เห็นฉันเป็นผู้นำของแก๊งS.P.Lแบบนี้ ปกติอาจจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง แต่ในแก๊งนั้นฉันก็เป็นแค่ลูกกระจ๊อก”
“นายน่าจะรู้ดีว่าคนที่อยู่ระดับต่ำสุดอย่างฉันไม่มีทางมีสิทธิ์มีเสียง ไม่ว่าเบื้องบนสั่งอะไรลงมา ฉันก็เลือกได้แค่ปฏิบัติตาม”
“ในประเทศจีนของเรามีคำกล่าวไว้ว่ายอมเป็นหัวสุนัขดีกว่าหางสิงโต ในเมื่ออัปยศขนาดนี้ ทำไมนายไม่ถอนตัวออกมาล่ะ”
เย่เทียนใช้กระดาษทิชชู่เช็ดคราบเลือดบนมีดสั้นจนสะอาด ก่อนจะใช้มีดสั้นแคะสิ่งสกปรกในซอกเล็บ
พูดประโยคเดียวเป็นการพูด พูดสองประโยคก็เป็นการพูด ครั้งนี้หยุ่นหมัวไม่ลังเลอีก
“ฉันกล้าบอกนายเลยว่าที่ฉันขึ้นนั่งตำแหน่งผู้นำแก๊งS.P.Lก็เพราะผู้นำคนก่อนคิดจะถอนตัวออกจากแก๊ง”
“ครั้งนั้นทางแก๊งส่งคนมาเพียงคนเดียว ก็สังหารคนทรยศหลายสิบคนรวมถึงผู้นำคนก่อนได้อย่างง่ายดาย!”
“ตอนนั้นผู้นำคนก่อนมีพลังระดับดินชั้นต่ำเชียวนะ แต่กลับสู้ได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำในมือของคนผู้นั้น”
“ฉันสงสัยว่า ฉันสงสัยว่า….”
พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าหยุ่นหมัวฉายแววหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เจอในวันนั้นสร้างความทรงจำที่ลืมไม่ได้ให้กับเขา
“นายสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับฟ้าใช่มั้ย”
ไม่ต้องรอให้หยุ่นหมัวพูดจบ เย่เทียนก็จบประโยคแทนเขา สีหน้าหนักใจถึงขีดสุด
ล้มผู้แข็งแกร่งระดับดินชั้นต่ำภายในสามกระบวนท่า ความสามารถขนาดนี้เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับฟ้าเท่านั้นที่ทำได้
“ใช่!”
หยุ่นหมัวพยักหน้าหนักแน่น “เย่เทียน แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านายมีความบาดหมางอะไรกับแก๊ง แต่ฉันขอแนะนำว่านายอย่าไปหาเรื่องแก๊งจะดีที่สุด!”
“เท่าที่ฉันรู้มา หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นคนเดี่ยวๆหรือกองกำลังอิทธิพลใหญ่ ทุกคนที่มีปัญหากับแก๊งไม่มีใครจบลงด้วยดีเลย!”
“เรื่องนี้นายไม่ต้องเป็นห่วง!”
“นายพูดมาเยอะขนาดนี้แล้ว แก๊งนี้ชื่ออะไร แล้วฐานทัพหลักอยู่ที่ไหน สมาชิกมีใครบ้างล่ะ?”
เย่เทียนตะลึงในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยสักนิด ยังคงมีสีหน้าเย็นชา
“เมื่อกี้ฉันบอกนายไปแล้วว่าฉันเป็นแค่ลูกกระจ๊อก”
หยุ่นหมัวส่ายหัวเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ฉันรู้แค่ว่าชื่อของแก๊งคือแก๊งหย่งเย่ ส่วนฐานทัพหลักอยู่ที่ไหน ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่ และมีสมาชิกคนไหนบ้าง เรื่องพวกนี้ฉันไม่รู้อะไรเลย”
“หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ฉันเคยเห็นในอดีต ฉันก็ไม่เคยพบเขาอีกเลย แม้แต่เขาชื่ออะไรฉันก็ไม่รู้”
“แก๊งหย่งเย่เหรอ?”
เย่เทียนพึมพำ มีพายุโหมอยู่ในใจ
ข่าวที่หยุ่นหมัวเปิดเผยไม่ถือว่ามาก แต่พอรวมเข้ากับข้อมูลที่เขาสืบมาเมื่อชาติที่แล้ว เขามั่นใจได้70%เลยว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นคนในโลกศิลปะการต่อสู้!
ยังไงซะการเรียกผู้แข็งแกร่งระดับฟ้าออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้เกรงว่ามีแต่คนในโลกศิลปะการต่อสู้เท่านั้นที่มีความสามารถขนาดนี้
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนชักจะหนาวๆในใจ
แม้แต่แก๊งS.P.Lยังเป็นเพียงลูกกระจ๊อกในแก๊งหย่งเย่ เห็นได้เลยว่าอิทธิพลของแก๊งหย่งเย่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน!
การดำรงอยู่ที่น่าสยองขวัญขนาดนี้ ไม่ยอมประนีประนอมกับบริษัทแซ่เฉินเล็กๆหรอก ถึงเวลาต้องส่งคนที่เก่งกาจกว่านี้มาเพื่อแย่งชิงยาปฏิชีวนะแน่นอน!
คิดมาถึงตรงนี้ ความต้องการจัดตั้งกองกำลังอิทธิพลใหญ่ของเย่เทียนก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดหากคิดจะล้มตัวมหึมาอย่างแก๊งหย่งเย่ที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานแค่ไหนแล้วไม่อาจทำได้ด้วยตัวคนเดียวแน่นอน!